พูดคุย ตู่ ภพธร สุนทรญาณกิจ ศิลปินเสียงนุ่ม อันเป็นเอกลักษณ์ ที่มาพร้อมกับบทบาท หน้าที่ ในการทำงานที่หลากหลาย รวมถึงร่วมแชร์แนวคิดการทำงาน มุมมองชีวิต และประสบการณ์ของ ‘คุณพ่อ’ ที่น่าสนใจของคนวัย 42 ปี ย่างเข้า 43 ปี 

ตู่ ภพธร สุนทรญาณกิจ หนึ่งในศิลปินที่อยู่ในวงการบันเทิงมาอย่างยาวนาน ทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง ซึ่งมีผลงานเพลงที่มีชื่อเสียงอยู่มากมาย เช่น "ถ้าหาก", "พูดทำไม", "แต่ยังคิดถึง", "โปรดอย่ามาสงสาร" และอีกมากมาย เป็นหนึ่งในนักร้องผู้มอบความสุขด้วยเสียงสุดนุ่มนวล และอบอุ่น ใครได้ฟังก็มักจะรู้ทันทีว่านี่คือ “ตู่ ภพธร”

ภพธร สุนทรญาณกิจ เด็กหนุ่มที่ไล่ตามความฝันในการร้องเพลงมาตั้งแต่ในประเทศสหรัฐอเมริกา จนได้มาร้องแบ็กอัพให้กับ บอย โกสิยพงษ์ และมีเพลงที่คุ้นหูอย่าง “จะทำยังไง” (What will I do) ในอัลบั้ม Rhythm & Boyd E1EVEN1H ก่อนที่จะได้ออกผลงานเพลงในอัลบั้มแรกของตัวเอง และมีชื่อเสียงอย่างมากในตอนที่อยู่ค่ายเพลง LOVEiS

...

ปัจจุบัน ตู่ ภพธร เป็นที่รู้จักในฐานะศิลปิน และนักแต่งเพลงที่ทำงานในวงการบันเทิงมามากกว่า 17 ปี โดยมีบทบาทนอกเหนือจากนี้ในหลากหลายตำแหน่งไม่ว่าจะเป็น นักแสดง คอมเมนเตเตอร์ นักพากย์ รวมทั้งตำแหน่งเป็นหัวหน้าครอบครัวในฐานะคุณพ่อของลูกสาว 2 คน กับนุช นุชนันท์ (ภรรยา) อย่าง ลริสา สุนทรญาณกิจ (น้องริสา) และ ริณณ์ สุนทรญาณกิจ (น้องเรย์)

ชีวิตของนักร้องเสียงนุ่มคนนี้ช่างน่าสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งในมุมมองการทำงานในยุคที่เปลี่ยนแปลงไป การปรับตัวในวงการบันเทิงสมัยใหม่ รวมถึงการแนวคิดการใช้ชีวิตหลังจากเป็นคุณพ่อลูกสอง เขาคนนี้สามารถควบคุม และจัดการกับสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร 

ไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ ‘ตู่ ภพธร สุนทรญาณกิจ’ ในเรื่องของการใช้ชีวิตก่อนเข้าสู่วัย 43 ปี ว่าอะไร คือ หลักความคิดในการทำงาน การใช้ชีวิต สุขภาพ และความท้าทายของ ตู่ ภพธร หลังจากอยู่ในวงการเพลงมากว่า 17 ปี และมองภาพตัวเองในอนาคตอย่างไร เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ให้ได้ติดตามกัน

Perfectionist (เพอร์เฟกชันนิสต์) บุคลิกการทำงาน ที่เหมือนดาบสองคม

ความเป็น ‘เพอร์เฟกชันนิสต์’ ในตัวเอง เหมือนดาบสองคม มีทั้งเรื่องดี และไม่ดีต่อ 'การทำงาน' ที่มีความยากต่อการตัดสินใจ ตู่ ภพธร เผยว่า "ตัวเองนั้นเป็นคนประเภทเพอร์เฟกชันนิสต์ ที่กลัวความไม่สมบูรณ์ จนบางครั้งทำให้งานสำเร็จได้ยาก เพอร์เฟกชันนิสต์ ในสายงานดนตรีที่ตัวผมทำมีทั้งข้อดี และเสียในตัวมันเอง เริ่มจากข้อดี คือ งานค่อนข้างลงรายละเอียดเยอะ ผ่านการคัดเลือกในหลายด่าน และขั้นตอน ซึ่งรับรองได้ว่า คนที่ฟังเพลง หรือเสพงานของผมต้องได้สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดเกือบ 100% จากนิสัยของผมอย่างแน่นอน” 

ข้อเสียของความสมบูรณ์แบบในตัวเอง ภพธร เผยว่า “เป็นเรื่องน่ากังวลใจไม่น้อย เพราะ อาจทำให้ชิ้นงานนั้นมีความล่าช้า และตัวผมเองจะชอบหาข้อเสียในผลงานชิ้นนั้นอยู่ตลอด เกิดการแก้งานวนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสมบูรณ์ที่สุด อาจทำให้ผู้ร่วมงานเหนื่อยได้ แถมบางทียังวนกลับมาทำให้ตัวเองเครียด และกังวลใจว่างานที่กำลังจะปล่อยออกไปนั้นดีพอหรือยัง”

...

วิธีจัดการกับปัญหานี้ของ ตู่ ภพธร คือ การวางไทม์ไลน์ (กำหนดเวลา) ให้ชัดเจน เช่น ต้องกำหนดเวลาให้แน่ชัด เพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่าจะต้องปล่อยวางกับงานเหล่านี้แล้ว ด้วยการกำหนดวันต่างๆ เช่น กำหนดแต่งเพลงให้จบวันไหน มิกซ์มาสเตอร์ และวันปล่อยเพลงก่อนเริ่มงานนั้นๆ ไปเลย หรือบางครั้งก็ใช้ 'ความเกรงใจ' ต่อผู้ที่ร่วมงานด้วย เพื่อเตือนสติตัวเองว่า ต้องสรุปให้ได้แล้วว่างานตัวไหนจะสมบูรณ์ที่สุดในช่วงเวลานั้น เพราะถ้าไม่ตั้งเวลา หรือกำหนดการเหล่านี้

“พี่ตู่แก้งานไม่รู้จบแน่ๆ ต้องตัดใจ และเลือกความสมบูรณ์ ณ ช่วงเวลานั้น” ภพธร กล่าวด้วยรอยยิ้ม

ความเกรงใจ ส่งผลต่อการปรับตัว และทำงานกับคนต่างเจเนอเรชันหรือไม่

การทำงานในพาร์ตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นักร้อง นักแสดง หรือ นักพากย์เสียง ส่วนใหญ่ก็ต้องทำงานร่วมกันกับคนในทุกเจเนอเรชันอยู่แล้ว ซึ่งในแต่ละช่วงวัยก็จะเจอปัญหาที่แตกต่างกันออกไปอย่างมากมายไม่สามารถเหมารวมได้ ความเกรงใจจึงเกิดได้กับคนทุกเจเนอเรชัน

...

ตู่ ภพธร กล่าวตัวอย่างว่า “บางครั้งคนที่อายุน้อยกว่าพี่ตู่ จะมีลักษณะความคิด การพูด และการทำงานที่ไวมากๆ เหมือนชอบอย่างไหนก็เอาอย่างนั้นเลย ไม่คิดเยอะ ตัดสินใจให้ทันทีทำให้เราได้ไอเดียใหม่ๆ อยู่เสมอ หรือในบางคนก็เป็นนิสัยเดียวกับพี่ตู่เลย คือ เพอร์เฟกชันนิสต์ และละเอียดมากๆ ซึ่งคนอายุสูงกว่าพี่ก็มี"

พี่ตู่จึงคิดว่า “ช่วงวัยอาจจะไม่ได้เป็นอุปสรรค หรือต้องปรับตัวเท่าไร เพราะลักษณะเหล่านี้ผมว่ามันขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัย ตามมุมมองของคนนั้นๆ มากกว่า”

ทั้งหมดทำให้คนอายุน้อย กับคนอายุมากก็มีข้อดีที่แตกต่างกัน เราสามารถจะพูดคุยแลกเปลี่ยนได้อย่างเต็มที่กับคนอายุน้อยกว่า ส่วนคนที่อายุมากกว่า ทำให้เกรงใจ และตรงเวลากับงานมากขึ้น โดยผู้ที่มีอายุเยอะกว่ามักจะมีประสบการณ์ที่มากกว่า และเชื่อว่าจะทำให้ทุกอย่างออกมาดี

อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับนิสัย และบุคลิกของบุคคลนั้นๆ และปัจจัยอื่นๆ เสียมากกว่าที่จะส่งผลต่อการทำงาน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับช่วงอายุเพียงอย่างเดียว

ภพธร กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทั้งหมดอาจเป็นเพราะผมเลือกคนที่จะมาทำงาน ผ่านการกลั่นกรองในความเป็น ‘เพอร์เฟกชันนิสต์’ ของผมด้วยอยู่แล้ว ทำให้ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตาม เราค่อนข้างที่จะไว้ใจ และเชื่อมือ” 

...

ความดุ ที่แอบแฝงในสายลมแห่งความหวังดี บนความสมบูรณ์แบบ

ความดุของ ภพธร อาจเป็นเรื่องจริงอย่างที่ใครๆ เคยพูดไว้ ซึ่งเกิดมาจากโรคติดความสมบูรณ์ที่เปลี่ยนไปเป็นอีกความรู้สึกได้โดยไม่รู้ตัว "ความต้องการในสิ่งที่สมบูรณ์ของงาน ทำให้เวลาทำงานด้วย อาจจะมีเผลอซีเรียสไปบ้าง และบวกกับนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนนิ่งๆ อยู่แล้ว เลยอาจจะมีรังสีความดุนี้ออกมา"

"ปัจจุบันตอนนี้พยายามพูดด้วยรอยยิ้มมากขึ้น เพื่อไม่ให้ผู้ร่วมงานรู้สึกแบบนั้น และจริงๆ ผมไม่ได้เป็นคนดุขนาดนั้นนะ" ภพธร กล่าวปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะ

รังสีความดุนี้ที่ออกมา นอกจากการทำงานแล้ว ก็ส่งผลไปถึงลูกๆ ด้วย เพราะการเป็นคนที่มีน้ำเสียงโทนต่ำ บวกกับสีหน้าที่ดูจริงจัง และหวังดี อาจทำให้ลูกมองว่าตัวเองเป็นคนดุไปเสียอย่างนั้น

ตู่ ภพธร กล่าวว่า “ลูกๆ อาจคิดไปเอง เพราะ จริงๆ คือ ความหวังดีเสียมากกว่า บางทีเราอยากจะให้เขานั่งคาร์ซีตเพื่อความปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องหนึ่งที่เราเป็นห่วงมากๆ บางครั้งเขากินเค็มมาก ใส่ซอสเยอะ เราก็ห่วงสุขภาพเด็กๆ ก็เลยเผลอไปพูด จนเขารู้สึกว่า เราเองเป็นคนที่ชอบไปขัดความสนุก ความสนใจของเด็กตลอด จึงกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกว่าเราดุ"

ภพธร ได้แก้ปัญหานี้ด้วยการมองไปทางอื่นบ้าง แกล้งไม่สนใจบ้าง ปล่อยๆ ความสมบูรณ์แบบเหล่านี้ไปเท่าที่ตัวเองจะทำได้

"ผมมักจะเตือนกับสติตัวเองเสมอ และบอกกับกับความรู้สึกตัวเองว่า โตขึ้นเขาคงจะรู้เองถึงความหวังดีตรงนี้ของพ่อ และแม่แหละครับ” ปิดท้ายด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ

ตู่ ภพธร สุนทรญาณกิจ และ นุช นุชนันท์ อรัณยะนาค
ตู่ ภพธร สุนทรญาณกิจ และ นุช นุชนันท์ อรัณยะนาค

ประสบการณ์ และเทคนิคการเลี้ยงลูก 2 คน ของ “คุณพ่อภพธร” 

ฐานะคุณพ่อลูกสอง มีเทคนิคการปรับตัวตามวัยของลูก การบริหารจัดการเวลาในการทำงาน และการเลี้ยงลูกไปด้วยอย่างไร คุณพ่อ ภพธร กล่าวว่า “การเลี้ยงลูกนั้นยากเสมอ แต่สิ่งที่ทำให้ดูง่ายขึ้นได้คงต้องยกเครดิต และขอบคุณที่มีตัวช่วยที่ดีในชีวิตอย่างภรรยา (นุช นุชนันท์ อรัณยะนาค) ที่เข้าใจในงานของตัวผม ความต้องการ และยอมเสียสละบางอย่างเพื่อครอบครัวของเรา”

ตัวช่วยสำคัญ ที่ทำให้การทำงาน - ดูแลครอบครัว ง่ายขึ้น

“นุช เข้าใจผมเป็นอย่างดีว่าผมต้องการใช้เวลาอยู่กับลูกบ้าง แต่การทำงานของผมบางครั้งมักจะใช้เวลานาน ทำให้บางทีเขา (นุช นุชนันท์) ก็ชอบที่จะพาลูกๆ มาหาในที่ทำงาน เพื่อให้ลูกได้เจอว่าคุณพ่อนั้นกำลังทำอะไรอยู่ ส่วนเราก็ได้มีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น และมีเวลาได้อยู่กับลูกเพิ่มขึ้น”

แน่นอนว่างานเป็นสิ่งสำคัญในการหาเลี้ยงจุนเจือ แต่ครอบครัวก็สำคัญพอๆ กัน ยิ่งในช่วงนี้ ลูกทั้งสองกำลังอยู่ในวัยที่มีพัฒนาการเยอะกำลังเรียนรู้ และกำลังติดพ่อ - แม่ มากๆ ผมจึงพยายามให้ความสำคัญกับครอบครัวพอสมควร เพื่อที่ใช้เวลาในช่วงนี้ในการเห็นลูกเติบโต และทำความเข้าใจลูกมากที่สุด

ตู่ ภพธร สุนทรญาณกิจ และ นุช นุชนันท์ อรัณยะนาค
ตู่ ภพธร สุนทรญาณกิจ และ นุช นุชนันท์ อรัณยะนาค

ความแตกต่างของเด็กเจเนอเรชันเก่า - ใหม่ 

ปัจจุบันลูกของ คุณพ่อ ภพธร และคุณแม่นุชนันท์ มีอายุครบ 5 ขวบ กับ 2 ขวบ ซึ่งเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เขาจะค้นพบตัวตนของเขามากขึ้นทุกวัน มีลักษณะนิสัยส่วนตัวที่ชัดขึ้น เริ่มมีความคิดของตัวเอง ทำให้เราอยากศึกษา และรู้จักตัวตนเข้าให้มากขึ้นกว่าเดิม 

ตู่ ภพธร กล่าวว่า “ปัจจุบันนี้เด็กเริ่มมีการแบ่งฝ่ายแล้ว” พูดเคล้าเสียงหัวเราะ “บางทีเขาก็จะเลือกคุยกับแม่มากกว่า แต่บางเรื่องเขาก็จะเลือกคุยกับผมบ้าง (บางเรื่องนะ)”

ทำให้คิดว่า เด็ก 5 ขวบ ในยุคเจเนอเรชันนี้โตไวมากๆ และเริ่มเป็นวัยรุ่นตัวน้อย ตัวอย่างเช่น บางครั้งที่เขาอาจรู้สึกอึดอัดใจอะไรบางอย่าง ก็จะเริ่มกระซิบกับคุณแม่ โดยที่ผมก็นั่งอยู่ข้างๆ ทำตาปริบๆ นี่แหละครับ คือเหตุผลที่ผมอยากมีเวลาให้ลูกมาขึ้นกว่านี้แล้วตามคำถามข้างต้น

ความเห็น ในเรื่องของความแตกต่างจากเด็กที่เกิดมาในคนละยุค

ตู่ ภพธร ให้คำตอบว่า “ผมจำไม่ได้หรอกครับว่าสมัยนั้นผมเป็นแบบนี้หรือเปล่า แต่ที่แน่ชัดเลย คือ สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป การเลี้ยงดูที่มีการพัฒนาไปมากก็อาจจะใช่ครับ ในสมัยนี้ครอบครัวมีการเลี้ยงดูที่ปล่อยอิสระให้เด็กมากขึ้น และอาจทำให้เด็กกล้าคิดกล้าทำมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็ส่งผลดีนะ เด็กๆ ดูมีพัฒนาการที่โตไวขึ้น มีความคิดที่นอกกรอก เฉลียวฉลาดมากกว่าแต่ก่อนเยอะ เราเองก็มีหน้าที่พยายามชี้นำในทางที่ถูกทางมากกว่า พยายามไม่กีดกัน เพื่อให้เขาได้มีประสบการณ์ด้วยตนเอง”

วิธีรับมือกับเด็กยุคใหม่

ตู่ ภพธร ให้คำตอบว่า “สติของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญสุดในการสอนเด็ก เพราะว่า เด็กในวัยเท่านี้ มักจะมีลักษณะเดียวกันหมด การวางแผนกับตัวเอง ตั้งสติเพื่อสอนให้เขาเติบโตมาในทางที่ถูกต้อง บนเส้นทางที่เขาจะรับฟัง และตั้งสติกับอารมณ์ ไม่ดุ ไม่ตะคอก เพื่อให้เด็กๆ รับรู้ว่าเรานั้นเป็นเสาหลักให้เขาเกาะ และพึ่งพิงในวันที่ต้องการ เพียงเท่านี้เวลามีปัญหาเขาก็จะกล้าคุยกับเราได้โดยตรงอย่างไม่มีความกระอักกระอ่วนใจ"

สุขภาพ และการเตรียมตัวของ ‘ตู่ ภพธร’ ในวัยย่างเข้า 43 ปี

ภพธร เล่าถึงการดูแลสุขภาพว่า “พออายุเข้าวัย 43 ทำให้รู้เลย ‘การนอน’ คือ สิ่งสำคัญที่สุด หากร่างกายได้พักฟื้น นอนเพียงพอ ส่งผลต่อต่อร่างกายแทบทั้งหมด ‘การออกกำลังกาย’ หากมีเวลาแนะนำให้ทำร่วมเพื่อช่วยการเผาผลาญของร่างกายในช่วงวัยที่สูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม สองสิ่งที่กล่าวมานี้ คนที่ทำงานหนัก หามรุ่งหามค่ำ ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยากลำบากมากๆ เพราะ ศิลปินมีนิสัยไม่ดี ในการทำงานที่ไม่เป็นเวลา ซึ่งทำให้ไม่มีเวลาที่ตายตัว ไหนจะอัดเพลง เล่นดนตรีกลางคืน”

ภพธร จึงเล่าถึงสิ่งที่โฟกัส และคอยช่วยมาตลอดนั่นก็คือ “การกิน การเลือกอาหารที่ดี กินของที่มีประโยชน์ ลดเค็ม ลดหวาน และให้สารอาหารที่ครบถ้วน ถือว่าตอบโจทย์ที่สุด”

การวางแผนชีวิตของ ภพธร สุนทรญาณกิจ เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมาก ศิลปินเสียงนุ่ม กล่าวว่า “ความเป็นเพอร์เฟกชันนิสต์ และชอบความสมบูรณ์แบบทำให้เป็นคนชอบวางแผนตลอดในทุกช่วงอายุเลยไม่ค่อยมีความกลัวไม่ว่าจะเข้าสู่ช่วงอายุไหนก็ตาม” 

ตู่ ภพธร วางแผนในทุกขั้นตอนการใช้ชีวิต เริ่มมาจากความเป็นเพอร์เฟกชันนิสต์ ที่ติดเป็นนิสัยทุนเดิม จนเริ่มมีการวางแผนชีวิตตั้งแต่ตอนยังเป็นวัยรุ่น ซึ่งตามที่ทุกคนเข้าใจว่า ‘วัยรุ่น’ อาจทำให้แผนต่างๆ อาจไม่เป็นไปตามต้องการบ้าง แต่พอมีครอบครัว การวางแผนที่รัดกุมจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะผลักดันให้เราต้องทำให้ตามแผนมากขึ้น ต้องมองอะไรไกลขึ้น ต้องดูแลครอบครัวทั้งภรรยา และลูก 

“เชื่อมั้ยว่าทุกวันนี้วางแผนไปจนถึงลูกเรียนจบแล้ว และกำลังมองอนาคตไปในลำดับต่อไป เชื่อเถอะว่าพอมีครอบครัวจะทำให้เกิดการวางแผนที่รัดกุมมากขึ้นทั้งสุขภาพ การเงิน ความรัก และการใช้ชีวิต เพราะทุกอย่างมีความเสี่ยง” ตู่ ภพธร กล่าว

การวางแผนในเรื่องของอาชีพ และงาน ภพธร กล่าวเสริมว่า “เข้าใจนะว่า ‘งานนักดนตรี’ เป็นอาชีพที่อาจจะเกษียณตัวเองได้ไว และไม่แน่นอน ซึ่งอาจเกิดความกลัว และมองแผนอนาคตตัวเองในปีถัดๆ ไปของตัวเองไว้ แต่สำหรับผมมองว่า ปัจจุบันเรายังโชคดีที่มีงานที่มั่นคง และมีคนยังเห็นศักยภาพของเราอยู่ ซึ่งก็ยังคงเป็นไปตามแผนของชีวิตที่วางไว้"

อย่างไรก็ตาม นักร้องหนุ่มก็ไม่นิ่งนอนใจ พยายามหาอะไรหลายๆ อย่าง มารองรับไว้เหมือนกัน โดยการเลือกทำอะไรหลายอย่าง เช่น ช่วยภรรยาขายหมูปิ้งบ้าง ไปทำงานออนไลน์เป็นยูทูบเบอร์บ้าง คอนเมนเทเตอร์ รับงานละครก็เช่นกัน พอทำได้หลายอย่าง ทำให้ความกังวลลดน้อยลง แต่ก็แลกกับความเหนื่อยที่เพิ่มขึ้น

ช่วงสูงวัย เป็นวัยที่สามารถ “เริ่มใหม่(เป็น)ครั้งสุดท้าย"

ข้อความที่ว่า “หากคนเรามีอายุมากขึ้น การเริ่มทำอะไรใหม่ๆ อาจเป็นเรื่องที่ยากกว่าเดิม” และไม่สามารถทำได้คล่องแคล่วเหมือนสมัยเป็นวัยรุ่น ตู่ ภพธร มีความเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร

“คนทุกวัยสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่น วัยกลางคน หรือคนสูงอายุ ทุกคนอาจมีข้อจำกัดในบางอย่างก็จริง แต่ข้อจำกัดจริงๆ คือ ความคิดของเราเอง ถ้าหากอยากเริ่มต้นใหม่ ก็แค่ตั้งใจ และพร้อมที่จะทำมันจริงๆ ผมว่าความตั้งใจจะพาเราไปได้ไกลมากกว่าอายุ และคนเราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ” ตู่ ภพธร แสดงความเห็นกับข้อความดังกล่าว

แต่ถ้ามองในมุมความรัก เรื่องความสัมพันธ์ การขอโอกาสเริ่มใหม่ครั้งสุดท้าย อาจจะเป็นเรื่องการตัดสินใจระหว่างคนสองคน อันนี้ผมก็ไม่อาจตอบได้ แต่อย่างไรก็ตามในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2566 นี้ อยากให้ทุกคนเข้าไปหาคำตอบกันในเพลง “เริ่มใหม่ครั้งสุดท้าย” 

ตู่ ภพธร ได้กล่าวว่า “จริงๆ ผมคิดเรื่องแพลนในอนาคตมาตลอด ทุกครั้งที่ถามตัวเองในปัจจุบัน เราก็ได้คำตอบว่า เราไม่ได้ทำงานร้องเพลงเพราะรายได้อย่างเดียว แต่ที่ร้องเพลงอยู่ทุกวันนี้ เพราะความชอบ และความรักล้วนๆ ไม่รู้สิ ผมมีความสุขนะกับการที่เราได้เห็นคนที่ยังอยากฟังเพลงจากเราอยู่ อยากมีส่วนรวม และสนุกไปกับเพลงของเราที่มอบให้เขา ส่วนผมเองก็ได้รับพลังงานดีๆ ของ แฟนคลับ และผู้ชมกลับมา คำตอบสุดท้ายที่อยากเริ่มใหม่ คือ การมีผลงานใหม่ๆ ในแนวทางใหม่ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยความชอบ ความรัก และพลังงานดีๆ เหล่านี้” 

“ถ้ายังร้องเพลงไหวผมก็ยังอยากจะร้องไปเรื่อยๆ เหมือน แฟรงก์ ซินาตรา เลย ซึ่งไม่จำเป็นต้องเลิกร้องเพลง งานน้อยลงก็ทำอย่างอื่นไปด้วย รู้สึกว่าไม่อยากเกษียณตัวเองจากการร้องเพลงเลยสักครั้ง”

“คิดเล่นๆ ว่าถ้าหากร้องเพลงไม่ได้แล้วจริงๆ ก็คงกลับมาเลี้ยงลูกแบบเต็มเวลา พาลูกๆ ไปในทิศทางดีๆ บนสถานที่ดีๆ เลือกกินได้ อาจจะหนีไปอยู่กับธรรมชาติ เพราะปัจจุบันในเมืองใหญ่ๆ อาจจะต้องรับอะไรมากมายทั้งฝุ่นเอย โรคระบาดเอย ความเครียดต่างๆ บวกกับความไวของโลกที่เปลี่ยนไป ซึ่งอยากจะลองเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตให้ไกลจากสิ่งเหล่านี้ลงไปบ้าง เพื่อใช้เวลากับครอบครัวได้อย่างเต็ม มีคุณภาพ และมีความสุขในทุกวัน” ตู่ ภพธร กล่าวทิ้งท้าย

ภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย