Forbes นิตยสารการเงินระดับโลก รายงานข้อมูลเทรนด์เทคโนโลยีที่มาแรงในปี 2023 ซึ่งจะเป็นสิ่งที่เป็นกระแสหลักในการดำเนินชีวิตของผู้คนในปี 2023 โดยในปีนี้ผู้คนจะต้องเรียนรู้และอยู่กับเทรนด์เทคโนโลยี 5+1 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างแรก AI จะมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง หรือที่เรียกว่า AI Everywhere อัลกอริธึมอันชาญฉลาดนี้จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน ทั้งการซื้อของออนไลน์ การเดินทาง การจัดการตารางเวลา ฯลฯ
ซุนดาร์ พิชัย CEO ของ Google บอกว่า AI จะมีความสำคัญมากกว่าไฟหรือไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้นหรือดีขึ้น แม้ว่า AI จะนำไปสู่การหายไปของงานบางประเภทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็จะมีงานใหม่ๆเกิดขึ้นมาแทนที่ ที่น่าจับตา คือ Synthetic Content ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมการสร้างสรรค์ของ AI เพื่อสร้างภาพ เสียง หรือข้อมูลใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน อัลกอริธึมจะช่วยให้คอมพิวเตอร์เข้าใจและสร้างการสื่อสารด้วยภาษามนุษย์ขึ้นใหม่ ซึ่งหมายความว่าเราสามารถให้อวตาร (Avatar) ตอบคำถามหรือพูดด้วยเสียงของเราเองได้
...
อย่างที่สอง เมตาเวิร์ส (Metaverse) จะเป็นอนาคตที่ทำให้ทุกคนได้ดื่มด่ำกับประสบการณ์โลกเสมือนจริง นับตั้งแต่ที่ Mark Zuckerberg เปิดตัว Metaverse ในปลายปี 2021 องค์กรขนาดใหญ่ทุกประเภทในอุตสาหกรรมตั้งแต่การธนาคารไปจนถึงแฟชั่น ความบันเทิง และวิดีโอเกมก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่ทำโดยการใช้แพลตฟอร์ม Metaverse ที่มีอยู่เช่น Decentraland, Roblox หรือ The Sandbox อย่างที่ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก เคยบอกไว้ว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ผู้คนจะเกี่ยวข้องกับความเสมือนจริง (VR/AR) อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ตัวอย่างเช่น ร้านเสื้อผ้า อย่าง Forever 21 ที่เปิดตัวใน Roblox มีเป้าหมายคือทดสอบเทคโนโลยีที่มีอยู่และสาธิตให้ผู้ถือหุ้นและชุมชนเทคโนโลยีเห็นว่าสามารถทำได้อย่างแน่นอน การเชื่อมต่อของ Metaverse จะสามารถทำได้จากทุกที่ในโลกและบนอุปกรณ์ที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งอาจไม่ใช่สมาร์ทโฟนเสมอไป แต่จะมีวิธีใหม่ๆที่สามารถเข้าถึง สัมผัส และโต้ตอบกับเนื้อหาได้ เช่น ชุดหูฟัง แว่นตาอัจฉริยะ และแม้แต่ชุดตอบสนองแบบสัมผัสทั้งตัว ฯลฯ
อย่างที่สาม โลกดิจิทัลที่แก้ไขได้ (A Digitally Editable World) มนุษย์จะสามารถแก้ไขสิ่งต่างๆในโลกดิจิทัลในลักษณะที่มีอิทธิพลต่อโลกแห่งความเป็นจริงได้ เช่น การแก้ไขหรือตั้งโปรแกรมในนาโนเทคโนโลยี ด้วยการจัดการคุณลักษณะและองค์ประกอบของวัสดุในระดับนาโน เราสามารถให้คุณสมบัติใหม่ๆ เช่น สีที่ซ่อมแซมตัวเองได้และเสื้อผ้าที่ไม่ซับน้ำ และสิ่งสุดยอดของโลกที่แก้ไขได้ก็คือ การจัดการกับสิ่งมีชีวิต เช่น พืช สัตว์ หรือมนุษย์ โดยการแก้ไขข้อมูลทางพันธุกรรมในการพัฒนาการทำงานของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น
ความคิดริเริ่มที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 30 ปีก่อน อย่างเช่น โครงการจีโนมมนุษย์ช่วยให้เราสามารถสร้างตัวแทนดิจิทัลของสายดีเอ็นเอทั้งหมดได้สำเร็จ แนวทางใหม่ๆ เช่น วิธีการแก้ไขยีน การเปลี่ยนดีเอ็นเอและโครงสร้างทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ในอนาคตอันใกล้นี้ เด็กจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อความเจ็บป่วยที่พ่อแม่ของพวกเขาอ่อนแอได้ หรือแม้แต่การพัฒนาพืชผลที่ต้านทานต่อศัตรูพืชและโรคได้ และการพัฒนายาที่สามารถทำให้เหมาะกับแต่ละบุคคลตามการสร้างพันธุกรรม
...
อย่างที่สี่ ปรับโครงสร้างความน่าเชื่อถือด้วย Blockchain (Re-architecting Trust With Block chain) ในปี 2023 เราจะวนเวียนอยู่กับ Decentralization ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของ Blockchain โดยเทคโนโลยี Block chain จะขับเคลื่อนวิวัฒนาการของความสัมพันธ์ของมนุษย์ด้วยแนวคิดเรื่องความเป็นเจ้าของดิจิทัล และกระตุ้นการเติบโตของผู้บริโภคในกระบวนการนี้ ซึ่งแบรนด์ต่างๆ เช่น Prada และ Balenciaga ได้เริ่มใช้ Blockchain โดยการให้เป็นเจ้าของสินค้าหรูหราในเวอร์ชันดิจิทัลที่สามารถอวดโฉมในโลกเสมือนจริงได้
...
อย่างที่ห้า การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตตลอดเวลา (The Hyper-Connected, Intelligent World) แนวโน้มนี้ค่อนข้างจะเชื่อมโยงสิ่งต่างๆเข้าด้วยกันที่เรียกว่า Internet of Things (IoT) ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะด้วยแก็ดเจ็ตและเครื่องใช้อัจฉริยะ หรือแม้แต่เครื่องมือและแอปพลิเคชันต่างๆในปี 2023 เราจะเห็นการทำงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนามาตรฐานระดับโลกและโปรโตคอลที่อุปกรณ์ต่างๆสามารถใช้สื่อสารหรือแม้แต่โจมตีกันได้ เช่น Cyber Attack เทคโนโลยี 5G และ 6G จะไม่เป็นเพียงแค่อุปกรณ์ที่สื่อสารได้รวดเร็ว แต่จะสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆได้มากขึ้น นำไปสู่อุปกรณ์เชื่อมต่อที่เชื่อถือได้มากขึ้นสำหรับใช้ในกระบวนการที่สำคัญ เช่น การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์
นอกจากนี้ในปี 2023 ยังเป็นปีที่เฟื่องฟูสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการที่มุ่งช่วยเหลือเราในการจัดการสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี คนจำนวนมากจะหันมาใช้เทคโนโลยีเพื่อให้แน่ใจว่าเราฟิตร่างกายและมีสุขภาพดีจากอุปกรณ์ต่างๆ เช่น Apple Watch เจเนอเรชันที่ใหม่กว่ามีเซ็นเซอร์ที่ล้ำสมัยที่สามารถวัดระดับออกซิเจนในเลือดและอุณหภูมิ แต่อาจจะรวมการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ได้ด้วย ซึ่งการเข้าซื้อกิจการ Fitbit ของ Google จะทำให้เราเห็นอุปกรณ์ที่เคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้เกิดขึ้นในปีนี้แน่นอน
...
นอกเหนือจาก 5 เทรนด์ที่กล่าวถึงข้างต้น ยังมีเทรนด์เทคโนโลยีอีกหนึ่งเทรนด์ที่จะก้าวไปสู่จุดสนใจมากขึ้นในปี 2023 นั่นคือ เทคโนโลยีที่มีความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและการประมวลผลขั้นสูง ในการรับรองความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเรื่อยๆด้วย.