กฎระเบียบการลงโทษนักเรียนของกระทรวงศึกษาธิการประเทศไทยมีกี่ข้อ และตามมาตรฐานสากลของสหประชาชาติมีอะไรบ้าง ต่างกันอย่างไร
กฎระเบียบการลงโทษนักเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ
ข้อมูลจากราชกิจจานุเบกษาเผยถึงระเบียบและกฎกระทรวงศึกษาธิการ 3 ฉบับ เกี่ยวกับการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา และการกําหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา ซึ่งประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2548 และมีการปรับปรุงเพิ่มเติมในปี 2562 โดยสาระสำคัญ คือ นักเรียนและนักศึกษาต้องไม่ประพฤติตน ดังนี้
- หนีเรียน หรือออกนอกสถานศึกษา โดยไม่ได้รับอนุญาต
- เล่นการพนัน จัดให้มีการเล่น หรือมั่วสุมในวงการพนัน
- พกพาอาวุธหรือวัตถุระเบิด
- ซื้อ จําหน่าย แลกเปลี่ยน เสพสุรา หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สิ่งมึนเมา บุหรี่ หรือยาเสพติด
- ลักทรัพย์ กรรโชกทรัพย์ ข่มขู่ หรือบังคับขืนใจ เพื่อเอาทรัพย์บุคคลอื่น
- ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกายผู้อื่น เตรียมการหรือกระทำการใดๆ อันน่าจะก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย หรือขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือรวมกลุ่มหรือมั่วสุม เพื่อกระทำการดังกล่าว
- แสดงพฤติกรรมทางชู้สาวอันไม่เหมาะสม กระทำลามกอนาจาร แต่งกายล่อแหลม หรือไม่เรียบร้อยในโรงเรียน หรือสถานศึกษา หรือแต่งเครื่องแบบนักเรียนหรือนักศึกษาไม่เรียบร้อย
- เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณี
- เที่ยวเตร่นอกสถานที่พัก รวมกลุ่ม หรือมั่วสุม อันเป็นการสร้างความเดือดร้อน ให้แก่ตนเอง หรือผู้อื่น
ส่วนกำหนดโทษที่จะลงโทษแก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่กระทําความผิด มี 4 สถาน คือ
- ว่ากล่าวตักเตือน
- ทําทัณฑ์บน
- ตัดคะแนนความประพฤติ
- ทํากิจกรรมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
...
พร้อมทั้งห้ามลงโทษนักเรียนและนักศึกษาด้วยวิธีรุนแรง หรือแบบกลั่นแกล้ง หรือลงโทษด้วยความโกรธ หรือด้วยความพยาบาท โดยให้คำนึงถึงอายุและความร้ายแรงของพฤติการณ์ประกอบการลงโทษด้วย ซึ่งการลงโทษให้เป็นไปเพื่อเจตนาที่จะแก้นิสัย และความประพฤติไม่ดี ให้รู้สำนึกในความผิด และกลับมาประพฤติตนในทางที่ดีต่อไป
ขณะเดียวกัน อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) ที่รัฐเกือบทุกแห่งทั่วโลกได้ให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติรวมถึงประเทศไทยด้วย ได้รับการรับรองจากสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2532 และมีผลใช้บังคับในวันที่ 2 กันยายน 2533 ได้กำหนดให้รัฐมีหน้าที่ที่จะดำเนินการให้สิทธิภายใต้อนุสัญญาฯ ได้รับการปฏิบัติจริง ข้อ 28 (2) แห่งอนุสัญญาฯ กล่าวว่า วิธีการสร้างวินัยของโรงเรียนนั้นจะต้อง
“กำหนดขึ้นในลักษณะที่สอดคล้องกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเด็กและสอดคล้องกับอนุสัญญานี้”
คณะกรรมการสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติดำเนินการในการติดตามการที่รัฐจะนำอนุสัญญาไปใช้ได้อธิบายความข้อนี้ไว้ชัดเจนและสม่ำเสมอว่า หมายถึงการห้ามการลงโทษเด็กในโรงเรียน คณะกรรมการที่มีหน้าที่ในการติดตามการดำเนินงานของอนุสัญญาฉบับอื่นๆ เน้นย้ำว่ากฎหมายสิทธิมนุษยชนระดับสากลและระดับภูมิภาคต้องดำเนินการให้มีการห้ามการลงโทษเด็กในโรงเรียนเช่นกัน
คำว่า “เด็ก” ตามอนุสัญญา หมายถึง มนุษย์ทุกคนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เว้นแต่จะบรรลุนิติภาวะก่อนหน้านั้นตามกฎหมาย ซึ่งระบุไว้ในดังข้อต่อไปนี้ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ได้แก่
ข้อที่ 1 รัฐภาคีจะเคารพและประกันสิทธิตามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญานี้แก่เด็กที่อยู่ในเขตอำนาจ โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ ไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ สีผิว ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง ต้นกำเนิดทางชาติ ชาติพันธุ์ สังคม ทรัพย์สิน ความทุพพลภาพ การเกิดหรือสถานะอื่นๆ
ข้อที่ 2 ผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นลำดับแรก
ข้อที่ 3 รัฐภาคีจะดำเนินมาตรการที่เหมาะสม ทั้งด้านนิติบัญญัติ บริหาร และด้านอื่นๆ เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามสิทธิที่อนุสัญญานี้ให้การยอมรับ
ข้อที่ 4 รัฐภาคีจะเคารพต่อความรับผิดชอบ สิทธิ หน้าที่ของบิดามารดา ในอันที่จะให้แนวทาง การแนะแนวที่เหมาะสมในการใช้สิทธิของเด็กตามที่อนุสัญญานี้ให้การรับรอง
ข้อที่ 5 รัฐภาคียอมรับว่าเด็กมีสิทธิติดตัวที่จะมีชีวิต และประกันอย่างเต็มที่ให้มีการอยู่รอดและการพัฒนาของเด็ก
ข้อที่ 6 รัฐภาคีจะหยุดยั้งการโยกย้ายเด็กและการไม่ส่งเด็กกลับคืนจากต่างประเทศที่มิชอบด้วยกฎหมาย
ข้อที่ 11 รัฐภาคีจะประกันแก่เด็กซึ่งสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นโดยเสรีในทุกๆ เรื่อง ที่มีผลกระทบต่อเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนพิจารณาทางตุลาการและทางปกครอง
ข้อที่ 12 เด็กมีสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก
ข้อที่ 13 รัฐภาคีจะเคารพต่อสิทธิของเด็กที่จะมีเสรีภาพทางความคิด มโนธรรมและศาสนา
ข้อที่ 14 รัฐภาคียอมรับสิทธิของเด็กที่จะมีเสรีภาพในการสมาคมและเสรีภาพในการชุมนุมอย่างสงบ โดยไม่อาจจำกัดการใช้สิทธิเหล่านี้ นอกเหนือจากข้อจำกัดที่กำหนดขึ้นโดยสอดคล้องกับกฎหมาย และที่จำเป็นสำหรับสังคมประชาธิปไตย
...
ข้อที่ 15 เด็กจะไม่ถูกแทรกแซงในความเป็นส่วนตัว ครอบครัว บ้าน หนังสือโต้ตอบ และจะไม่ถูกกระทำโดยมิชอบต่อเกียรติและชื่อเสียง
ข้อที่ 16 รัฐภาคียอมรับในสิทธิของเด็ก ผู้ซึ่งได้รับการจัดโดยหน่วยงานที่มีอำนาจให้ไปได้รับการดูแล การคุ้มครอง หรือการบำบัดรักษาสุขภาพ ในอันที่จะได้รับการทบทวนการบำบัดรักษาเป็นระยะๆ
ข้อที่ 25 รัฐที่มีชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ ศาสนา ภาษา หรือกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมอาศัยอยู่ เด็กต้องไม่ถูกปฏิเสธสิทธิที่จะปฏิบัติตามวัฒนธรรม ที่จะนับถือและปฏิบัติทางศาสนาหรือสิทธิที่จะใช้ภาษาของตน
ข้อที่ 30 รัฐภาคีจะเคารพและประกันให้มีความเคารพต่อกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศในกรณีพิพาทกันด้วยอาวุธซึ่งเกี่ยวข้องกับเด็ก ประกันว่าบุคคลที่มีอายุไม่ถึง 15 ปี จะไม่มีส่วนร่วมโดยตรงในการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน และหลีกเลี่ยงการเกณฑ์บุคคลที่มีอายุไม่ถึง 15 ปี เข้าประจำกองทัพ
ข้อที่ 38 ไม่มีส่วนใดในอนุสัญญานี้จะมีผลกระทบต่อบทบัญญัติใดๆ ซึ่งให้สิทธิของเด็กบังเกิดผลมากกว่าในกฎหมายของรัฐภาคี หรือกฎหมายระหว่างประเทศที่มีผลใช้บังคับกับรัฐนั้น