ประเทศญี่ปุ่นเตรียมออกนโยบายวีซ่าใหม่อย่าง ‘Digital Nomad Visa’ เอาใจคนที่ทำงานออนไลน์ หรือ ทำงานในรูปแบบ Remote Worker (ทำงานที่ไหนก็ได้) สามารถเดินทางมาพำนัก และท่องเที่ยวในประเทศได้ถึง 6 เดือน หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ และการพัฒนาดิจิทัล
ปัจจุบันหลังจากโรคระบาดที่ผ่านมา พฤติกรรมของมนุษย์ได้เปลี่ยนไปอย่างมากมาย รวมทั้งยังมีเทคโนโลยีที่พัฒนามาเป็นตัวช่วยในการทำงานผ่านโลกออนไลน์ ซึ่งทำให้สามารถสั่งการ และทำงานผ่านที่ไหนก็ได้บนโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดแนวทางใหม่ในการทำงาน และเพิ่มมิติทางเลือกใช้ชีวิตให้กับผู้คนจำนวนมาก
จากเหตุการณ์ข้างต้นทำให้พนักงาน และผู้คนเกิดเทรนด์ในการทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work From Anywhere) มากขึ้น และเริ่มผันตัวเองเป็น Digital Nomad ที่เป็นกลุ่มคนที่แสวงหาความท้าทายในชีวิตด้วยรูปแบบงานใหม่ๆ
ประชากรในรูปแบบ Digital Nomad คือ ผู้ที่ทำงานอิสระพร้อมกับเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ โดยมีที่ทำงานเป็นร้านกาแฟ สถานที่ท่องเที่ยว หรือ Co-working Space โดยใช้อุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตไร้สายในการทำงานเป็นหลัก
การที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับ กลุ่มคน Digital Nomad มากยิ่งขึ้น เพราะคนกลุ่มนี้ต่างจากพนักงาน Freelance ทั่วไป โดยมักจะเป็นนักเดินทางที่มีการเดินทางท่องเที่ยวไปพร้อมๆ กับการทำงานผ่านระบบออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีความต่างจาก Expatriate ในหลายจุด อาทิ ลักษณะงานที่เป็นอิสระ ไม่ยึดติดกับพื้นที่สำนักงาน ทำให้กลุ่ม Digital Nomad มีลักษณะคล้ายไปกับนักท่องเที่ยวมากกว่า เป็นการทำงานที่เรียกว่า Remote Work อย่างเต็มรูปแบบ
...
ผนวกกับสถิติของ The Rise of Global Digital Jobs กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้คนทั้งหมด 73 ล้านคน ที่สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ (Remote Work) อย่างเต็มรูปแบบ และในปี 2023 จะมีจำนวนคนที่ทำงานในรูปแบบนี้เพิ่มขึ้นเป็น 90 ล้านคน
สาเหตุนี้เองทำให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองญี่ปุ่น ได้พิจารณาการออกวีซ่าแบบใหม่ให้ผู้ที่ประกอบอาชีพแบบ Digital Nomad เพื่อที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ และยังเป็นแรงขับเคลื่อนในการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในกลุ่ม Digital Nomad ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อใช้เป็นแรงจูงใจในการดึงดูดพนักงานทักษะสูง เจ้าของบริษัทต่างชาติ รวมถึงเหล่ายูทูบเบอร์ ให้เข้ามามากขึ้นนั่นเอง
เงื่อนไขของวีซ่า Digital Nomad Visa ประเทศญี่ปุ่น
- ผู้ขอวีซ่าต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านเยนต่อปี หรือราว 2.4 ล้านบาทต่อปี
- ผู้ขอวีซ่าต้องเป็นพลเมืองของ 50 ประเทศ และดินแดนที่ทำข้อตกลงยกเว้นวีซ่ากับญี่ปุ่น (รวมประเทศไทย)
- มีประกันสุขภาพเอกชน
ทั้งนี้ผู้ที่ได้รับวีซ่า Digital Nomad Visa จะสามารถพำนักในประเทศญี่ปุ่นได้ถึง 180 วัน (6 เดือน) และสามารถทำงานได้ ซึ่งมีความแตกต่างกับวีซ่านักท่องเที่ยวที่จะได้รับอนุญาตให้อยู่ในญี่ปุ่นได้สูงสุดเพียง 90 วันเท่านั้น และไม่สามารถทำงานได้นั่นเอง นอกจากนี้ผู้ขอวีซ่ายังได้รับสิทธิในการพาสมาชิกในครอบครัวที่มีประกันสุขภาพเอกชนให้เดินทางมาด้วยได้
คาดการณ์ว่า Digital Nomad Visa นี้กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ ซึ่งจะแล้วเสร็จ และทำการให้ยื่นเรื่องขอวีซ่าได้ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2024.
ข้อมูล : worldeconomicforum
ภาพ : istock