ถ้าพูดถึง “ผู้นำประเทศที่ขยันที่สุดในปฐพี” คงไม่มีใครเกินหน้า “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย เข้ามารับตำแหน่งไม่ถึงปี แต่เดินสายทำหน้าที่ “สุดยอดเซลส์แมนประเทศไทย” จีบนักลงทุนมาแล้วเกือบทั่วโลก ล่าสุด เดินสาย 10 วันรวด เยือนทั้งฝรั่งเศส, อิตาลี และญี่ปุ่น ระหว่าง 15-24 พ.ค. 2567 เพื่อหาโอกาสใหม่ๆทางธุรกิจให้คนไทยโดยไม่ลืมหยิบ “ผ้าขาวม้าทอมือ” ไปใส่อวดภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย

“ผมเดินทางถึงฝรั่งเศสแล้วครับ เช้านี้อากาศอยู่ที่ 11 องศา เย็นๆ มีฝนเล็กน้อย ผมหยิบผ้าขาวม้าทอมือ ที่ได้ตอนไปประชุม ครม. จังหวัดเพชรบุรี มาพันคอ ตั้งแต่ลงจากเครื่องบิน และจะพันคอตลอดการทำภารกิจที่ฝรั่งเศส เพื่อช่วยโปรโมตผ้าให้ร้านผ้าบ้านชะอาน SME ท้องถิ่นของบ้านเรา ผ้าลายนี้คือ “ลายเพ็ชรราชวัตร” มีมานานตั้งแต่สมัยอยุธยา เป็นภูมิปัญญาของคนไทย

...

...ครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือน ที่ได้พบกับท่านประธานาธิบดีฝรั่งเศส “เอมานูว์แอล มาครง” มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมในหลายเรื่อง โดยเฉพาะการค้า, การลงทุน และ Soft Power ในระยะเวลาสั้นๆเพียงครึ่งวัน ได้พูดคุยกับประธานาธิบดีมาครง 3-4 ชั่วโมง ซึ่งนับว่าเป็นการพูดคุยที่ได้ประโยชน์อย่างมาก ผมกับท่านประธานาธิบดีได้หารือกันในหลายประเด็น ทั้งเรื่อง FTA, EV และ VISA Free Schengen ในวันเดียวกันนี้ ผมไปร่วมงาน “Thailand-France Business Forum” ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มีการยืนยันความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศสที่แนบแน่น พร้อมย้ำศักยภาพไทยเรื่อง Logistic, Aviation, Digital และเพื่อความต่อเนื่องในเดือนกันยายนจะมีการจัด “Thailand-France Business Forum ครั้งที่ 2” ที่ประเทศไทย โดยทางฝรั่งเศสจะพาคณะนักธุรกิจ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์มาด้วย ถือเป็นการใช้เวลาหนึ่งวันได้อย่างคุ้มค่า และเป็นการจบภารกิจที่ฝรั่งเศสอย่างสวยงาม งานวันนี้เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นร่วมกันระหว่างท่านประธานาธิบดีมาครงและผม ที่ต้องการสร้างเวทีให้ภาคเอกชนชั้นนำได้พบปะ และเชื่อมโยงกันทางธุรกิจ ที่ทั้งสองประเทศมีศักยภาพที่จะร่วมมือกัน เช่น ด้านพลังงาน Circular industry, รถยนต์, อาหาร และเครื่องดื่ม รวมถึงการให้บริการ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการค้า, การลงทุน และความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้ดียิ่งขึ้น นี่คือโอกาสของไทยที่จะบอกเล่าถึงสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ และเป้าหมายที่ตั้งไว้ ตามวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND” และยืนยันอีกครั้งว่า Thailand is open for business”

ลุยต่อไม่รอแล้วนะ!! เสร็จสิ้นภารกิจไวกว่าแสง “นายกฯเศรษฐา” ก็เดินทางต่อไปเยือน “อิตาลี” อย่างเป็นทางการ พบปะหารือ “นางจอร์จา เมโลนี” นายกรัฐมนตรีหญิงอิตาลี เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอิตาลี ซึ่งในปี 2567 จะครบรอบ 156 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน พร้อมขยายความร่วมมือในสาขาที่ไทยและอิตาลีมีศักยภาพร่วมกัน

...

“เยือนอิตาลีอย่างเป็นทางการวันนี้ ตั้งใจมาหารือความร่วมมือกับประเทศอิตาลี ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้าการลงทุน, การเกษตร, แฟชั่น, พลังงานหมุนเวียน ตลอดจนด้านการท่องเที่ยว ซึ่งชาวอิตาลีมาไทยปีๆหนึ่งกว่า 190,000 คน จากการพูดคุยกันส่วนตัวระหว่างผมกับท่านนายกฯอิตาลีมีหลายประเด็น เปิดด้วยเรื่องวีซ่าเชงเก้นที่เรามีการขอประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรปอยู่แล้ว ท่านนายกฯอิตาลีตอบว่าคนไทยที่มาเที่ยวที่นี่ไม่เคยสร้างปัญหาอะไรให้อิตาลีเลย และสะดวกต่อการดำเนินธุรกิจด้วย นอกจากนี้ ยังมีเรื่อง FTA, ความมั่นคง, แฟชั่น, พลังงาน โดยเฉพาะพลังงานสะอาด และก๊าซธรรมชาติ ไปจนถึงความต้องการแรงงานด้านการเกษตรเฉพาะฤดู ที่สำคัญคือเรื่อง “Landbridge” ซึ่งทางอิตาลีมีความสนใจเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ท่านนายกฯอิตาลีได้เสนอเองเลยครับว่า เราควรมี target ที่ชัดเจนในการมานั่งคุยกัน และเซ็น MOU ทั้งระหว่างภาคเอกชนกับเอกชน และเอกชนกับรัฐบาล โดยเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า ท่านนายกฯอิตาลีจะมาเยือนประเทศไทย ซึ่งผมได้ชวนท่านเที่ยวภูเก็ตด้วย เพราะท่านยังไม่เคยมาเยือนไทย ซึ่งท่านสนใจมาก เรากำลังจะเปิดไฟลท์กรุงเทพฯ-มิลาน ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ และกรุงเทพฯ-โรม ในช่วงหน้าหนาวของเราด้วย การเยือนอิตาลีครั้งนี้บอกเลยว่าได้รับผลตอบรับที่เหนือความคาดหวังที่ตั้งไว้”

...

ไปถึงเมืองหลวงแฟชั่นโลกทั้งที “นายกฯเศรษฐา” ย่อมไม่ลืมโปรโมตภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย...“ผมได้นำผ้าย้อมครามธรรมชาติจากโครงการดอนกอยโมเดล ซึ่งเป็นโครงการจากพระดำริ “สมเด็จพระเจ้า ลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา” มาเสนอ “Ermenegildo Zegna Group” ธุรกิจเสื้อผ้าไฮเอนด์ของอิตาลี ที่ครึ่งหนึ่งผลิตผ้าให้แบรนด์หรูระดับโลก โดยทาง “Zegna” สนใจผ้าดอนกอยของเรามาก และอีก 10 วันจะส่งผู้เชี่ยวชาญมาสกลนครเพื่อดูวิธีการผลิต, แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และผลิตสินค้าร่วมกัน เช่น กางเกงยีนส์ นี่คือจุดเริ่มต้นของการยกระดับมูลค่าจาก 1,000 ให้เป็น 100,000 นำสินค้าท้องถิ่นไทยและผ้าครามดอนกอยให้ออกสู่สายตาชาวโลกครับ

...

...ส่วนการพูดคุยกับเจ้าของแบรนด์ “Loro Piana” อัลตราลักชัวรีแบรนด์ของอิตาลี รู้สึกว่าเขาจะเจอกับตัวแทนประเทศไทยช้าไป เพราะช่วงที่ผ่านมายอดขายในสาขาที่ไทยของเขาเยอะมากจนทำให้เขามีแพลนจะเปิดสาขาเพิ่มที่ไอคอนสยาม และปีถัดไปจะเปิดที่ภูเก็ต แต่หากไม่ได้เปิดสาขาก็จะเปิดเป็น concept store ที่ไม่ใช่แค่ร้านค้า แต่จะมี cafe, exhibition และ beach club ขณะที่เรื่องวัสดุเราแนะนำผ้าย้อมครามสกล จากโครงการดอนกอยโมเดล จ.สกลนคร ซึ่งใช้การผลิตจากวัสดุธรรมชาติ ภายใต้แนวพระดำริฯ ให้กับทางแบรนด์ และอีกวัสดุที่เขาสนใจมากคือจำพวกจักสาน โดยทาง “Loro Piana” สนใจที่จะเข้ามาศึกษาการผลิตเครื่องจักสานของไทยด้วยครับ”

เยือนอิตาลี 5 วัน “นายกฯเศรษฐา” เจรจาเป็นร้อยเรื่อง รวมถึงการ พบปะ “คาร์โล คาปาซา” ประธานสภาหอการค้าอิตาลีด้านอุตสาหกรรมแฟชั่น เพื่อผลักดันหลายเรื่อง เช่น ชวนสภาหอการค้าอิตาลีมาจัดแฟชั่นวีกร่วมกับประเทศไทย, ผลักดันให้มีการแลกเปลี่ยนดีไซเนอร์รุ่นใหม่, สร้างความร่วมมือในการส่งเสริมการผลิตผ้าด้วยกรรมวิธีผลิตที่ยั่งยืนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และขอแรงสนับสนุนแบรนด์ไทยให้เข้าร่วมในมิลานแฟชั่นวีก นอกจากนี้ ช่วงเย็นยังหารือกับผู้บริหาร “Leitner” บริษัทชั้นนำของโลกในการทำกระเช้าลอยฟ้า เพื่อชวนเข้ามาลงทุนโครงการเคเบิลคาร์ในประเทศไทยโดยเฉพาะกระเช้าขึ้นภูกระดึง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างเศรษฐกิจให้ชุมชน

ปักหมุดว่าต้องเยือน “แคว้นลอมบาร์เดีย” เขตเศรษฐกิจใหญ่ของอิตาลี โดยระหว่างพบปะกับผู้ว่าการแคว้นลอมบาร์เดีย และเลขาธิการองค์การบริหารแคว้นลอมบาร์เดีย ด้านความสัมพันธ์ต่างประเทศอิตาลีและยุโรป “นายกฯเศรษฐา” ได้ชวนแบรนด์รถอิตาลีและธุรกิจภาคการเกษตรให้ลงทุนในไทยมากขึ้น พร้อมสร้างความร่วมมือในการส่งเสริมและลงทุนด้าน “Clean Energy” ในประเทศไทย

แม้จะมีเวลาสั้นๆระหว่างทำภารกิจที่มิลาน “นายกฯเศรษฐา” ขอแวะไปห้าง “Rinascente” เพื่อเยี่ยมชมบูธแบรนด์ “Sirivannavari” และบูธผลิตภัณฑ์ผ้าไทยในโครงการ “Thainess Station” ก่อนกระโดดไปเยือนห้องเสื้อ “Versace” ร่ายมนต์ให้รับนักศึกษาฝึกงานด้านแฟชั่นจากเมืองไทย รวมถึงอยากให้จัดอีเวนต์ในเมืองไทยมากขึ้น ขาดไม่ได้คือการพบปะผู้บริหาร “Bvlgari” แบรนด์เครื่องประดับชั้นนำโลก นายกฯพรีเซนต์ว่าไทยเป็นผู้ส่งออกอัญมณี และเครื่อง ประดับอันดับต้นๆของโลก ช่างไทยมีฝีมือเจียระไนอัญมณีประณีตไม่แพ้ชาติใด จึงเสนอให้พิจารณาประเทศไทยเป็นแหล่งวัตถุดิบให้กับเครื่องประดับบุลการี พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการผลิตและเจียระไนอัญมณีระหว่างกัน เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมอัญมณีของไทย

ไฟแรงเฟร่อจริงๆ!! นายกฯยังลุยต่อแวะไปเยี่ยมชมธุรกิจใหญ่ๆ ของอิตาลีหลายแห่ง เพื่อดึงดูดการลงทุนเข้าไทย อาทิ โรงงานผลิตชีสยักษ์ใหญ่ของอิตาลี “Parmigiano Reggiano”, ธนาคารชั้นนำของอิตาลี “Intesa Sanpaolo” มี 3,300 สาขาทั่วประเทศ และกว่า 900 สาขาทั่วโลก, “Leonardo S.p.A.” บริษัทเทคโนโลยีอวกาศที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี, “Generali Interna tional” บริษัทประกันภัยชั้นนำครบวงจรระดับโลก, “Ducati Motor Holding S.p.A.” ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของอิตาลี, “Barilla G.e.R. Fratelli S.p.A.” บริษัททำเส้นพาสตาใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก, “Eni” บริษัทพลังงานใหญ่ที่สุดในอิตาลี และ Top 15 ของโลก

และที่เฟี้ยวสุดๆคือ นายกฯของเราเลือกใส่เชิ้ตผ้าขาวม้าสีพาสเทลจากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ แมตช์กับเสื้อหนังสุดเท่ ไปหารือกับผู้บริหาร F1 ที่สนามแข่งรถ “Autodromo Enzo e Dino Ferrari” เมืองโบโลญญา พร้อมหารือกับ “Formula One Group” ผู้ถือสิทธิ์การแข่งขัน “FIA Formula One World Championship” ขอโอกาสให้ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน F1 ในปี 2027 หรือ 2028 ที่กรุงเทพฯ เพื่อดึงดูดทั้งนักลงทุนและนักท่องเที่ยว ซึ่งจะยกระดับเศรษฐกิจของประเทศไทย

ปิดท้ายโรดโชว์ใหญ่ด้วยการเยือนประเทศญี่ปุ่น เพื่อเข้าร่วมและกล่าวปาฐกถาในการประชุม “Nikkei Forum of Asia ครั้งที่ 29” ณ กรุงโตเกียว ภายใต้หัวข้อ “Asian Leadership in an Uncertain World” นายกฯย้ำศตวรรษของเอเชียมาถึงแล้ว เอเชียพร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำของโลก เพราะเราคือพลังงานของโลก เราคือรากของซัพพลายเชน คือโรงงานผลิตสินค้า และเป็นโรงครัวผลิตอาหารให้โลก เป็นแหล่งพลังงาน และเป็นบ้านของคนเกินครึ่งหนึ่งของประชากรโลกมากกว่า 4.78 พันล้านคน นอกจากที่ประชุมจะให้คำมั่นร่วมมือกัน 3 ด้าน เพื่อมุ่งสู่ศตวรรษของเอเชีย ทั้งด้านการค้าการลงทุน, การเปลี่ยนผ่านสีเขียว และการมุ่งสู่ดิจิทัล นายกฯญี่ปุ่นยังสนับสนุนไทยเต็มที่ในการสมัครเป็นสมาชิก OECD แม้คิวแน่นเอี้ยด แต่นายกฯก็แบ่งเวลาไปพบปะภาคเอกชนญี่ปุ่นหลายราย ทั้ง Mitsui & Co, Ajinomoto, Nidec Corporation, Sony และ MUFG & SoftBank โดยไม่ลืมใส่เสื้อเชิ้ตผ้าขาวม้าสีสันสดใสจากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ มาอวดชาวญี่ปุ่นด้วย

ถึงสุภาษิตว่าไว้ “Rome wasn’t built in a day” กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว แต่ “นายกฯเศรษฐา” ก็เชื่อมั่นว่าผลงานตนจะไม่ยาวนานแบบการสร้างกรุงโรม หลายเรื่องที่ได้ไปติดต่อพูดคุยมาก็อยากให้สำเร็จโดยเร็วทันใจประชาชน (ทันใจนายกฯที่ขยันที่สุดในปฐพีด้วย)

ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่