โลกกำลังเข้าสู่ยุคเปิดกว้างเรื่องความหลากหลายทางเพศ กระนั้น กระแสคนไร้เพศ “Genderless” เพิ่งจุดติดในประเทศไทยไม่นานนี้เอง โดยหัวหอกสำคัญที่มีส่วนผลักดันให้สังคมไทยเปิดกว้างยอมรับว่าผู้ชายก็แต่งหน้าได้ ต้องยกเครดิตให้ “ไบรอัน ชิน” หนุ่มมาเลเซียเชื้อสายจีน วัย 42 ปี ที่ตกหลุมรักประเทศไทย และกลายเป็นไอดอลของกลุ่มคนไร้เพศ สร้างแรงบันดาลใจมหาศาลให้กับหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ผ่านช่องทางไอจี “tao_brian

“เราเป็นพ่อคนมาก่อน ถามว่าวันนี้ยังเป็นผู้ชายไหม คำตอบคือใช่ แต่เรา จะแต่งตัวแมนๆไหม ก็ไม่ชอบแต่ง หรืออยากใส่กระโปรงเป็นสาวสองไหม ก็ไม่นะ เราเป็นผู้นำกระแส “Genderless” คือ “คนไร้เพศ” จึงอยากสร้างที่ยืนบนโลกใบนี้ให้ผู้ชายที่ไม่ได้แมนมาก และมีความนิ่ม ซึ่งมีอยู่เยอะในสังคม ถ้าผมเป็นอย่างนี้แล้วยังมีที่ยืนในสังคม ทุกคนที่เป็น “คนไร้เพศ” ก็สามารถหาพื้นที่ของตัวเองได้”...“หนุ่มไบรอัน” บอกเล่าตัวตนที่ค้นพบใหม่

...

เติบโตมาในครอบครัวแบบไหน

ผมโตมาในแฟมิลี่ที่ไม่เหมือนชาวบ้าน พ่อแม่ผมเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วทั้งคู่ ทำให้ครอบครัวเราไม่ได้สมบูรณ์ตั้งแต่แรก ผมมีน้องสาวหนึ่งคน ครอบครัวเราฐานะกลางๆมีกินมีใช้แต่ไม่ได้รวยมาก พ่อเป็นเจ้าของสำนักงานกฎหมาย ผมจบทนายที่อังกฤษเหมือนกัน เรียนจบปั๊บก็กลับมาทำงานกับพ่อ ตั้งใจสืบทอดธุรกิจด้านกฎหมายจากครอบครัว แต่ทำงานกับพ่อได้ 6 เดือนก็ขอลาออก เพราะรู้สึกไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง มีแต่คนมาเคาะประตูให้เราแก้ปัญหาของเขา แทบจะซึมเศร้าเลยครับ จากนั้นไปได้งานที่สิงคโปร์ เป็นบริษัทนำเข้าแบรนด์ GAP จากอเมริกา มาเปิดที่มาเลเซีย แล้วก็ทำงานกับ CLUB 21 ที่มาเลเซีย เป็นโอเปอเรชันแมเนเจอร์และแบรนด์แมเนเจอร์ ดูแลหลายแบรนด์ ทำมาหลายปีอยากเปลี่ยนงานบ้าง จึงลองสมัครเป็นสจ๊วตและทำงานเป็นลูกเรือสายการบินมาเลเซียยาวเลย 13 ปีเต็ม

ตอนนั้นค้นพบความแซ่บของตัวเองหรือยัง

ตอนเป็นลูกเรือผมแต่งงานมีครอบครัวแล้ว และมีลูกสาว 2 คน ในชีวิตไม่เคยมีความคิดเรื่องพวกนี้ ระหว่างอยู่กินกับภรรยา 11 ปี ไม่มี อะไรรู้สึกผิดปกติ ไม่ได้มีความชอบที่แตกต่าง เป็นครอบครัวที่ดูจากภายนอกก็สมบูรณ์แบบดี ยอมรับว่าอยู่กินกันมานาน มันอาจจะเลยจุดโรแมนติกมากรักมาก แต่เป็นสามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันเพื่อลูกและมีความรับผิดชอบมากกว่า โฟกัสของเราคือหาเงินส่งลูกเรียนอินเตอร์ กระทั่งเมื่อ 6 ปีก่อนเราไฟน์เอาต์ว่าภรรยานอกใจมีคนอื่น!! ผมรู้สึกว่าเราอาจจะไม่ดีพอ จึงขอเลิกกับเขา!! ทุกวันนี้ยังคุยกันไหม ก็คุยในฐานะพ่อแม่ของลูก แต่ไม่เชิงเป็นเพื่อนกันได้ แค่รู้ว่าหน้าที่เราเป็นพ่อและเขาเป็นแม่ โดยลูกอยู่กับเขาที่บ้านของเราในมาเลเซีย

เข้ามาปักหลักอยู่ประเทศไทยได้อย่างไร

ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาอยู่เมืองไทย แต่เป็นความบังเอิญ เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ผมเดินทางไปปารีสด้วยสายการบินไทย ทำให้ต้องต่อไฟลท์ที่กรุงเทพฯเพื่อบินกลับบ้านที่มาเลเซีย ไฟลท์จากปารีสมาถึงกรุงเทพฯตอน 6 โมงเย็น และไฟลท์ออกอีกทีไปมาเลเซีย 5 ทุ่มกว่า เราเลยไปนั่งรอที่เลานจ์ และเผลอหลับไป พอได้ยินชื่อตัวเองประกาศครั้งสุดท้าย วิ่งไปจะถึงเกตสนามบินแล้ว เห็นเครื่องบินยังอยู่ สะพานเทียบเครื่องบินก็ยังไม่ถอด แปลว่าเรารอดแล้วได้กลับบ้าน แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ให้ขึ้นเครื่องแล้ว เพราะกระเป๋าเดินทางของเราวิตดรอว์ออกมาแล้ว และแนะนำให้จองตั๋วใหม่วันถัดไปไฟลท์ 8 โมงเช้า พอถึงเวลาจริงๆ เครื่องบินจากมาเลเซียไม่มา เพราะที่มาเลเซียเริ่มมาตรการล็อกดาวน์โควิดวันแรก แล้วที่กรุงเทพฯก็สั่งล็อกดาวน์ตามมา เราคิดว่าล็อกดาวน์แป๊บเดียวไม่เป็นไร ก็อยู่กรุงเทพฯอีก 2-3 วันเที่ยวไปก่อน ตอนแรกพักโรงแรม ผ่านไป 2-3 อาทิตย์ เริ่มไม่โอเค ยังไม่มีวี่แววว่าจะเปิดประเทศ อยู่ไปอยู่มากลายเป็น 2 เดือน 3 เดือน เลยตัดสินใจไปเช่าห้อง จากวันนั้นจนถึงวันนี้เข้าปีที่ 6 แล้ว มันเป็นดวงจริงๆทำให้ต้องมาอยู่ประเทศไทย ทั้งที่ชีวิตนี้ผมไม่เคยตกเครื่อง เพราะเป็นสจ๊วตมา 13 ปี มันเป็นอาชีพของเรา ถ้าตกเครื่องก็คือไม่ได้ไปทำงาน

...

ความรักครั้งใหม่กับหนุ่มไทยเกิดขึ้นอย่างไร

หลังจากเลิกกับแฟน ผมมาเที่ยวเมืองไทย ได้เจอกับ “คุณเต๋า” ซึ่งเป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ดูแลลูกค้าของ CLUB 21 คุยกันไปคุยกันมารู้สึกว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดี ตอนนั้นยังไม่รู้ตัวเองว่าเราได้กับผู้ชายด้วยซ้ำ ยังเป็นผู้ชายที่มีหนวด ทั้งชีวิตไม่เคยมีความคิดเรื่องนี้ รู้แต่ว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่งและเทกแคร์เราดีมาก คบไปคบมาก็มาถึงจุดนี้ คือเป็นแฟนกันแล้ว

...

ก้าวข้ามตัวเองยังไงให้ยอมรับความรักรูปแบบใหม่

เราเจออะไรที่โคตรเลวร้ายในชีวิตมาแล้ว ทำให้รู้ว่าบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอนเสมอไป ไม่ใช่ว่าวันนี้ยูแต่งงานจัดเลี้ยงใหญ่โตแล้วจะมีความสุข ถ้าเราแต่งงาน 10 กว่าปี แล้วทุกอย่างมันพินาศได้ ก็คือไม่มีอะไรการันตีแล้ว ผมจึงเปิดใจให้ทุกคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ การที่เราต้องอยู่กับผู้หญิง, ผู้ชาย, เกย์ หรือสาวสอง เราไม่สนอะไรทั้งนั้น ขอแค่คำเดียวคือขอให้เขาเป็นคนดี ไม่ว่าจะเพศไหนก็ตามขอให้เป็นคนดี ไม่อยากเจอคนทรยศคนใจร้ายอีกแล้ว กับ “คุณเต๋า” ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไปธรรมชาติมาก

...

อยากพูดถึงความเป็นพ่อไหม กลัวไหมว่าลูกจะไม่ยอมรับเรา

ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรยังไงก็ตาม แต่ความเป็นพ่อไม่เคยเปลี่ยน เรายังรับผิดชอบหน้าที่ของพ่อเหมือนเดิมทุกอย่าง ยังดูแลค่าใช้จ่ายทุกอย่างของลูกๆ เรามอบชีวิตให้เขาแล้วก็ต้องทำให้ลูกมีชีวิตสมบูรณ์ที่สุด ทุกวันนี้เรายังซัพพอร์ตลูกๆในทุกเซ็กเมนต์ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็น เรื่องชีวิต, เรื่องเงิน, เรื่องการเรียน เขามีปัญหาอะไรเราเคลียร์ให้หมด ถ้าพ่อไม่รับผิดชอบเขา ลูกๆคงไม่เอาพ่อคนนี้หรอก และคงไม่บินมาหาผมที่เมืองไทย มันง่ายมากทุกอย่างอยู่ที่ความรับผิดชอบของเรา ลูกโตเป็นสาวแล้วครับ คนโตอายุ 12 ปี และคนเล็กอายุ 11 ปี ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมไม่เคยปิดกั้นลูกๆจากไอจี และคิดว่าลูกๆก็คงรับเราได้ในแบบนี้ เวลาไปเจอลูกก็ไม่เคยปิดบังตัวตน แต่งหน้าจัดเต็มเหมือนปกติ ไม่อยากเจอลูกแล้วแอ๊บแมน ผมเชื่อว่าถึงเราจะชอบแต่งตัวแบบนี้ เราก็เป็นพ่อที่ดีได้ ถ้าเราเป็นพ่อที่รักลูกและรับผิดชอบในหน้าที่ของพ่อ ถึงเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน แต่การทำหน้าที่พ่อที่ดีคือเป้าหมายสำคัญที่สุดของผม อยากส่งลูกให้ถึงจุดหมายปลายทาง ได้มีอนาคตที่ดีที่สุด ถึงเราจะเป็นอะไรก็ตาม แต่ไม่ได้เปลี่ยนอินไซด์ความเป็นพ่อของเรา

อะไรคือจุดพีกของความสำเร็จที่ทำให้โด่งดัง

ผมเริ่มเปิดไอจีเมื่อปี 2022 มีคนฟอลโลว์ไม่กี่พัน แต่หลังจากใส่สายสะพายไทยแลนด์ไปร่วมแฟชั่นวีกที่มิลานและปารีส ยอดฟอลโลเวอร์ก็เพิ่มเป็นเกือบครึ่งแสน ภูมิใจสุดคือตอนไปมิลานกับปราด้า เมื่อซีซันสปริง/ซัมเมอร์ 2023-2024 ในฐานะผู้ชายคนแรกในประวัติศาสตร์ของปราด้า ที่ได้รับเชิญไปดูโชว์ของผู้หญิง ผมได้จับมือกับ “มิวเซีย ปราด้า” เขาถามว่าเราชื่ออะไร ผมไม่ได้ บอกว่าไบรอัน เพราะโลกนี้มีไบรอันล้านคน แต่ตอบว่า My name is Thailand!! เขาก็ยิ้มบอกว่า Hello Thailand อีกโชว์ของแซงต์โลรองต์ที่ปารีส “แอนนา วินทัวร์” บก.โว้ก อเมริกา เรียกเราไปถ่ายรูปด้วย เพราะใส่ชุดสีแดงเหมือนกัน ท่ามกลางคนส่วนใหญ่ที่ใส่แต่สีขาวดำ อันนั้นคือจุดพีกของเรา ตั้งแต่ผมเปิดตัวในไอจีมีแฟนๆตามฟอลโลว์เยอะมาก หลายคนขอบคุณที่เราสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขา ถามว่าวันนี้ไม่แต่งหน้าแบบนี้ผมอยู่ได้ไหม...ก็อยู่ได้ แต่ถ้าพูดถึงผู้ชายลุกขึ้นมาแต่งหน้าแนวนี้ มันกลายเป็นคาแรกเตอร์ของผมคือไบรอันไปแล้ว มีช่างภาพหลายคนบอกว่าถ้าต้องการผู้นำเทรนด์แฟชั่นแนวนี้ ก็นึกถึงแค่ไบรอัน ทำให้รู้ว่าเราสำเร็จแล้วในการสร้างจุดขายให้ตัวเอง

ในฐานะไอดอลของ “คนไร้เพศ” อยากส่งพลังอะไรให้คนรุ่นใหม่บ้าง

ต้องกล้าหาญและเป็นตัวของตัวเอง ต้องมองข้ามสายตาของคนอื่น ถ้าเราเป็นแบบนี้แล้วมีความสุขก็ไม่ผิด ขอให้เราไม่ทำร้ายใคร เรื่องความรักก็เหมือนกัน วันนี้เราคบกับผู้ชายคนหนึ่ง แต่เราไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ได้ทำให้ใครนั่งร้องห่มร้องไห้ เรามีเหตุผลอะไรที่จะอยู่ด้วยกันไม่ได้!! เราอยู่กับเขาแล้วมีความสุข ถ้ามีความสุข แล้วทำไมจะไปต่อไม่ได้

ตอนนี้ถือว่าเมืองไทยเป็นโฮมสวีตโฮมหรือยัง

เอาง่ายๆเวลากลับมาเลเซีย รู้สึกว่าเราไปเที่ยว ถึงตอนนี้พูดได้เต็มปากว่าประเทศไทยคือบ้านผม ถ้าถามถึงอดีตชาติก็เชื่อว่า เราเคยเกิดเป็นคนไทยคนหนึ่ง ทำให้ต้องมาใส่สายสะพายไทยแลนด์อย่างทุกวันนี้.


ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่