พูดคุยกับ ช้างน้อย กุญชร ณ อยุธยา และ ณัฏฐ์รดา คุณะวิวัฒนานนท์ ในทิศทางของวงการกาแฟไทย ที่กำลังพัฒนา และเติบโต สวนทางกับสภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตจากกาแฟทั่วโลก ในแนวทางการรับมือ และการผลักดันอย่างไรให้ยั่งยืน
ธุรกิจอุตสาหกรรมกาแฟของประเทศไทย กำลังพัฒนาขึ้นหลายเท่าตัว จากสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ และเกษตรกรไทย ทำให้ถูกมองว่า เมล็ดจากต้นกาแฟ กำลังจะก้าวเข้ามาเป็นผลผลิตหลักทางเกษตรให้แก่ประเทศไทยได้ในอนาคต
พร้อมทั้งเทรนด์จากผู้ผลิต และผู้บริโภคที่ใส่ใจกรรมวิธี มีความรู้ และความสนใจมากขึ้น ที่จะสร้างผลิตภัณฑ์กาแฟไทยตั้งแต่ต้นน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ ให้มีคุณภาพ ความเป็นเอกลักษณ์ และร่วมกันสร้าง ผลักดันมูลค่าให้เศรษฐกิจในธุรกิจกาแฟของประเทศไทยเติบโตไปอย่างก้าวกระโดด
...
ไทยรัฐออนไลน์ ร่วมพูดคุยกับ ณัฏฐ์รดา คุณะวิวัฒนานนท์ (นุ่น) นายกสมาคมกาแฟไทย และ ช้างน้อย กุญชร ณ อยุธยา ผู้จัดงาน Thailand Coffee Fest 2023 กรรมการผู้จัดการ บริษัท คราวด์แอนด์กราวนด์ จำกัด ที่มาร่วมแชร์ความรู้ และพูดคุยในมุมมองของทิศทางกาแฟในประเทศไทย จะสามารถเดินหน้าไปต่อในอนาคตอย่างไรให้ยั่งยืน
ทิศทางของกาแฟไทยในปัจจุบัน
ณัฏฐ์รดา เล่าว่า ประเทศไทย เป็นประเทศที่โชคดี เพราะมีความอุดมสมบูรณ์ ปลูกได้ทั้งกาแฟอาราบิก้า ที่นิยมปลูกกันบนที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 900 เมตรอย่าง เช่น ภาคเหนือ และกาแฟโรบัสต้า ปลูกได้ทั่วภูมิภาคในประเทศไทย เพราะเป็นต้นไม้ที่ปลูกขึ้นง่ายเมื่อเจอกับสภาพอากาศในไทย
เทรนด์กาแฟ ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในเมืองไทย คือ กาแฟอาราบิก้า (Coffea Arabica) ที่ถูกมองว่าจะเป็นอนาคตของเศรษฐกิจกาแฟไทยในอนาคต ซึ่งส่วนใหญ่จะทำเป็น Specialty Coffee ที่ผ่านกรรมวิธีต่างๆ ตั้งแต่การปลูก จนผู้บริโภคได้ทาน มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ หอม สดชื่น ทำให้คนไทยหันมาสนใจ จนเป็นกาแฟที่ถูกผลักดันให้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจของเมล็ดกาแฟในไทยได้อีกด้วย
กาแฟโรบัสต้า (Coffee Robusta) กาแฟกระแสหลักของคนไทยมาอย่างยาวนาน ที่ตอบโจทย์เรื่องของกาแฟสำเร็จรูป (Instant Coffee) คาเฟอีน ที่ดื่มทานได้ตลอดวัน ไม่ได้เน้นที่รสชาติมากนัก แต่เน้นที่ปริมาณ
ปัจจุบัน กาแฟโรบัสต้า กำลังจะถูกนำมาคัดสายพันธุ์ให้เป็น Specialty Coffee และ Fine Coffee ตามเทรนด์ของคนดื่มกาแฟในปัจจุบัน เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์กาแฟโลกที่นิยมกาแฟโรบัสต้ามากขึ้น ซึ่งจะมาทดแทนกาแฟอาราบิก้า ที่ถูกคุกคามจากปัญหาสภาวะโลกร้อนจนปลูกยาก มีผลผลิตที่น้อยอยู่ในขณะนี้
กระแสนิยมกาแฟปัจจุบันนี้ ส่งผลที่ดีอย่างมากต่อกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้าของไทย ที่มีความได้เปรียบในเรื่องผลผลิต และสายพันธุ์ที่แข็งแรงอยู่แล้วในเมืองไทย ถูกนำมาทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยกระบวนการต่างๆ แถมอนาคตกาแฟโรบัสต้านี้ถูกมองว่าจะกลายเป็นกาแฟเศรษฐกิจหลักในไทย และโลกได้อีกหนึ่งสายพันธุ์ ทำให้ในอนาคต กาแฟไทยนั้นมีทางเลือกอย่างหลากหลาย ในการทดแทนผลผลิตกาแฟที่เกิดขึ้นจากสภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน
...
ช้างน้อย ให้ความคิดเพิ่มเติมว่า กาแฟเป็นสิ่งหนึ่งที่สร้างกระแส และเศรษฐกิจหมุนเวียนให้ทุกภูมิภาค ทุกจังหวัด ของประเทศไทย ณ ตอนนี้เป็นอย่างมาก มองได้ง่ายๆ จากร้านกาแฟ ที่มีขึ้นมามากมาย ทั้งในเมืองหลัก และเมืองรอง รวมทั้งก็ยังมีการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวกับกาแฟในจังหวัดเหล่านี้อยู่บ่อยครั้ง สิ่งที่ได้เห็นทำให้รับรู้ได้ว่า ‘คนไทยนิยมดื่มกาแฟมากแค่ไหน’
นอกจากเรื่องกระแส และเศรษฐกิจแล้ว กาแฟยังทำให้เกิดการสร้างเศรษฐกิจแบบสร้างสรรค์ (Creative Economy) ทั้งการออกแบบ การบริการ การขนส่งที่ทำให้หลังจากโรคระบาดคลายตัวลง มีการเปิดให้ท่องเที่ยว กาแฟก็เป็นหนึ่งในเทรนด์ที่ทำให้ แต่ละจังหวัดกลับมาคึกคักได้อีกครั้งหนึ่ง
ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมของวงการกาแฟไทย
นายกสมาคมกาแฟไทย ให้ความเห็นว่า ประวัติศาสตร์ของกาแฟในประเทศไทยช่วง 60-70 ปี ที่แล้ว ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นพืชเศรษฐกิจ เกษตรกรส่วนใหญ่จะนำต้นกาแฟเหล่านี้มาเป็นหนทางในการแก้ไขปัญหาดิน และสิ่งแวดล้อมของพืชเศรษฐกิจชนิดอื่น ซึ่งต้นกาแฟสามารถอยู่ในไทยได้เป็นอย่างดี มีความทนทาน และเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรได้
จากที่กล่าวมาข้างต้นทำให้ทราบว่ากาแฟไทยมีความคงทน ปลูกได้ แต่ยังคงมีปัจจัยของความยั่งยืนที่ยังมีคำถาม ขึ้นอยู่กับทุกคนในอุตสาหกรรมกาแฟว่าเข้าใจกระบวนการทำกาแฟมากน้อยเพียงใดต่อการทำกาแฟอย่างยั่งยืน และเกษตรกรเข้าใจในสายพันธุ์กาแฟของตนเองแค่ไหน
ในตอนนี้เรามีองค์กรที่คอยเติมความรู้ และแชร์ประสบการณ์เพื่อประชาสัมพันธ์ให้แก่ทุกคนในอุตสาหกรรมกาแฟ เพื่อลด 'ปัญหาสิ่งแวดล้อมนี้ที่จะเกิดขึ้น' นอกจากนี้ประเทศไทยเราสามารถต่อสู้กับภาวะโลกร้อนที่เปลี่ยนไปได้เป็นอย่างดี แค่เพียงคนต้นน้ำเข้าใจ ดูแลต้นกาแฟในพื้นที่ตนเอง ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เท่านี้ต้นกาแฟในไทยก็สามารถอยู่ได้ เพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า
...
“อนาคตกาแฟของประเทศไทยนั้นมีทางเลือกอย่างหลากหลาย ทั้งโรบัสต้า อาราบิก้า และอีกหลายสายพันธุ์ที่ปลูกได้ ทำให้การทดแทนผลผลิตกาแฟที่เกิดขึ้นจากสภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน เป็นเรื่องที่สามารถควบคุมได้อยู่ และสามารถส่งมอบกาแฟที่ดีสู่คนปลายน้ำได้อย่างยาวนาน และยั่งยืน"
ปัจจัยสำคัญ ที่อาจส่งผลต่อความยั่งยืนของเมล็ดกาแฟในไทย คือ สภาพอากาศในประเทศไทยที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้การดูแลต้นกาแฟนั้นมีปัจจัยที่เพิ่มมากขึ้น เช่น เม็ดฝนที่ตกในประเทศไทยเป็นเม็ดใหญ่ และแรง ไม่ใช่ละอองฝนเหมือนต่างประเทศ ซึ่งก็อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของต้นกาแฟได้
แสงแดดที่รุนแรง การเผาป่า ก็มีส่วนทำให้ต้นกาแฟอาจจะเติบโตได้ช้า หรือแห้งตายไปได้ ซึ่งในประเทศไทย สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อาจจะเป็นการกางสแลนกันแดด และเน้นการ ‘ปลูกป่า’, ‘ปลูกต้นไม้’ เป็นสำคัญ ซึ่งต้นไม้เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาได้เป็นอย่างดี ทำให้ต้นกาแฟเติบโตได้ดี มีผลผลิตที่มาก แถมยังช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ของหน้าดิน ยังส่งผลถึงรสชาติที่ดีได้ด้วย
...
ช้างน้อย กุญชร ณ อยุธยา กล่าวเสริม กาแฟที่ดี และจะยั่งยืนได้ต้องช่วยกันทุกคนตั้งแต่ต้นน้ำ ไปยังปลายน้ำ ทั้งหมดนี้คือ กุญแจสำคัญต่อความยั่งยืนของกาแฟในประเทศไทย อยากให้นำความได้เปรียบทางภูมิประเทศไทยนี้มาปรับใช้ให้เกิดความยั่งยืน และไม่ทิ้งของดีในประเทศไทยนี้ไปอย่างเสียของ
สิ่งที่อยากส่งเสริมต่อผู้ทำกาแฟในเรื่องของความยั่งยืน คือเรื่อง “น้ำ” เชื่อหรือไม่ว่าน้ำ จากกระบวนการการผลิตกาแฟ ส่งผลอย่างมากต่อสิ่งแวดล้อม
นายกสมาคมกาแฟไทย กล่าวว่า ส่วนใหญ่คนจะมองว่า ‘กากกาแฟ’ เป็นขยะที่ล้น จนเป็นปัจจัยอีกหนึ่ง ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโลกซึ่งก็เคยเป็นเรื่องจริง แต่ในปัจจุบันมีคนได้เล็งเห็นมากขึ้น การจัดการกับกากกาแฟจึงมากขึ้น และไม่ได้ส่งผลกับเราเสียเท่าไรในตอนนี้ มีทางเลือกในการจัดการอย่างเป็นระเบียบแล้ว
"จริงๆ ‘น้ำ’ จากการกระบวนการผลิตกาแฟ ต่างหากที่ยังคงเป็นเรื่องกังวล โดย น้ำเหล่านี้เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมมาก ซึ่งเกิดจากการหมักกาแฟ และนำน้ำเหล่านี้เทลง แม่น้ำ ทะเล และ ลำคลอง จากการหมักกาแฟทำให้น้ำเหล่านี้จะเกิดค่า PH3 (ฟอสฟีน) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นกรดแก๊ส ทำให้ต้นไม้ในบริเวณลำธาร ที่น้ำจากการหมักกาแฟนี้ไหลผ่าน สามารถตายได้ เหมือนโดนไหม้ ซึ่งเกิดจากกรดแก๊สที่มากเกินไป เป็นตัวทำลายป่าชั้นดีอย่างหนึ่งในวงการกาแฟ ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง"
"ถ้าเรากำลังจะทำให้ผลผลิตกาแฟของประเทศไทยเราดีขึ้น มีผลผลิตที่มากขึ้น พวกน้ำเหล่านี้ก็จะเยอะขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมากต่อสภาพแวดล้อม และป่าไม้โดยรอบ จึงอยากฝากให้เกษตรกร ผู้ทำกาแฟ หรือผู้ที่มีความเกี่ยวข้อง ช่วยกันทำผลิตกาแฟอย่างยั่งยืน ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้ง่ายๆ คือการ ‘ขุดบ่อบำบัด’ และแยกน้ำเหล่านี้ให้ดี ไม่ทิ้งลงลำธาร"
โอกาสของกาแฟในประเทศไทย
ช้างน้อย แสดงความคิดเห็นว่า แน่นอนว่ากาแฟไทย สามารถปลูกได้อย่างหลากหลายสายพันธุ์ทั้งโรบัสต้า และอาราบิก้าอย่างที่กล่าวไปข้างต้น แต่อย่างไรก็ตามกาแฟไทยยังคงมีสายพันธุ์ที่ไม่นิ่ง และกระจัดกระจายตามสภาพภูมิภาคนั้นๆ ในไทย โดยส่วนใหญ่ยังเน้นไปในรูปแบบ Comercial (ทางการค้า) เป็นหลัก
หากกาแฟไทยต้องการมีจุดขายที่เป็น Specialty Coffee ที่รู้จักไปทั่วโลก อาจจะต้องมุ่งเน้นเรื่องสายพันธุ์กาแฟไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการเฟ้นหาสายพันธุ์กาแฟที่สามารถผลักดันควบคู่ไปทั้งเศรษฐกิจ และมูลค่าของเมล็ดกาแฟไทยให้เติบโตไปพร้อมกัน เพื่อเป็นทางเลือกกาแฟของคนทั้งโลก
“ผมยกตัวอย่างเช่น Fine Robusta ที่กำลังจะถูกนำมาคัดสายพันธุ์ให้เป็น Specialty Coffee และ Fine Coffee อย่างที่พูดไปในตอนแรก ซึ่งสามารถปลูกได้เยอะ และผลผลิตในไทยดี หากมีการวิจัยปรับปรุง และทุกหน่วยงานลงมาช่วยกันผลักดันอย่างจริงจัง ไม่แน่ว่า โรบัสต้าไทย ก็อาจจะเป็นหนึ่งในโอกาสของกาแฟไทยที่ไปสู่สายตาคนทั่วโลกก็ได้ เช่นกัน”
ณัฏฐ์รดา คุณะวิวัฒนานนท์ กล่าวเสริม เราต้องเรียนรู้จากประเทศต่างๆ ทั่วโลกว่าทำไมผลกระทบจากสภาพแวดล้อม ทำให้สายพันธุ์กาแฟในประเทศดังๆ ถึงต้องเปลี่ยนไป เพราะพวกเขาพยายามหากาแฟที่เป็นจุดขายของประเทศเขามาทดแทน จากสายพันธุ์เก่าที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนนี้ และยังสามารถปลูกได้ดี นำมาทำกระบวนการต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่า และผลักดันเศรษฐกิจของประเทศเช่นเดิม
ประเทศไทยมีกาแฟที่ดี ที่สามารถเจริญเติบโตได้บนสภาพแวดล้อม รวมไปถึงเกษตรกรไทยที่มีความสามารถมากมายเป็นกลุ่มที่แข็งแรง มีการแชร์ความรู้กันอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยสิ่งที่ยังขาด คือ การเฟ้นหาสายพันธุ์ที่เหมาะสม อย่างที่ คุณช้างน้อย กล่าว ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะโรบัสต้าปลูกที่ไหนก็ได้ทุกจังหวัดของไทย หากนำมาผ่านการทำวิจัย ผ่านกระบวนการต่างๆ อย่างพิถีพิถัน แล้วเกิดมีชื่อเสียงขึ้นมา ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีในการผลักดันกาแฟไทยสู่เศรษฐกิจหลักของประเทศ และเป็นที่ต้องการของโลกเราได้เลย อีกทั้งโรบัสต้าสามารถแปลงเป็นผลผลิตได้ในทุกเศรษฐกิจกาแฟของประเทศไทยทั้งในแวดวง Comercial Coffee, Specialty Coffee และ Fine Coffee และอีกมากมาย นอกจากนี้แล้วสิ่งหนึ่งที่ประเทศไทยได้เปรียบ คือ การขนส่ง การเข้าถึงที่ง่าย “เชื่อไหมว่า นุ่นเคยไปไร่กาแฟที่บราซิล กว่าจะเข้าถึงได้นั้นลำบากมาก ต้องออกไปชานเมือง นั่งรถ 4 ต่อ ในเส้นทางที่ขรุขระ และยากลำบาก ลองคิดสิว่าการขนส่งเมล็ดกาแฟมาผลิตต่อนั้นจะยากลำบากขนาดไหน” ประเทศไทยจึงมีข้อได้เปรียบตรงนี้ ที่มีพื้นที่เข้าถึงได้ง่าย คนทั่วไปสามารถเข้าไร่กาแฟเพื่อไปเรียนรู้ได้จากสถานที่จริง และการขนส่งที่สะดวกสบายกว่าประเทศอื่นๆ ในการเข้าถึง”
เป้าหมายสูงสุดที่อยากให้เกิดขึ้นในวงการกาแฟไทย
นายกสมาคมกาแฟไทย กล่าวว่า อยากให้ กาแฟในประเทศไทย เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกที่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตกาแฟที่ยั่งยืน และคนไทย รวมถึงคนทั่วโลกได้ดื่มกาแฟดีๆ จากประเทศเรา และเป็นกาแฟเป้าหมายของผู้บริโภคกาแฟทั่วโลกตามหา
ช้างน้อย กุญชร ณ อยุธยา กล่าวว่า อยากผลักดันงานของวงการกาแฟไทยให้มีชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก เพื่อที่จะให้คนไทยได้มีโอกาสแข่งขัน หรือพบเจอประสบการณ์ใหม่ๆ จากบุคคลกาแฟระดับโลก และหวังว่าในอนาคตการแข่งขันกาแฟระดับ World Championship ที่เปรียบเสมือนโอลิมปิกของคนวงการกาแฟ มาอยู่ที่ประเทศไทย ให้เมืองไทยได้เป็นเจ้าภาพ
บทสนทนาทั้งหมดนี้ แสดงถึงการพัฒนา และเติบโตของห่วงโซ่ธุรกิจในวงการกาแฟของไทย ที่กำลังเติบโตไปในทิศทางที่ดี ชี้ว่าเมืองไทยก็มีประสิทธิภาพในการยกระดับกาแฟไทยในทุกๆ ด้านทั้ง ความสามารถของเกษตรกร การพัฒนาธุรกิจกาแฟอย่างยั่งยืน เพื่อให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักจากคนวงการกาแฟทั่วโลก รวมทั้งยังเป็นเรื่องดีของคอกาแฟไทยที่จะได้บริโภคกาแฟที่ดีตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ หากใครอยากพบประสบการณ์กาแฟที่ดี
ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปสัมผัสวิถีของคนกาแฟได้ที่งาน Thailand Coffee Fest 2023 : Good Coffee for Everyone ประจำปีครั้งที่ 8 จัดขึ้นที่ IMPACT Exhibition Center Hall 5-8 เมืองทองธานี ในวันที่ 13-16 กรกฎาคม 2566 10.00-20.00 น. ซึ่งมีกิจกรรม ความรู้ ของเรื่องกาแฟมากมายให้ติดตาม อ่านได้ที่นี่