ก่อนหน้าเข้ามา เขาเพิ่งเปิดห้องให้สัมภาษณ์ 'วอลสตรีท เจอร์นัล' คุยเรื่องธุรกิจ สถานการณ์บ้านเมือง และการบิน

ย้อนกลับไปก่อนหน้า หลายอาทิตย์ หลายเดือน หลายปีที่ผ่านมา ผู้บริหารหนุ่มคิวทองซุปเปอร์คอนเน็กชั่นก็วิ่งวุ่นไปกับงาน งาน งาน แต่เขาบอกว่า ได้ทำงานที่ชอบงานที่ใช่ชีวิตมันก็เหมือนไม่ได้ทำงาน    

"ส่วนใหญ่ผมจะใช้เวลาไม่นาน ไม่ชอบอะไรอารัมภบทยาวๆ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องงาน ชีวิตง่ายๆ ไม่ซับซ้อนเหมือนกัน" นักธุรกิจมากเสน่ห์ย้ำว่า ต่อให้เป็นเรื่องยากแค่ไหนก็คุยไม่เกิน 10 นาที

ไทยรัฐออนไลน์มีโอกาสเปิดบ้านค้นความลับและตัวตนของ โจ ทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชียถึงเรื่องราวบันไดความสำเร็จในชีวิต แบบที่คนพูดน้อยๆ เข้าถึงตัวยาก ไม่ค่อยเปิดปากเล่าที่ไหน   

และเรื่องลับๆ ที่หลายคนไม่เคยรู้ ไม่เคยฟังจากปาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำงานหนังกับท่านมุ้ย หนึ่งในนั้นส่งไปออสการ์ หรือเรื่องความเชื่อที่ว่าที่นี่เป็นธุรกิจของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้ลี้ภัย กระทั่งเรื่องราวฮือฮาเรื่อง 'ถ้า' จะลงเล่นการเมือง ที่ฟังแล้วมีหนาว

...

จากเด็กที่เกิดในครอบครัวไม่มีแต้มต่อ เป็นลูกบุญธรรมฝรั่ง เรียนไม่เก่ง เกเร ชอบดื่ม แต่วันหนึ่งกลับก้าวเข้าประสบความสำเร็จในชีวิตและมีวันนี้ได้ 

และนี่คือบทสัมภาษณ์ที่ (เขาพูด) ยาวมากที่สุดครั้งหนึ่งของ เจ้าของทรัพย์สินมูลค่า 9.04 พันล้านบาทโดยประมาณ ที่ย้ำนักย้ำหนาว่าหัวใจยัง 'ซ่า' โซดายังอาย

Q : ตอนเด็กๆ คุณอยากเป็นอะไร?

A : อยากเป็น 'ทูต' ด้วยเหตุผลได้เดินทางเยอะ อยู่ประเทศนู้น อยู่ประเทศนี้ มาถึงตอนนี้ก็สมใจได้เดินทางเป็นว่าเล่นเลย เด็กๆ ผมเกิดในครอบครัวที่ฮามาก คุณพ่อเป็นช่างทำรถเป็น Engineer คุณแม่เป็นแม่บ้าน เกิดในครอบครัวชาวบ้านธรรมดาๆ ก็เรียนมาตามลำดับ จนถึงมหาวิทยาลัยเอแบค แต่ผมบ้าทำกิจกรรม เรียนหนังสือไม่ค่อยเป็น ถามว่าเกเรไหม (หัวเราะ) ก็พอสมควร ไม่ ซน เดินไปในทางที่ถูกที่ควรทุกครั้ง

Q : ใช้ชีวิตหมดเปลืองไปกับอะไร

A : ผมใช้ชีวิตหมดไปกับนอกห้องเรียนทั้งวันเลย (ยิ้ม) สมัยก่อนกิจกรรมไม่ค่อยมีอะไรทำเท่าไร ห้างไม่เดิน เธคไม่เข้า ไปบ้าง ผมว่าวัยรุ่นตอนเด็กๆ ผมเที่ยวเธคไม่เกิน 10 ครั้ง แต่ชอบเล่นกีฬาเช่นบาสฯ ชอบอยู่กับเพื่อนๆ แบกเป้ออกต่างจังหวัด โบกรถ อย่างที่ผมบอกผมเรียนไม่เก่งเลย ตั้งใจแล้วนะแต่เรียนไม่รู้เลย เรียนกี่ครั้งก็ไม่รู้เรื่อง ผมแทบจะไม่เคยโดดเรียน เพียงแต่สมองมันไม่เปิด ที่จริงผมว่าตำราเขียนไม่ดีหรือครูสอนไม่ดีก็ไม่รู้ เลยทำให้ผมเรียนไม่รู้เรื่อง 

Q : ไม่มีวิชาไหนที่ทำดีเลย ?

A : มีวิชาคอมพิวเตอร์อย่างเดียวที่ได้ดีหน่อย นอกนั้นก็ปานกลางถึงขั้นแย่ ก็ไม่มีดี แต่หน้าที่ผมก็คือต้องเรียนให้มันจบ ตกแล้วก็ดรอปอีก ตกแล้วก็เรียนใหม่ ผมเรียนจบปริญญาตรีจบที่เกรดเฉลี่ย 2.01 คาบเส้น เขาให้จบ 2.0 แต่เราแถมให้ .01 ก็พอแล้ว เทอมสุดท้ายถ้าไม่จบก็รีไทร์ เรียนอยู่บนเส้นยาแดงผ่าแปดมาตลอด อยู่ในมหา’ลัยด้วยความตุ๊มๆ ต่อมๆ ตลอดเวลา แต่ก็จบ 5 ปี ถือว่าไม่เลวร้ายเท่าไหร่ 

ตอนเรียนผมทำกิจกรรมเยอะ เจอผู้คนเยอะตอนที่เรียนหนังสืออยู่ ฐานะทางบ้านก็ไม่ค่อยดี เลยต้องไปเป็นเซลส์ขายคอมพิวเตอร์ได้เงินไม่เยอะ 3,500 บาท ได้ค่าคอมมิชชั่นอีกประมาณ 1,500-2,000 บาท เดือนนึงก็ได้ประมาณ 5,000-6000 บาท แม่ให้ 3,000 บาท ก็เหลือเงินเดือน 8,000 บาท หาเงินเอาไว้เที่ยวกับเพื่อนๆ แบกคอมฯ ไปขายคอมพิวเตอร์สมัยก่อนก็ตัวใหญ่มาก หน้าจอใหญ่ แล้วรถผมก็ไม่มี ต้องแบกขึ้นรถเมล์ขึ้นสาย 95, ปอ.15 จำได้แม่น (หัวเราะ) เพื่อเอาคอมฯไปให้ลูกค้า ดูเสร็จต้องแบกคอมฯ กลับไปสีลมเก็บของ แล้วนั่งจากสีลมมาเรียนเอแบคที่หน้ารามเพื่อมาเรียนหนังสือ ตอนนั้นผมย้ายมาเรียนภาคค่ำ วันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อที่จะได้ทำงานตอนกลางวันได้ แต่เอาเข้าจริงชีวิตผมเน้นกิจกรรมเป็นหลักแหละ ที่เหลือก็เป็นเล่นกีฬา จะชอบเล่นบาสฯ ฝีมือก็พอได้อยู่ เล่นเป็นเซ็นเตอร์ ผมติดเพื่อน พอตกเย็นก็มีแต่ก๊วนเล่นกีฬา เล่นเสร็จก็ไปลงขวด (หัวเราะ)

Q : เสน่ห์ของการดื่มอยู่ตรงไหน 

A : สมัยเรียนติดเพื่อนมากกว่า ไม่ได้ชอบรสชาติ ชอบบรรยากาศที่อยู่ในวงเหล้า นั่งคุยกันฮา แล้วมีความรู้สึกว่ารักกันจริง เพื่อนเจอตอนกลางวันไม่ค่อยรักกัน ตอนกลางคืนทำไมมันรักกันจังวะ นึกออกป่ะ ตื่นเช้ามา เอ๊ะ...เมื่อคืนมึงรักกูไหมตกลง (หัวเราะ) บรรยากาศมันสนุก วัยรุ่นไม่ต้องคิดไรมาก สมัยซ่าๆ กิจกรรมที่ทำมีไม่กี่อย่าง ดูหนัง แทงสนุ๊ก เล่นกีฬา วันเสาร์-อาทิตย์ ก็ออกไปตั้งแคมป์ต่างจังหวัด โบกรถสิบล้อ ตังค์ไม่มี ผลัดๆ กันโบก 3 คน 4 คน ผู้ชายหมด แล้วก็ไปเพชรบุรีไปตั้งแคมป์ ทำกับข้าวกิน

...


Q : ชีวิตเข้ามาเส้นทางธุรกิจการบินมูลค่ามหาศาลยังไง

A : พอจบมาก็เริ่มทำงาน มันก็โตไปตามสายงานเรื่อยๆ ที่ผ่านมาก่อนจะมาอยู่แอร์เอเชียผมเปลี่ยนมา 3 บริษัท (บ.อาดัมส์ (ประเทศไทย) จำกัด บ.มอนซานโต้ ไทยแลนด์ และบ.วอร์เนอร์มิวสิก (ประเทศไทย) จำกัด) แล้วก็เรียนรู้วิชาตามที่เจ้านายเขาสอนมา จนกระทั่งมาที่นี่ไทยแอร์เอเชีย

Q : หลายคนรู้ไม่รู้ว่าคุณเคยเขียนบทหนังถึงขั้นส่งไปออสการ์ อยู่กับท่านมุ้ย (หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล) ด้วย ?

A : ก็ไม่เชิงเขียน นั่งช่วยกันเป็นลูกมือท่าน ทำทุกอย่าง ผมรู้จักท่านได้เพราะเพื่อนที่เรียนด้วยกันพี่สาวเขาเป็นหม่อมที่รู้จักกับท่านมุ้ย แล้วผมสนิทกับน้องชายเขา แล้วก็เข้า-ออกในกองถ่ายตั้งแต่อยู่มัธยม เพื่อนก็ไปทำ แต่เพื่อนจะอยู่กอง ส่วนเราอยู่ออฟฟิศก็ช่วยท่านทำเหมือนเป็นเลขาฯท่าน ทำทุกอย่างจริงๆ ติดต่อเมืองนอก ติดต่อ นู่น นี่ นั่น นั่งเขียนบท ตัดต่อบทส่งให้ดารา

ที่นั่นผมทำหนังอยู่ 3 เรื่อง 1.คนเลี้ยงช้างเป็นหนังที่ทำเยอะที่สุด 2.มือปืน 2 สาละวิน และ 3.น้องเมีย ผมทำคนเลี้ยงช้างมาก่อนทำส่งออสการ์ด้วย ผมเป็นคนทำซับไตเติ้ลเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกๆ ที่ส่งออสการ์ รู้สึกจะได้อันดับหนังที่ 15 ของหนังต่างประเทศที่เมืองคานส์ เรื่องนี้ผมทำซับไตเติ้ล แล้วก็ตัดต่อ ทำทุกอย่าง กินนอนอยู่ในห้องตัดต่อ ห้องอัดเสียงกับท่านมุ้ย เรียกว่าตามไปทุกที่ทำอะไรก็ต้องไปทำด้วยกัน

...

Q: มีโอกาสได้ซึมซับอะไรจากท่านมุ้ยบ้างไหม 

A : ท่านแบบดูยิ่งใหญ่นะ เก่งและอึดอดทนมากๆ ไม่หลับไม่นอน 3 วัน ถ้าไม่เสร็จก็ไม่นอนเลย ไม่รู้อยู่ได้ไง ไอ้เราบางทียังง่วงเลย แกอายุเยอะกว่าเราตั้งเยอะผมอยู่ทำงานกับท่านตอนยังเรียนไม่จบ พอเรียนจบปุ๊บก็ตัดสินใจว่าอยากจะทำงานเกี่ยวกับที่เรียนมาก็เลยอยู่บริษัทผลิตลูกอม  

Q : ดูไม่ค่อยเกี่ยวกันเลย ?

A : จริงๆ ที่ผมเรียนมาเป็นสาย marketing เรียนจบ marketing จบมาแบบไม่ค่อยรู้เรื่องว่าเรียนจบอะไรมาบ้าง ซึ่งที่นั่นเป็นบริษัทต่างชาติมันมีระบบ ที่นี่ผมได้เรียนรู้ว่าระบบการทำงานเป็นยังไง ขั้นตอนการทำงานเป็นยังไง การจะออกสินค้าใหม่เป็นยังไง ออกมาแล้วต้องทำยังไง ฝ่ายขายต้องทำยังไง ฝ่าย marketing ทำไง โฆษณาทำยังไง ก็เรียนรู้ที่นั่นแหละ ถือเป็นต้นแบบ ผมทำงานหนักอยู่ฝ่ายการตลาด มานานเกือบ 5 ปี

Q : ได้อะไรบ้างที่บริษัทลูกอมและน้ำตาลเทียมบ้าง?

A : ก็ได้ฟันผุมา (หัวเราะ) ได้ความรู้เบสิกทางด้านการตลาดมาพอสมควร ก็เป็นสิ่งที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้จริงๆ แล้ว 

...

Q : การทำงานระหว่างบริษัทคนไทยกับ บริษัทต่างประเทศแตกต่างกันไหม?

A :งานมันคนละประเภทเลย อันนึงมันเป็นงานแบบมีระบบ มีโน่นมีนั่น ของท่านมุ้ยนี่คือเหมือนกับครีเอทีฟอ่ะ เป็นงานศิลปะ เวลาไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตื่นกี่โมงก็ได้ แต่ห้ามนอน (หัวเราะ) 3 วัน 4 วัน ยังเคยเลย หลังจากนั้นก็เหมือนเข้าสู่ เข้าสาย พองานอยู่นี่ 5 ปี มีคนมาชวนทำงานใหม่ เราก็ไป และมาจบอยู่ที่ Warner music ทำเพลงแล้วก็กระโดดมาแอร์เอเชีย

Q : warner music ท่าทางจะสนุกน่าดู 

A  : สนุกดีฮะ ฮามาก ลูกน้องดี แล้วช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่ยังดีอยู่ แต่เริ่มจะลงล่ะ เพราะแผ่นผีเยอะมาก แต่ก็ยังมีความสนุกหลงเหลืออยู่บ้าง ผมได้มิตรแท้ พี่แท้เยอะมากไม่ว่าจะเป็นพี่แอ๊ด และกลุ่มคาราบาว ปู-พงษ์สิทธิ์ มี วิยดา โกมารกุล และพี่สาวอีกหลายๆ คน เป็นชีวิตที่สนุกรึเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าลูกสาวคนเนี้ยก็โตในห้องอัด (หัวเราะ) คาราบาวก็ทำอัลบั้มไป ไอ้นี่ก็นอนกินนมอยู่บนพื้นห้องอัด ผมอยู่ที่นั่น 5 ปี แล้วกระโดดมาทำ แอร์เอเชีย เพราะทีมงานที่อยู่ แอร์เอเชีย ยุคแรกๆ ส่วนใหญ่จะเป็นทีมที่มาจาก warner music จากหลายๆ ประเทศ มาฟอร์มทีมกัน ตั้งกันเป็นแอร์เอเชีย แล้วก็เลยชวนกันออกมาทำ

Q : ออกมาทำชนิดที่ ไม่เคยทำธุรกิจเรื่องเกี่ยวกับการบินมาก่อน ?

A : ไม่เคย ทุกคนในนั้นไม่เคยเลย เรื่องความยาก-ง่าย เนื่องจากเรามันโง่ตรงที่เราไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง มันก็เลยทำไปแบบนั้น มีปัญหาก็แก้ๆ กันไป ก็มันไม่รู้ว่าจะเจออะไร เพราะถ้าเกิดเป็นคนสายการบิน เขารู้ว่าจะเจออะไร เขาก็คงไม่ทำแบบเรา ตอนแรก ๆ ประสบปัญหาทุกอย่างเลย เพราะเราไม่รู้เลย เราไม่รู้เลยว่าเราจะเจออะไรบ้างไง อย่างเราต้องขายตั๋วบนอินเทอร์เน็ต เพราะว่าเราไม่อยากมีเอเจนต์ พอเราไม่ work คุยกับเอเจนต์ เอเจนต์ก็ไม่ขายตั๋วให้เราอีก เสร็จปั๊บ อินเทอร์เน็ตบ้านเราตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยบูม ก็เลยใช้ไม่เป็น แบบนี้ยอดขายบนอินเทอร์เน็ตก็ 30-40% ก็เลยแบบขลุกๆ ขลักๆ

หรือไม่มีอาหารเสิร์ฟ คนก็บ่น ว่าแบบอะไรวะ ไม่มีโน่น นี่ นั่น เลย ซื้อตั๋วแล้วก็คืนไม่ได้อีกสารพัดสารเพเรื่อง คือทั้งหมดเป็นโมเดลใหม่ คนเขายังไม่ชอบ ยังไม่ชิน พอไม่ชินก็มีเสียงบ่น ทำไมทำอย่างโน่นอย่างนี้ เอาเปรียบผู้บริโภครึเปล่า แต่มันก็เป็นของใหม่ เราก็ใช้วิธีแก้กันทีละเปลาะๆ 3-4 ปี จึงเริ่มที่จะพอเข้าที่เข้าทางบ้าง แต่ระหว่างทางก็เจอปัญหาทุกวัน ถามว่าไม่ท้อเหรอ ไม่ท้อ เพราะมันเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว คือเป็นเรื่องใหม่ อันนี้พอเข้าใจได้ ตอนนั้น แอร์เอเชีย ที่นี่เริ่มต้นด้วยคนราว 200 เอง จริงๆ บริษัทแม่ แอร์เอเชีย อยู่ที่ประเทศมาเลเซีย แล้วเขาก็มาไดเวนเจอร์กับเรา เขาถือหุ้น 49% เราถือ 51%

Q : ดูตามเส้นทาง และการดีลธุรกิจแต่ละดีลจนมาเป็นที่นี่ คุณได้ชื่อว่าเป็นซุปเปอร์คอนเน็กชั่นคนหนึ่งในเมืองไทย 

A : คอนเน็กชั่นใช่ แต่ยังไม่ซุปเปอร์ (หัวเราะ) อย่างที่บอก จริงๆ เรารู้จักกันอยู่แล้วมากกว่า ผมยังจำบรรยากาศวันแรกที่นี่ได้เลยนะสนุกกว่าวันนี้นะ ตอนนี้มันเริ่มใหญ่ คนเริ่มเยอะ สมัยก่อนนี้แบบเจอกันทุกวัน เฮฮา และระหว่างทางมันก็มีเหตุการณ์โน่น นี่ นั่น เข้ามากระทบอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องการเมืองทั้งหลาย ถ้าพูดถึงจุดเปลี่ยนก็ยังไม่เปลี่ยน เพราะเราก็เป็นไทยแอร์เอเชียของเราอยู่ ตอนนั้นคุณทักษิณผู้ถือหุ้น 49% ขายหุ้นไทยแอร์เอเชียให้เทมาเส็กแต่นโยบายไม่ชัดเจน คนในองค์กรเร่ิมไม่มั่นคง แต่เราต้องการทำให้ไทยแอร์เอเชียปลอดการเมือง ก็เลยคุยกับผู้บริหารทั้ง 5 คนในปัจจุบันว่าต้องไปซื้อกลับมาจากเทมาเส็ก ถามว่าตัดสินใจอย่างไร ตอนนั้นไม่ต้องตัดสินใจเลย ต้องทำเลย ไม่งั้นเดี๋ยวไม่ทัน 

Q  : ในวงสนทนา 5 คนวันนั้นคุยอะไรกันบ้าง

A : ก็ถามกันว่าเอาไหม ทุกคน (ทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย, พรอนันต์ เกิดประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน, นาวาอากาศเอกธนภัทร งามปลั่ง ผอ.การฝ่ายปฏิบัติการการบิน ปรีชญา รัศมีธานินทร์ ผอ.วิศวกรรม หม่อมหลวงบวรนวเทพ เทวกุล ผอ.การฝ่ายพัฒนาธุรกิจ และสันติสุข คล่องใช้ยา ผอ.ฝ่ายการพาณิชย์) พูดตรงกันว่าเอา เราก็ไปหาตังค์กัน ประมาณเกือบพันล้าน เราก็กู้มาเป็นก้อนทีเดียว แล้วก็เอามาแบ่ง (มีหุ้นร่วมกัน 55%) แต่ของผมๆ มันครึ่งกว่าอยู่แล้ว

Q : คุยกับธนาคารยังไงเพราะเงินกู้ไม่ใช่น้อยๆ แถมธุรกิจนี้ก็มีการเมืองมาเกี่ยวข้องด้วย ?

A : ก็บอกแบบนี้แหละ ก็ไม่มีใครให้ก็กู้ กลัวหางเลขทางการเมือง ก็กู้แบงก์ต่างชาติ (Credit Suisse) แบงก์ไทยไม่มีใครกล้าปล่อยกู้เลย

Q : วันนี้พูดได้เต็มปากแล้วใช่ไหม ว่าไทยแอร์เอเชียเป็นของพวกเรา 5-6 คนแล้ว ?

A : พูดได้เต็มปากและเต็มใจ จริงๆ ไม่ใช่ของพวกเราล่ะ เพราะเราจดเป็นตลาดหลักทรัพย์ล่ะ เป็นของคนไทย แต่ก็ยังมีคนพูดถึงอยู่ว่าเป็นของโน่น นี่นั่น เหมือนอย่างวันนี้ เทมาเส็ก ขาย AIS ไปแล้ว เทมาเส็กยังบอกเป็นของทักษิณอยู่ ซึ่งมันก็ห้ามไม่ได้

Q : ย้ำอีกทีตอนนี้ไทยแอร์เอเชียเป็นของคุณทักษิณอยู่ไหมตอนนี้

A : ไม่เป็นๆ ไม่มี


Q : ไม่มี นอมินี ...?

A : ไม่มีครับ เพราะว่าวันที่ขาย ก็จบ จบตั้งแต่ตรงนั้นล่ะ ถามว่าผลกระทบเยอะไหม เยอะมาก ถ้าเกิดเราไม่ซื้อกลับ เราก็คงจอดำเหมือนในทีวี แต่ก็รอดมาได้ เรียกได้ว่าพอทำอะไรเสร็จปั๊บก็เดินหน้ากันเต็มสูบ เพราะเราจะใช้หนี้เขาได้ เราต้องทำบริษัทให้แข็งแรงถือเข้าตลาดหลักทรัพย์ เราก็จะเอาเงินที่เราได้จากการขายหุ้นมาชำระหนี้ และในช่วงนั้น 5 ปี ก็ปั่นให้บริษัทมันโต เพราะถ้าเกิดไม่โต มันก็เข้าตลาดไม่ได้ พอเข้าตลาดไม่ได้ เมื่อครบ 5 ปี แล้วไม่มีเงินไปจ่ายเขา เดี๋ยวก็โดนยึดอีก เพราะช่วงนั้นพอผ่านมาปั๊บ ก็เป็นช่วง 5 ปี ที่ต้องทำให้แข็งแรง แล้วเราก็เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ 2 ปีและ

Q : คุณเคยบอกว่าไม่อยากเข้าตลาดหลักทรัพย์เพราะต้องเปิดเผยข้อมูลทั้งหมด ที่นี่มีความลับอะไรหนักหนาขนาดนั้น ?

A : บางครั้งมันเป็นเรื่องของความลับว่าจะเปิดเส้นทางไหน ยังไง หรือเราเปิดให้คนอื่นเห็นหมดเลย ข้อดีคือความโปร่งใส แต่ข้อเสียคือบางทีมันก็เป็นความลับของบริษัท แล้วเราอยู่ที่ช่วงที่มีคู่แข่งเยอะ ถ้าเราไปเปิดหมดเลย คนก็เห็น เอ๊ะ ..ต้นทุนไอ้นี่แพงกว่า ของเราถูกกว่า หลายๆ อย่างเป็นแผนกลยุทธ์ที่เราต้องไปเปิดเผย แล้วทุกคนก็จะรู้