God of War Ragnarök ภาคต่อของสุดยอดเกมที่แฟนๆ หลายคนรอคอย หลังจากที่ภาคแรกออกมาก็ต้องรอถึง 4 ปีกว่าจะได้เล่นภาคล่าสุดนี้ จะเป็นอย่างไรบ้าง สนุกเหมือนภาคแรกไหม เรารีวิวมาให้แล้ว

การจะสร้างภาคต่อจากผลงานระดับคลาสสิกนั้นเป็นอะไรที่ยากแสนยาก ยิ่งเป็นภาคต่อของเกม God of War ภาคปี 2018 ยิ่งยากอย่างกับเข็นครกขึ้นภูเขาโอลิมปัส เพราะมันคือเกมของค่าย Sony ซึ่งขึ้นหิ้งหนึ่งในเกมแอ็กชันที่ดีที่สุดตลอดกาลไปเป็นที่เรียบร้อย การันตีด้วยคำชมสารพัดจากทั้งสื่อ ทั้งแฟน และถ้วยรางวัลเกมยอดเยี่ยมแห่งปีที่ยาวเป็นหางว่าว นั่นทำให้เกมภาคต่ออย่าง Ragnarök กลายเป็นเกมที่มีคนจับตามองมากที่สุดในปีนี้ไปโดยปริยาย (อาจจะมีคู่แข่งที่สูสีก็แค่เกม Elden Ring ที่แม้แต่นาย Elon Musk ยังเล่นนั่นแหละ)

นั่นทำให้ทีมพัฒนาเกม Santa Monica Studio ต้องแบกรับความคาดหวังสูงลิบระดับเทพจากทุกสายตาที่จับจ้อง แค่จะทำให้เกมออกมาดีเท่าของคลาสสิกก็ว่ายากแล้ว นี่ต้องทำให้ดีกว่าเก่าตามที่แฟนภาคแรกคาดหวังอีก ที่น่าตกใจก็คือนาย Kratos เขาสามารถตบเทพคนเก่าให้ร่วงได้อีกแล้ว ถึงจะมีช่วงล้มลุกคลุกคลานบ้างในบางจุด แต่ God of War Ragnarök คือภาคต่อที่สมศักดิ์ศรีของเกมภาค 2018 อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ต่างไปจากสิ่งที่ภาพยนตร์อย่าง The Empire Strike Back, Aliens หรือ Terminator 2 เคยทำไว้ในวงการหนัง เพราะมันทั้งทลายทุกความคาดหมายจากแฟนๆ และต่อยอดจากรุ่นพี่ของมันได้อย่างองอาจ

...

เทพสงครามคนเก่า อัดมันกว่าเดิม

สำหรับคนที่เคยเล่นเกมภาค 2018 มาก่อน ทันทีที่ได้จับจอยขึ้นมา คุณจะพบว่าระบบการเล่นใน Ragnarök นี่เรียกว่าแทบจะถอดมาจากเกมภาคที่แล้วทั้งดุ้นเลย ทั้งเรื่องมุมกล้องแบบมองผ่านไหล่ การต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับลูกชาย (Boy!) และระบบอัปเกรดตัวละครที่ช่วยเปลี่ยนสไตล์การเล่นให้มีความหลากหลายในตอนท้าย จุดนี้อาจทำให้แฟนๆ ที่อยากเห็นเกมภาคต่อแบบใหม่ถอดด้ามอาจต้องผิดหวัง เพราะเกมภาค Ragnarök จะเน้นไปที่การนำของเก่าที่ดีอยู่แล้วมาขัดให้เงางามขึ้นซะมากกว่า ซึ่งข้อดีก็คือมันทำให้คนที่เคยเล่นภาคก่อนสามารถเพลิดเพลินไปกับเกมนี้ได้ในทันทีที่กดเปิดเครื่อง ไม่ต้องมานั่งเรียนรู้ระบบการต่อสู้ใหม่ ในขณะเดียวกันก็ยังได้มันสะใจไปกับความดุเดือดเลือดพล่านไม่ต่างจากเดิม

สิ่งที่ต่างก็คือการออกอาวุธของ Kratos ในภาคนี้จะเป๊ะขึ้น และมีลีลาบู๊แบบใหม่ๆ มากขึ้น เช่น การกระโดดอัดศัตรูจากที่สูง การอัดพลังน้ำแข็งหรือพลังเพลิงเข้าไปในอาวุธ รวมทั้งการออกท่าไม้ตายแบบใหม่หลายชนิดที่มีให้เลือกใช้ ผสมผสานกับสมรภูมิแต่ละแห่งที่มีการวางองค์ประกอบของชนิดศัตรูและข้าวของที่ทำลายได้เอาไว้ในฉากอย่างลงตัว องค์ประกอบใหม่ช่วยให้ฉากสู้แต่ละครั้งมีความหลากหลาย ผู้เล่นสามารถวางแผนคร่าวๆ ในหัวก่อนบู๊เพื่อออกคอมโบได้อย่างเพอร์เฟกต์ที่สุด อาจจะเริ่มจากการอัดศัตรูสายยิงตรงมุมนั้นก่อน จากนั้นค่อยวิ่งไปหยิบของในฉากมาฟาดศัตรูที่วิ่งตามมาด้านหลัง แล้วค่อยปิดท้ายด้วยการใช้ท่าไม้ตายอัดศัตรูที่ยังเหลือแบบยกแผง ที่น่าชมเชยคือ AI ลูกชายของเราในเกมนี้สามารถช่วยเราในการต่อสู้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งถือว่าเป็นของหายากมากในเกมสมัยนี้ และมันยิ่งทำให้ฉากบู๊แต่ละครั้งไม่เคยน่าเบื่อเลย

พักรบแล้วเพลิดเพลินกับการฟาร์มของ

ที่สำคัญกว่าคือทีมพัฒนาเขาไม่ได้แค่นำของเก่ามาขัดเกลาแล้วตัดแปะให้มันจบๆ ไป แต่เขายังได้เติมองค์ประกอบปลีกย่อยเข้ามาเสริมให้เกมเพลย์ในภาคนี้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ทั้งจากไอเทมใหม่ สกิลใหม่ และของเล่นใหม่มากมายที่คุณคาดไม่ถึง รวมทั้งยังปรับปรุงสารพัดเรื่องที่เคยโดนบ่นจากภาคที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายของศัตรูที่คราวนี้ขนมาหมดทั้งกองทัพอสูรเลยมั้ง จำนวนบอสในเกมก็มีให้สู้ก็เยอะกว่าเดิมหลายเท่า นอกจากนี้สภาพแวดล้อมของฉากในดินแดนต่างๆ ก็ยังมีความหลากหลายกว่าเดิมมาก ส่วนระดับความยากของเกมก็ยังอยู่ในระดับกำลังดี มีตัวเลือกให้ปรับแต่งความท้าทายได้ตามใจ น่าจะตอบโจทย์ทั้งเกมเมอร์สายมุมิที่เน้นชมวิวเสพเนื้อเรื่อง และเกมเมอร์สายมาโซที่ชื่นชอบความท้าทายแบบตายแล้วตายอีกได้ดี

...

นอกจากเรื่องระบบต่อสู้ เกมยังเต็มไปด้วยปริศนาเล็กๆ น้อยๆ ในฉาก ที่จะช่วยให้ผู้เล่นหันมาขบคิดอะไรสนุกๆ คั่นอารมณ์ โดยมีของรางวัลตอบแทนเป็นไอเทมที่ดีขึ้น พร้อมด้วยระบบอัปเลเวลแบบเกม RPG ที่มีรายละเอียดมากขึ้น โดยเกมจะเต็มไปด้วยเควสต์เสริมที่เล่าเรื่องราวสั้นๆ ในแดนนอร์สได้อย่างน่าสนใจ แถมยังมอบของดีให้ฟาร์มหากคุณยอมไปเก็บงานให้เสร็จ เควสต์เสริมเหล่านี้จะกระจายอยู่ทั่วดินแดนทั้ง 9 ซึ่งทำให้เราอยากเล่นเพื่อล่าของที่ดีขึ้น เพื่อให้เราสามารถสร้างเทพสงครามที่มีสไตล์การเล่นเฉพาะตัวที่เราถนัดที่สุดได้ และถึงแม้คุณจะลุยเนื้อเรื่องหลักในเกมจบแล้ว แต่เกมก็ยังไม่ยอมจบ มันยังมีเควสต์สุดโหดรอให้สายเพอร์เฟกชั่นนิสต์ไล่ตามเก็บกันอีกหลายชั่วโมง

...

จุดเด่นอีกเรื่องที่ช่วยให้เกมเมอร์เล่นเกมนี้กันได้ยาวๆ แบบไม่เบื่อ ก็คืองานภาพที่สวยจับใจนี่แหละ มันเป็นความสวยแบบที่ใช้องค์ประกอบศิลป์และงานออกแบบนำ เสริมด้วยกราฟิกเอนจิ้นที่เก็บรายละเอียดในภาพได้อย่างครบถ้วน ซึ่งทำให้คุณได้เห็นภาพกราฟิกที่งามงดระดับเน็กซ์เจ็นเมื่อเล่นเกมนี้บนเครื่อง PlayStation 5 และถึงคุณจะเล่นบนเครื่องเกมรุ่นป๋าอย่าง PlayStation 4 หรือรุ่น Pro ก็ยังคงได้เสพงานภาพที่สวยงามตระการตาอยู่ดี ส่วนเฟรมเรตเกมก็ลื่นไหลแทบไม่มีร่วงไม่ว่าจะเล่นแบบล็อกที่ 30 หรือ 60 fps ต้องขอปรบมือให้ทีมพัฒนาที่ออกแบบเกมมาได้ยืดหยุ่น จนทำให้เทพสงครามหล่อเหลาดูดีในทุกสถานการณ์

มหากาพย์ดราม่าครอบครัวเทพแบบไม่มีกั๊ก

อีกจุดที่ Ragnarök คล้ายกับเกมภาคก่อนก็คือการเน้นเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ในครอบครัว ซึ่งภาคนี้จะเล่าถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวหลายรูปแบบจากตัวละครมากหน้าหลายตา ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก ระหว่างพี่น้อง ระหว่างญาติสนิทมิตรสหาย เราจะได้เห็นตัวละคร Kratos เติบโตขึ้นในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะเขาต้องเรียนรู้วิธีการสอนลูกชาย Atreus ที่กำลังเติบโตเป็นวัยรุ่น รู้จักเชื่อใจการตัดสินใจของลูก และรู้จักปล่อยให้เขาเติบโตเป็นตัวของตัวเอง ส่วนนักพากย์ทุกคนที่สวมบทบาทเป็นตัวละครในตำนานเทพนอร์สก็แข่งกันออกลีลาแบบถึงพริกถึงขิง ไม่มีใครยอมน้อยหน้าใครกันเลย ทั้ง Kratos, Atreus, Thor Odin, Freyar และคนอื่นๆ ต่างก็มีบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ ช่วยส่งด้วยบทสนทนาที่เขียนมาเป็นอย่างดี ยิ่งช่วยให้เกมเมอร์อินกับเนื้อเรื่องตรงหน้าได้ง่ายขึ้น

...

ครั้งนี้ เกมจะถือโอกาสพาผู้เล่นผจญภัยผ่านอาณาจักรปกรณัมเทพนอร์สทั้ง 9 อย่างเต็มรูปแบบ อาณาจักรแต่ละแห่งก็จะมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันออกไปอย่างชัดเจน ทั้งเมืองคนแคระที่เต็มไปด้วยลุ่มน้ำเขียวชอุ่มและถ้ำหินงอกหินย้อย ดินแดนเอลฟ์ท่ามกลางทะเลทรายยามราตรี อาณาจักรเทพแอสการ์ดที่ดูสดใสสง่างาม เป็นต้น สิ่งที่เชื่อมแดนเหล่านี้เข้าด้วยกันคือเส้นเรื่องที่ตีความตำนานแรกนาร็อกใหม่ เต็มไปด้วยการหักมุมสิ่งที่เกมเมอร์คาดหวังว่าจะได้เจอในแทบทุกจุด ใครชอบเนื้อเรื่องที่คาดเดาไม่ได้นี่คงฟินหนักเป็นแน่แท้ และเกมยังรู้จักวางจังหวะของเรื่องได้แบบมีหนักมีเบา บู๊เยอะนักก็มาผ่อนลงด้วยช่วงพักหัวเสพเนื้อเรื่องสบายๆ ทำให้ประสบการณ์ในระหว่างเล่นลื่นไหลจนแทบหยุดเล่นไม่ได้ อารมณ์เหมือนเขาเอาเกม God of War มาคั่นด้วยเกมแนว Walking Simulator อย่างไรอย่างนั้น ถึงมันจะยังมีทั้งช่วงที่ลงตัวบ้าง ขัดๆ บ้าง แต่มันก็ช่วยเปลี่ยนอารมณ์การเล่นได้ดี

ถึงจะชมเปราะมาขนาดนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า Ragnarök จะไม่มีเรื่องให้ติเลย เรื่องแรกที่ควรรู้คือคุณควรจะจบเกมภาคที่แล้วมาก่อนถึงจะเล่นภาคนี้ได้อย่างสนุกที่สุด ถึงเกมจะมีเรื่องราวฉบับย่อให้กดดูได้ แต่คุณจะไม่รู้สึกอินไปกับตัวละครในเรื่องเท่าที่ควรถ้าคุณไม่เคยผจญภัยกับพวกเขามาสักรอบ เรื่องที่สองคือใครที่ชอบสไตล์การเล่าเรื่องแบบสั้น กระชับ ได้ใจความ อาจจะรู้สึกว่าภาคนี้มีช่วงออกทะเล (ในที่นี้คือออกไปดาวอื่นเลยมั้ง) เยอะขึ้นพอสมควร ซึ่งการที่มีตัวละครใหม่กับดินแดนใหม่โผล่มาเยอะก็ทำให้จังหวะของเกมช่วงกลางเรื่องหนืดลงไปบ้าง คาดว่าน่าจะเป็นเพราะทีมพัฒนาเขาเลือกที่จะเล่าเรื่องแบบ Slow Burn จริงๆ ให้ผู้เล่นค่อยๆ ซึมซับมหากาพย์เทพอย่างละเมียด ผลก็คือมันทำให้ Ragnarök เป็นเกมแอ็กชันที่ยาวมาก กว่าจะจบก็น่าจะแตะหลัก 30 ชั่วโมงแน่นอน จนให้ความรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังนั่งดูมินิซีรีส์ใน Netflix มากกว่าการดูหนังในโรง แถมยังเป็นการดูแบบ 2 ซีซั่นติดอีกต่างหาก

ยกระดับความสนุกแบบเทพเหนือเทพ

นอกจากเรื่องจังหวะเกมที่ยืดบ้างในบางจุด เกมยังมีบั๊กให้เห็นอยู่อีกนิดๆ หน่อยๆ เช่น โมเดลตัวศัตรูโหลดไม่ขึ้นตอนเริ่มสู้ (แต่วิ่งมาตีเราได้ซะงั้น) ศัตรูบางตัวดันตีรันฟันแทงไม่เข้า (???) หรือจู่ๆ ตัวเราก็ขว้างอาวุธไม่ออกจนต้องโหลดเกมใหม่ถึงจะหาย แต่ปัญหาจุกจิกพวกนี้ก็มีให้เห็นแค่ 2-3 ครั้งตลอดการเล่นหลายสิบชั่วโมง ซึ่งสุดท้ายแล้วมันก็เป็นเหมือนรอยขีดข่วนเล็กๆ ในผลงานมาสเตอร์พีซชิ้นใหม่ชิ้นนี้เท่านั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คืออีกหนึ่งเกมภาคต่อขั้นเทพที่จะถูกกล่าวขานในวงการไปอีกนาน เหมือนกับสิ่งที่เกมอย่าง Batman: Arkham City, Uncharted 2: Among Thieves หรือ Mass Effect 2 เคยทำเอาไว้ มันคือเกมที่พัฒนาจากภาคต้นตำรับอย่างพิถีพิถัน ทั้งด้านเกมการเล่น ภาพกราฟิก และการเล่าเรื่อง จนทำให้มันเจอที่ยืนใหม่ของตัวเองในหมู่ (เกม) เทพ หากใครยังกังวลว่าเกมนี้จะไม่สามารถพิชิตความคาดหวังที่สูงลิบลิ่วของคุณได้ ขอบอกไว้ตรงนี้ว่าเตรียมใจเอาไว้เถอะครับ… เทพสงครามคนนี้เขากลับมาแล้ว และเขาพร้อมจะอัดคุณไม่ยั้งด้วยความสนุกรัวๆ จนคุณวางจอยไม่ลง

แพลตฟอร์ม : PlayStation 4, PlayStation 4 Pro, PlayStation 5