ถูกสกัดดาวรุ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนหลายครั้งอยากจะเลิกแต่งหน้า เพราะเบื่อดราม่าวงการช่างแต่งหน้าเต็มทน แต่สุดท้าย “น้องฉัตร–ฉัตรชัย เพียงอภิชาติ” ก็ฝ่าดงหนามก้าวขึ้นมาเป็นเมกอัปอาร์ติสต์ระดับแถวหน้าของเมืองไทยได้สำเร็จ แถมพ่วงด้วยตำแหน่งซีอีโอบริษัท น้องฉัตร จำกัด ปลุกปั้นแบรนด์ “CHAT Cosmetics” จนโด่งดังไปทั่วเอเชีย
“น้องฉัตรจะเรียกตัวเองว่าเมกอัปอาร์ติสต์ เพราะเรามองรูปหน้าของผู้หญิงออกว่าสวยอย่างไร การแต่งหน้าอย่างเดียวมันไม่ได้ทำให้ผู้หญิงสวย 100% ความสวยของผู้หญิงต้องสวยโดยองค์รวมทั้งหมด หลายคนชอบมองว่าเราเป็นเทพของการแต่งหน้า เราบอกว่าไม่ได้เทพ แต่น้องฉัตรมองหน้าคนออกว่าแบบไหนถึงจะสวยขึ้นได้ การแต่งหน้าไม่ใช่แค่การแต่งหน้าอย่างเดียว ต้องมีองค์ประกอบอื่นๆร่วมด้วย เช่น ทรงผม และแสงไฟในงาน บางครั้งเราแต่งหน้าสวยมาก แต่ไปอยู่ในที่ไฟตกไฟมืด ต่อให้คนระดับเทพแค่ไหนมันก็ออกมาไม่สวย เพราะแสงไม่เอื้ออำนวย แค่แต่งหน้าสวยอย่างเดียว มันเพอร์เฟกต์ไม่ได้หรอก ต้องอาศัยปัจจัยอีกเยอะ อย่างเวลาแต่งหน้าเจ้าสาวต้องให้ความสำคัญกับแสงหน้างานด้วย หลังๆมานี้สั่งซื้อไฟสำหรับออกงานข้างนอก ถ้าตรงไหนมืด ก็จะเอาไฟส่วนตัวไปช่วยส่องให้ลูกค้า เพื่อให้ผลงานของเราออกมาดีที่สุด คิดว่าที่เรามีทุกวันนี้ มันเกิดจากความใส่ใจ ไม่อยากให้ใครมาว่าผลงานเราไม่สวย ยอมปล่อยผ่านไปเฉยๆไม่ได้”
...
อะไรคือความสุขของการเป็นช่างแต่งหน้า
ทุกครั้งที่แต่งหน้า เราจะบอกว่าวันนี้เป็นวันพิเศษของคุณนะ ขอให้มีความสุขกับวันนี้ เพื่อที่ว่าผ่านไป 10 ปี กลับมามองอีกครั้งจะยังระลึกได้ว่า ครั้งหนึ่งก็มีวันที่มีความสุขมากๆ สำหรับช่างแต่งหน้าแล้ว ไม่มีอะไรจะมีความสุขไปกว่ารอยยิ้มของลูกค้า แต่งหน้าให้แล้วเขาแฮปปี้ เวลาแต่งหน้าเจ้าสาว น้องฉัตรจะต้องทำการบ้านเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นฐานของโครงหน้าและสีผิว รวมถึงวัฒนธรรมและเทรนด์การแต่งหน้าของเจ้าสาว เพราะระลึกเสมอว่านี่คือวันสำคัญที่สุดในชีวิตของผู้หญิง
หน้าแบบไหนที่เรียกว่าปราบเซียน
พื้นฐานใบหน้าคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนที่หน้าเขาสวยอยู่แล้วมันก็ง่ายสำหรับเรา บางคนไม่สวยมากแต่โครงดีผิวดีก็ยังง่ายอยู่ แต่หน้ายากคือคนที่หน้าตอบมากๆ เราไม่สามารถทำให้เขาหน้าฟูเปล่งปลั่งขึ้นมาได้ เพราะโครงหน้าแก้ไขไม่ได้ ไม่เหมือนคนหน้าอ้วน เราสามารถเฉดดิ้งกดให้หน้ายุบลงได้ คนผิวไม่ดีมีรอยสิวก็แต่งหน้ายาก รองพื้นยังไงก็ไม่ติดบนใบหน้า เราเป็นช่างแต่งหน้า เราไม่ใช่หมอศัลยกรรม สิ่งที่ทำได้คือการสร้างแสงและเงาบนใบหน้า แต่ไม่สามารถแก้ไขโครงหน้าได้
น้องฉัตรแจ้งเกิดจริงๆจากงานไหน
จากที่เป็นช่างแต่งหน้าทำผมเด็กๆคนหนึ่ง ทำงานมาตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย พอได้ไปแต่งหน้าให้ “พี่ญาญ่าญิ๋ง” ที่เมืองคานส์ ทำให้เราดังขึ้นเลย ยอดฟอลโลเวอร์เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว คนทักเข้ามาจนมือถือแทบแตก ตอนนั้นอายุ 25 เป็นยุคอินสตาแกรมฮิตใหม่ๆ พี่ญิ๋งเจอช่างรุ่นใหญ่มาเยอะ จะเลือกใครก็ได้ แต่ทำไมถึงเลือกน้องฉัตร อาจเพราะเราเป็นได้ทั้งช่างแต่งหน้าและช่างทำผม เลยกลายเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า แทนที่จะต้องเอาช่างไปสองคน และพี่เขาคงเอ็นดูเราด้วย หลังจากนั้นก็ได้ทำงานกับ “ปอย-ตรีชฎา” ไปแต่งหน้าที่งานฮ่องกงฟิล์ม แล้วตามมาด้วยงานแต่งของ “พิงกี้-สาวิกา” ซึ่งเป็นที่มาของดราม่าปาดหน้าเค้ก!! ชีวิตช่วงนั้นถือเป็นนาทีทอง เหมือนเดินขึ้นบันไดทีละขั้นอยู่ๆก็กระโดดขึ้นลิฟต์ไปเลย สมัยก่อนต้องวิ่งตามงาน ตั้งแต่นั้นมางานวิ่งเข้ามาหาเราเยอะมาก ซึ่งเราก็รับทุกงาน ไม่เคยปฏิเสธ เคยหนักสุดวิ่งรอกวันละ 8 งาน
...
มาเร็วมาแรงแบบนี้เป็นต้นเหตุให้โดนหมั่นไส้ใช่ไหม
ตอนนั้นเราเด็กที่สุดจริง ทำให้คนมองว่ามาเร็วมาแรง แต่น้องฉัตรไม่ได้มาเร็ว เพราะเริ่มเรียนทำผมตั้งแต่อายุ 13 ปี ทำงานตรงนี้มานานแล้ว ไม่ได้ทำแค่ปีสองปีแล้วดัง ตอนนั้นรู้สึกเศร้ามาก ทำไมต้องโดนโจมตีและโดนบูลลี่ ทั้งๆที่พวกคุณเคยอยากได้รับโอกาสแบบนี้ แต่เราเล่าให้ใครฟังไม่ได้ เพราะกลัวคนไม่เชื่อ
...
เจอดราม่าหนักๆอะไรบ้าง
หลังจากลงรูปงานแต่งพิงกี้ ก็มีช่างแต่งหน้าเกือบทั้งวงการ รวมถึงช่างทำผมที่เรารู้จักและคนที่เคยทำงานด้วย เข้ามาตั้งกรุ๊ปคอมเมนต์เราในเฟซบุ๊ก รุมด่าเราเหมือนคนไม่เคยรู้จักกัน หาว่าปาดหน้าเค้ก เป็นเด็กนิสัยไม่ดี ไม่มีมารยาท ไม่มีหัวนอนปลายเท้า เข้าใจผิดว่าเราไปขอแต่งหน้าให้ฟรีๆเพราะอยากดัง ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย เรื่องจริงคือพิงกี้โดนช่างเทในวันแต่งงาน เราเลยต้องเข้าไปช่วย มันเหมือนว่าพอเห็นเราล้ม ทุกคนก็พร้อมเหยียบย่ำซ้ำเติมทันที ไม่มีใครคิดจะประคองช่วย ยังมีข่าวโคมลอยว่าเราไปขอแต่งหน้าให้ฟรีในงานแต่งงานของ “ทาทา ยัง” คือช่วงนั้นโดนหนักมาก จนไม่มีดารากล้าจ้างน้องฉัตรแต่งหน้า ตอนหลัง “พี่อั้ม-พัชราภา” พูดกันแบบสองคนว่า น้องฉัตรรู้ใช่ไหมว่าคนในวงการไม่ชอบเธอเยอะนะ ขนาดรู้ว่าคนไม่ชอบเราเยอะ แต่พี่อั้มยังเรียกมาแต่งหน้า ก็รู้สึกขอบคุณเขามากๆที่พร้อมจะเอาตัวเองมาการันตีเรา ซึ่งจริงๆเขาใช้ใครก็ได้ อีกงานหนึ่งเป็นแฟชั่นโชว์ มีช่าง 20 คน เรียกทุกคนไปถ่ายรูปรวมกัน แต่ไม่เรียกน้องฉัตร เราก็นั่งเฉยๆไม่เรียกก็ไม่ไป อีกครั้งโดนรุ่นพี่แขวะกลางงานว่า เขาเคยทำให้ช่างรุ่นเด็กไม่ได้เกิดมาหลายคนแล้ว ถามว่าจะทำให้คนที่เกลียดเราเปลี่ยนใจกลับมารักเราได้ไหม คำตอบคือยาก ฉะนั้นน้องฉัตรเลยคิดใหม่ว่า เราควรหันมาโฟกัสกับคนที่เขารักเราอยู่แล้วมากกว่า
...
จริงไหมเคยท้อจนอยากออกจากวงการ
ตอนนั้นเรายังเด็ก รู้สึกเจ็บปวดมากที่โดนแบบนี้ อยากเลิกเป็นช่างแต่งหน้าไปเลย เราเบื่อกับการต้องมานั่งแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับช่างแต่งหน้า แต่คิดทบทวนอยู่นาน ทำให้รู้ว่าถึงจะทำอะไรก็มีการแก่งแย่งกันทุกอาชีพ เราต้องอยู่กับความจริงให้ได้ เลิกโฟกัสเรื่องคนอื่น พยายามทำชีวิตเราให้ดีขึ้น และหาเงินดูแลครอบครัว
บทเรียนสอนใจจากการถูกสกัดดาวรุ่ง?
ถึงวันนี้อยากขอบคุณเรื่องราวร้ายๆที่เจอมา ตอนนี้ไม่เสียใจแล้ว แต่กลายเป็นเราบอกตัวเองว่าจะไม่ทำแบบนี้กับคนอื่นเด็ดขาด โดยเฉพาะช่างแต่งหน้ารุ่นน้อง ทุกคนมีวันนี้ได้เพราะคุณได้โอกาส เมื่อรุ่นน้องอยากเป็นช่างแต่งหน้าดัง เราต้องให้โอกาส แต่จะเป็นได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพยายามของเขา น้องๆ ต้องสู้เอง เหมือนที่เราสู้มา นอกจากฝีมือแล้วก็ต้องมีอีคิวด้วย เราต้องเปลี่ยนคำด่าเป็นแรงผลักดันให้ชีวิตดีขึ้น มันเป็นการเถียงที่ไม่ต้องใช้เสียง แต่เถียงด้วยงานที่เราทำ ด้วยการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น
ถึงวันนี้ชีวิตมาไกลเกินฝันแค่ไหน
น้องฉัตรยังจำวันที่บอกแม่ว่า หนูขอไปเรียนเสริมสวยนะ ซึ่งแม่ก็ให้ เพราะรู้ว่าเราชอบทางนี้ตั้งแต่เด็ก จับตุ๊กตาบาร์บี้มาดัดผม และชวนเด็กแถวบ้านมาแต่งหน้าทำผมที่บ้าน ตอนนั้นอายุ 13 ปี ช่วงปิดเทอมไปเรียนเสริมสวยที่ศูนย์ฝึกอาชีพ เรียนจบไปสมัครงานที่ร้านเสริมสวย เขาก็ไม่รับ เพราะเราเด็กเกินไป แม่บอกว่าไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวเอาโต๊ะเครื่องแป้งแม่มาเปิดร้านที่บ้าน แม่ให้ยืมเงิน 1,500 บาท ไปซื้อเตียงสระผม ก็เปิดร้านตรงหน้าบ้านนี่แหละ ฝนตกต้องย้ายลูกค้าเข้ามาสระผมในบ้าน แดดออกก็ต้องเลื่อนเตียงสระผม เริ่มจากทำผมก่อนแล้วรับแต่งหน้าด้วย สระไดร์คิด 20 บาท ดัดผมก็ 150-200 บาท ตัดซอย 40 บาท ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ เคยดัดผมลูกค้ายาวถึงเอวเหลือแค่บ๊อบ ทุกประสบการณ์มาจากการเรียนรู้ความล้มเหลว ถึงวันนี้อยากขอบคุณลูกค้ากลุ่มแรกๆในช่วงฝึกฝีมือ ระหว่างเรียน ปวช.ที่พาณิชย์ บางนา น้องฉัตรทำงานหาเงินไปด้วย ฝันอยากเป็นบีเอขายเครื่องสำอาง จึงไปฝึกงานกับแมค ได้เงินเดือนแรกเกือบหมื่นบาทยกให้แม่หมด ตั้งแต่นั้นก็รับงานฟรีแลนซ์ทุกอย่างส่งตัวเองเรียน ปวส.โดยไม่รบกวนพ่อแม่ คิดว่าชีวิตตัวเองเป็นคนโชคดี ขอบคุณทุกโมเมนต์ที่ทำให้เราเป็นเราอย่างวันนี้ เชื่อว่าพ่อแม่ภูมิใจในตัวเรานะ แต่เขาไม่เคยชม มีแต่บอกให้ดูแลสุขภาพบ้าง อย่าหักโหมเกินไป สมัยก่อนเคยวิ่งรอกวันละ 8 งานจนปากเบี้ยว และวูบคาห้องน้ำ
ในฐานะแกะดำของวงการ ค้นหาที่ยืนเจอหรือยัง
บอกตัวเองตลอดว่าเราต้องทำชีวิตให้ดีขึ้น และยามที่เรามีต้องแบ่งปันให้กับสังคมด้วย น้องฉัตรอยากสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง อยากเป็นนักธุรกิจเต็มตัว จึงลุกขึ้นปลุกปั้นแบรนด์เครื่องสำอางของตัวเองคือ “CHAT Cosmetics” อยากให้เป็นแบรนด์ที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องซื้อกลับบ้านเวลามาเที่ยวเมืองไทย ตอนนี้เปิดเคาน์เตอร์แบรนด์แล้วหลายสาขา อาทิ เซ็นทรัลเวิลด์, สยามพารากอน และเดอะมอลล์ ท่าพระ น้องฉัตรอยู่วงการนี้มา 20 กว่าปี คิดเสมอว่าถ้าเราไม่คิดทำอะไรเลย สักวันแสงนั้นจะดับลง วันนี้เรามีงานมีลูกค้าเยอะมาก แต่สักวันก็ต้องโรยรา วันนี้ถามว่าประสบความสำเร็จหรือยัง ตอบว่ายัง ทุกวันนี้ยังต้องทำงานหนักอยู่ ชีวิตเรามันสั้นนะ น้องฉัตรอยากทำอะไรที่ไม่เดือดร้อนคนอื่น อยากสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ อยากทำศูนย์ฝึกอาชีพ เพราะเราเรียนเสริมสวยมาจากศูนย์ฝึกอาชีพ อยากสร้างอาชีพให้คนอื่น จะได้มีวิชาความรู้ไปหาเงิน ศูนย์ฝึกอาชีพของน้องฉัตรจะสอนเรื่องการประชาสัมพันธ์ด้วย ให้คนที่มาเรียนสามารถนำไปต่อยอดเพื่อหาลูกค้าเองได้ เหมือนกับที่เราเคยได้รับโอกาสมา.
ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ