ต้องยอมรับว่า สังคมไร้เงินสด หรือ Cashless Society มาเร็วกว่าที่คาดคิดไว้มาก แต่จะว่าไปจริงๆ แล้ว สัญญาณของการใช้เงินอิเล็กทรอนิกส์ ที่พัฒนามาสู่เงินดิจิทัล มีมาไม่ต่ำกว่า 10 ปีก่อนหน้านี้ โดยนักพัฒนาด้านซอฟต์แวร์ที่ใช้นามแฝงว่า “ซาโตชิ นาคาโมโตะ” ได้พัฒนาเงินตราแบบดิจิทัล ชื่อว่า บิทคอยน์ (Bitcoin) ขึ้นมา ซึ่งเป็นระบบจ่ายเงินที่อ้างอิงอยู่บนการถอดสมการคณิตศาสตร์ โดยจุดประสงค์ของเขา คือ การสร้างสกุลเงินที่เป็นอิสระจากรัฐบาลและธนาคารและสามารถส่งหากันผ่านระบบอินเตอร์เน็ตได้ โดยมีค่าธรรมเนียมที่ถูกมากๆ

จึงนับว่า เงินสกุลบิทคอยน์ ถือเป็นเงินสกุลแรกในระบบการชำระเงินแบบดิจิทัล ที่เรียกว่า คริปโตเคอร์เรนซี (cryptocurrency) ที่สามารถใช้แทนเงินสดซื้อสินค้าออนไลน์ คล้ายกับระบบซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ตทั่วๆไปที่ใช้บัตรเดบิตหรือบัตรเครดิต

ในปี 2560 มีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ระบุว่า ทั่วโลกมีผู้ใช้เงินดิจิทัลมากถึง 2.9 ถึง 5.8 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เป็นเงินในสกุลบิทคอยน์ โดยการซื้อขายเงินตราดิจิทัลทั้งหมด จะถูกตรวจสอบโดยรายการเดินบัญชีแบบสาธารณะที่เรียกว่าบล็อกเชน

...

สำหรับบิทคอยน์ ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีจำนวนผู้ใช้สูงสุด ถือเป็นสกุลเงินที่ไม่มีสถาบันการเงินไหนสามารถควบคุมได้ แม้แต่ธนาคาร มีคนเคยถามว่า บิทคอยน์ หน้าตาเป็นอย่างไร เป็นธนบัตรหรือเหรียญ คำตอบคือ ไม่มีทั้งเหรียญและธนบัตรสำหรับบิทคอยน์ เพราะเป็นสกุลเงินที่ไม่สามารถจับต้องได้เหมือนกับธนบัตรที่ถูกพิมพ์โดยรัฐบาล บิทคอยน์มีกฎเกณฑ์ของตัวเอง ในขณะที่ธนาคารกลางบางประเทศสามารถที่จะพิมพ์เงินได้เองเพื่อกู้วิกฤติหนี้แห่งชาติ หรือประกาศอ่อนค่าเงินของตัวเอง

พูดให้ง่ายขึ้น ก็คือ บิทคอยน์ (Bitcoin) ถูกสร้างขึ้นในลักษณะของไฟล์คอมพิวเตอร์ โดยกลุ่มนักพัฒนาอิสระที่ใครๆก็สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้ การจะผลิต Bitcoin ขึ้นมาได้นั้นต้องใช้วิธีการ “ขุด” โดยใช้คอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่บนเครือข่ายที่จัดวางไว้ให้เท่านั้น โดยเครือข่ายนี้สามารถที่จะใช้เพื่อ ช่วยในการจัดการการโอนส่ง Bitcoin ให้กันได้ ซึ่งหากจะเรียกแล้ว มันก็คือเครือข่ายส่วนตัวของ Bitcoin นั่นเอง

โดยปกติ หน่วยเงินที่เราคุ้นเคยมักจะถูกนำมาผูกติดกับราคาของทองหรือเงิน โดยทฤษฎีแล้ว ถ้าคุณเดินไปซื้อทองที่ร้านทองด้วยเงินบาท คุณก็จะได้ทองกลับบ้าน แต่สำหรับบิทคอยน์ ไม่ได้ถูกอ้างอิงกับทอง แต่ถูกอ้างอิงด้วย สมการทางคณิตศาสตร์ โดยที่ผู้คนทั่วโลก จะใช้ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ช่วยในการถอดสมการทางคณิตศาสตร์เพื่อผลิต Bitcoin หรือจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Wallet

Bitcoin มีความพิเศษในตัวมันเองที่ทำให้แม้แต่ค่าเงินของรัฐบาลก็ไม่อาจเลียนแบบได้ อย่างแรกเลยคือ การใช้เทคโนโลยีการกระจาย เครือข่ายของ Bitcoin ไม่ได้ถูกควบคุมโดยศูนย์กลางที่ไหนหรือใครคนใดคนหนึ่ง เครื่องขุด Bitcoin ทุกๆเครื่องมีส่วนช่วยในการทำธุรกรรมในการจ่ายเงินของ Bitcoin และเครื่องขุดเหล่านี้ทำงานด้วยกันทั่วโลก ซึ่งแปลว่าในทางทฤษฎีแล้ว ทางรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจไม่สามารถที่จะเข้ามายึดหรือสั่งทำลายเครื่องขุด Bitcoin เพียงแค่เครื่องใดเครื่องหนึ่งเพื่อหวังให้ระบบเครือข่ายของ Bitcoin ล่มสลายได้ หรือแม้แต่พยายามที่จะยึดเอา Bitcoin มาเป็นของตัวเองแบบที่ธนาคารกลางแห่งยุโรป เคยพยายามลองทำ มาแล้วที่ Cyprus ในปี 2013 แต่ก็ล้มเหลว ประเด็นคือถ้าอยากจะทำลาย Bitcoin ให้หมดไปจากโลกนี้ ทางรัฐบาลอาจต้องไล่ทำลายเครื่องขุด Bitcoin ที่มีกระจายไปอยู่ทั่วโลกนั่นเอง

...

นอกจากนี้ เครื่องขุดบิทคอยน์ยังง่ายต่อการติดตั้ง ธนาคารส่วนใหญ่มักจะพยายามหลอกล่อและเชิญให้คุณมาเปิดบัญชีธนาคารที่มีขั้นตอนการเปิดที่ยุ่งยาก ลืมเรื่องการเปิดบัญชีธนาคารเพื่อการค้าขายแบบง่ายๆ ไปได้เลย ในขณะเดียวกันการเปิดใช้งานกระเป๋า Bitcoin สามารถที่จะทำให้เสร็จได้ง่ายในระดับวินาที ไม่มีคำถามมาถามให้กวนใจ และไม่มีค่าธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น และบิทคอยน์ยังมีการโอนที่รวดเร็วมาก คุณสามารถที่จะส่ง Bitcoin ไปหาใครก็ได้บนโลกนี้ โดย Bitcoin ที่คุณส่งข้ามโลกไปหาอีกคนนั้น จะไปปรากฏที่กระเป๋าเงินของเขาในระดับนาที สำคัญที่สุดคือ เมื่อ Bitcoin ของคุณถูกส่งออกไปนั้น มันจะไม่มีวันกลับมาหาคุณอีกนอกจากผู้ได้รับจะส่งมันกลับคืนมาหาคุณ

นอกจากบิทคอยน์แล้ว ปัจจุบันมีเงินตราดิจิทัลเกิดขึ้นหลายสกุลเงิน เช่น อัลท์คอยน์ ซึ่งเป็นตัวย่อของ Alternative coin หรือที่แปลว่าสกุลเงินทางเลือก

ข้อดีของบิทคอยน์ คือ ใช้ง่าย โดยเฉพาะในระบบออนไลน์ แต่ข้อเสีย คือ ความผันผวนของค่าเงิน และการที่ไม่สามารถมีหน่วยงานใดเข้าไปแทรกแซงได้ ผู้ที่จะใช้เงินดิจิทัลเหล่านี้ จึงควรหาความรู้และใช้เงินอย่างระมัดระวังมากที่สุด.

...