ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุ นับเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงวัย กระทบต่อความมั่นใจ ทำให้ไม่อยากเข้าสังคม ที่สามารถส่งผลถึงปัญหาสุขภาพจิตและการเกิดอุบัติเหตุจากการหกล้มเนื่องจากการรีบเข้าห้องน้ำได้ในอนาคต ปัญหานี้เกิดจากอะไร และสามารถรักษาได้หรือไม่
สาเหตุผู้สูงอายุกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
ผู้สูงอายุกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มาจากสาเหตุหลายปัจจัยด้วยกัน ซึ่งพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
- ผู้หญิง : เกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงอย่างรวดเร็วในวัยหมดประจำเดือน เป็นเหตุให้ผนังท่อปัสสาวะบางลง ลดความสามารถในการปิดของหูรูดท่อปัสสาวะ ส่งผลให้หูรูดปิดสนิทได้ยากขึ้น กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ ปัสสาวะเล็ดได้ง่ายเมื่อไอ จาม หัวเราะ หรือยกของหนัก
- ผู้ชาย : เกิดจากต่อมลูกหมากโต ขวางทางเดินปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะตกค้างในกระเพาะปัสสาวะมาก ทำให้ต้องปัสสาวะบ่อย หรือปัสสาวะเล็ด
- ระบบประสาทในการควบคุมการขับถ่ายบกพร่อง มักพบในผู้ป่วยทางจิตเวช เช่น ผู้ป่วยสมองเสื่อม ซึมเศร้า สมาธิสั้น วิตกกังวล
- ติดเชื้อ หรือมีเนื้องอกในทางเดินปัสสาวะ
- สภาพร่างกายที่เคลื่อนไหวไม่ได้หรือไม่สะดวก
- มีอาการไอ จาม เป็นประจำ
- ท้องผูกเป็นประจำ
...
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เช่น กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ ซึ่งอาจเกิดจากการตั้งครรภ์และการคลอดบุตร ผู้ที่มีความสามารถในการเคลื่อนไหวร่างกายบกพร่อง ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรือการได้รับยาบางชนิด เป็นต้น
อาการผู้สูงอายุกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
ความรุนแรงของอาการ เริ่มตั้งแต่การมีปัสสาวะหยดมาเปื้อนกางเกงในปริมาณที่ไม่มากนัก ไปจนถึงมีอาการปัสสาวะเล็ดออกมาเป็นปริมาณมาก บางครั้งอาจมีอุจจาระเล็ดร่วมด้วย ผู้สูงวัยบางท่านแม้ยังไม่เริ่มมีอาการดังกล่าวแต่ก็อาจเริ่มมีอาการดังต่อไปนี้ เช่น
- ปัสสาวะบ่อยในตอนกลางคืน
- ปัสสาวะไม่สุด
- รู้สึกอยากปัสสาวะอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งอาการเหล่านี้ล้วนมีความสัมพันธ์ต่อการเกิดอาการปัสสาวะเล็ดได้ทั้งสิ้น
วิธีแก้ไขปัญหาผู้สูงอายุกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
ผู้สูงอายุกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ สามารถแก้ไขได้ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
1. ฝึกควบคุมการขับถ่ายของกระเพาะปัสสาวะ (bladder training)
หรือฝึกการปัสสาวะตามเวลาที่กำหนด เป็นการฝึกเพื่อยืดระยะเวลาของการเข้าห้องน้ำแต่ละครั้งให้นานขึ้น และให้กระเพาะปัสสาวะมีความเคยชินกับปริมาณปัสสาวะที่มากขึ้น โดยเริ่มจากฝึกกลั้นปัสสาวะให้นานขึ้นครั้งละประมาณ 30 นาที จนกระทั่งรู้สึกว่าสามารถทนได้ดี (อาจใช้เวลา 3-5 วัน) จากนั้นให้ปรับเพิ่มระยะเวลาระหว่างครั้งให้นานขึ้น จนความถี่ในการเข้าห้องน้ำลดลงเป็นทุกๆ 2-4 ชั่วโมง
2. ฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (pelvic floor muscle exercise)
ซึ่งทำได้โดยขมิบรูทวารและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (สังเกตการขมิบกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้จากการพยายามจะกลั้นปัสสาวะ) ระหว่างขมิบให้นับ 1-5 ช้าๆ แล้วคลายกล้ามเนื้อลง ให้ทำซ้ำประมาณ 10-15 ครั้ง จำนวน 3 เซต เป็นประจำทุกวัน และไม่ควรกลั้นหายใจขณะบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
3. การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น
เช่น เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่าง ชา กาแฟ โกโก้ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยาเพื่อลดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ เช่น ยากลุ่ม Anti-muscarinic และ Beta-3 agonist
4. หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
โดยเฉพาะในบริเวณที่มีฝุ่นหรือกลิ่นแรง ป้องกันการเป็นหวัด เพื่อเลี่ยงการไอ จาม
5. แก้ปัญหาท้องผูก
ด้วยการรับประทานผักผลไม้ ดื่มน้ำให้เพียงพอ เคลื่อนไหวร่างกาย และออกกำลังกาย เป็นต้น
6. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
เพื่อช่วยลดแรงดันภายในช่องท้อง
...
ในกรณีที่ไม่สามารถรักษาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ด้วยตนเองได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษา ซึ่งจะมีตั้งแต่การรักษาด้วยการฉีดสาร Botulinum toxin, การรักษาด้วยการใช้เลเซอร์ ไปจนถึงการรักษาด้วยการผ่าตัด
ข้อมูลอ้างอิง : คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, CaregiverThai.com พลังใจสู้สมองเสื่อม, รพ.กรุงเทพ