ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงกับพระเอกในละคร หมอหลวง ที่ปลุกกระแสการแพทย์แผนไทยให้คึกคักขึ้น เพราะเพจของ หมอนัท ใครไม่ป่วยยกมือขึ้น ที่มียอดผู้ติดตามทางยูทูบมากกว่า 7 แสนคน ช่วยให้คนไทยเจ็บป่วยน้อยลง และรู้จักช่วยตัวเองด้วยแนวทางธรรมชาติบำบัดแบบไทยๆ โดยยึดหลักสุขภาพดีแบบพอเพียงไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมาย และพึ่งหมอพึ่งยาน้อยที่สุด

ถามว่า “หมอนัท” เป็นใครมาจากไหน เพิ่งอายุ 40 ปี จบมาทางวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ทำไมโด่งดังเป็นที่รู้จักในแวดวงแพทย์ทางเลือก “หมอนัท–ณัฐพล วาสิกดิลก” เป็นลูกชายของ “หมอแดง–วีระชัย วาสิกดิลก” เจ้าของแนวคิด “ใครไม่ป่วยยกมือขึ้น” ผู้ก่อตั้งคลินิกการแพทย์แผนไทย “ดิ อโรคยา” ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น “สัปปายะ” พยายามให้คนไทยได้รู้จักวิธีดูแลตัวเองด้วยแนวทางธรรมชาติบำบัดแบบไทยๆมาอย่างต่อเนื่องข้ามทศวรรษ กระทั่ง “หมอแดง” เริ่มป่วยเพราะทำงานมาก จึงได้ “หมอนัท” เข้ามารับช่วงสานต่ออุดมการณ์ที่อยากเห็นคนไทยป่วยน้อยลง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพของคนไทย และช่วยลดภาระงบประมาณแผ่นดิน

...

เรียนวิศวะคอมพิวเตอร์ ทำไมสนใจการแพทย์ทางเลือกจริงจัง

คุณพ่อเปิดคลินิกดิ อโรคยา ตั้งแต่ปี 2545 ตอนนั้นผมเรียนปี 3 ด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ อยู่ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (บางมด) เมื่อเรียนจบแล้วมีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ คุณพ่อจึงชวนมาทำหนังสือ “ใครไม่ป่วยยกมือขึ้นเล่มแรก” ท่านเขียนด้วยลายมือ เรามีหน้าที่ช่วยพ่อพิมพ์งาน ทำให้ต้องอ่านหนังสือเพิ่ม จึงเริ่มสนใจเแพทย์ทางเลือก แต่มาจริงจังตอนพ่อให้ไปเรียนแพทย์แผนไทยที่วัดโพธิ์ เป็นรุ่นสุดท้ายที่ได้เรียนข้างโบสถ์ เรียนแพทย์แผนไทยจบ 3 ปี จังหวะพอดีกับที่พ่อเริ่มอาการไม่ดี ต้องเลิกทำงานทันที ผมเลยต้องเข้ามารับช่วงต่อจากท่าน ตอนนั้นอายุ 29 ปี ชอบไม่ชอบไม่รู้ล่ะ แต่ลูกน้องมี 30 คน ยังไงเราก็ต้องรันคลินิกต่อไปให้ได้ และต้องทำรายการโทรทัศน์ “ใครไม่ป่วยยกมือขึ้น” ที่ช่องเนชั่นทีวีไปด้วย ใช้เวลา 2 ปี กว่าคนจะเริ่มรู้จักหมอนัท โชคดีที่มีหนังสือและรายการโทรทัศน์เป็นพื้นฐาน พีกสุดยุคแรกคือตอนเซเว่น อีเลฟเว่นติดต่อให้เอาหนังสือไปวางขาย คนมาเข้าคิวที่คลินิกแน่นเป็นปี จากนั้นผมก็เริ่มทำเพจในเฟซบุ๊ก เมื่อปี 2552 แล้วค่อยๆขยายช่องทางออกไปทางยูทูบและติ๊กต่อก คนไข้ที่มาหาเราส่วนใหญ่จะมีพื้นฐานบ้างแล้วจากการดูยูทูบ เป็นกลุ่มที่อยากรู้วิธีช่วยเหลือตัวเองเพื่อให้ป่วยน้อยลง และมีสุขภาพดีขึ้น

อะไรคือหัวใจสำคัญของแนวคิด “หมอที่ดีที่สุดคือตัวเราเอง”

คนประมาทจะใช้ร่างกายราวกับยืมเช่าคนอื่นมาเหมือนไม่ใช่ร่างกายของตนเอง รู้แต่ว่าใช้ให้คุ้ม ไม่สบายก็แก้ที่ปลายเหตุ ทานยาพึ่งแต่หมอ ฝากชีวิตไว้กับคนที่เพิ่งเจอกันไม่กี่นาที โดยไม่ฟังเสียงของร่างกายตัวเอง ทั้งๆที่หมอที่ดีที่สุดคือตัวเราเอง คนเราป่วยก็เพราะตัวเอง อย่างโรคภูมิแพ้ เกิดจากภูมิคุ้มกันมีปัญหา พอกินยาต้านอักเสบ ยาลดอาการบวม รักษาเรื่องหนึ่งได้ก็โผล่อีกเรื่อง ฉะนั้น สิ่งที่ควรทำคือต้องสังเกตตัวเอง และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเองเพื่อให้ไม่ป่วยอีก เช่น ต้องออกกำลังกายเท่าที่จะทำได้ และหลังอาหารลองกินสมุนไพรช่วยย่อย หรือโปรไบโอติก พอร่างกายกลับเข้าสู่สมดุล จึงจะสามารถเริ่มซ่อมแซมตัวเองได้ คนที่เป็นโรคหนักๆเกิดจากร่างกายเสียสมดุล ไม่ยอมซ่อมตัวเอง ทำงานหนัก เครียด นอนน้อย ถ้าร่างกายกลับมาสู่สมดุลก็จะสามารถฟื้นตัวได้ คลินิกของเรารักษาโดยให้คนไข้ดูแลตัวเอง ปรับพฤติกรรม ใช้สมุนไพร ซักข้อมูลเยอะ เพื่อจะรู้ว่าป่วยเพราะอะไร

...

โรคอะไรคือโรคยอดฮิตที่รักษาหายได้ด้วยการแพทย์ทางเลือก

โรคกรดไหลย้อนและโรคกระเพาะ มีคนไข้มารักษากันเยอะ ระบบย่อยอาหารเป็นระบบที่เริ่มต้นขับเคลื่อนก่อนระบบอื่นๆ ถ้าเริ่มต้นดีปัญหาสุขภาพจะน้อย ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ผมอยากรวยอยากประสบความสำเร็จ ทำให้เครียดและชอบดื่มชาเย็นกับของหวานๆ เมื่อเครียดระบบย่อยก็ไม่ดี กลายเป็นกรดไหลย้อน หายใจลำบาก การขับถ่ายไม่ดี จุกแน่น และไอ พ่อให้เลิกดื่มชาเย็น แล้วให้กินยาธรณีสัณฑะฆาต กินยาเสร็จใน 2 ชั่วโมง ถ่าย 5 รอบ หลังจากนั้นอาการไอจุกแน่นก็หายหมด เมื่อได้มาศึกษาเรื่องกรดไหลย้อนในภายหลัง ทำให้รู้ว่าโรคนี้รักษาได้ง่ายๆ ด้วยตัวเราเอง โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ หันมากินอยู่ใกล้เคียงธรรมชาติ ย่อยให้ดี ถ่ายให้ดี ไม่สร้างลมใหม่ ไม่ดื่มน้ำเย็น ฝึกนอนให้เร็วขึ้น และลดการทานอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ หันมาทานผักผลไม้และข้าวกล้อง เพื่อเพิ่มกากใยอาหาร ลมในกระเพาะในลำไส้จะลดลงเอง

...

การแพทย์ทางเลือกสามารถรักษาโรคซึมเศร้าและแพนิกได้ไหม

ก่อนโควิดสักปีหนึ่ง ผมเป็นซึมเศร้าและแพนิก เพราะเริ่มเหนื่อยเริ่มล้า อยู่ดีๆก็รู้สึกเบื่อไม่อยากทำอะไร ตอนนั้นเกลียดตัวเองมาก บอกภรรยาว่าตอนนี้เราต้องตายแล้วนะ มันเป็นช่วงที่ผมทำงานเยอะและมีชื่อเสียง แต่จู่ๆก็หยุดทุกอย่าง เพราะเบื่อตัวเอง เกลียดตัวเองคนเก่ามาก เปิดเฟซบุ๊กดูภาพเก่าๆไม่เอาเลย ทำลายคนเก่าหมด กลายเป็นแพนิกกลัวไปหมด พอหยุดการเป็นหมอปั๊บ หัวสมองมันพลิกกลายเป็นคนขี้ขลาดขี้กลัว ไม่อยากออกสื่อ อยากนอนอยู่บ้านอย่างเดียว ตอนอาการแพนิกกำเริบภรรยาพาส่งโรงพยาบาล ผมบอกหมอว่ากำลังจะตายแล้ว แต่ตรวจยังไงก็ไม่เจอสาเหตุ หมอให้กินยานอนหลับและยาคลายเครียด ผมทานอยู่ 1 สัปดาห์ รู้สึกสมองเบลอจึงเลิกไป สุดท้ายใช้เวลาปีหนึ่งเพื่อฟื้นฟูตัวเองโดยไม่พึ่งยา ค่อยๆกู้จิตใจที่พังกลับมา แล้วเริ่มต้นรีสตาร์ตชีวิตใหม่ เมื่อหายจากซึมเศร้าและแพนิก ผมไลฟ์สดในเฟซบุ๊กว่าใช้วิธีอย่างไร ทำให้มีคนซึมเศร้ากับแพนิกเข้ามาปรึกษาเยอะ ก็เลยได้ศึกษาจากคนกลุ่มนี้ด้วย

...

ทำไมคนยุคใหม่เป็นแพนิกกันเยอะ

เท่าที่ศึกษามาแพนิกเกิดขึ้นจาก 4 สาเหตุคือ “กระเพาะอาหารและลำไส้ไม่ดีเป็นเวลานาน” เป็นโรคกรดไหลย้อนมานาน, “ใช้ชีวิตไม่เป็นธรรมชาติ” เช่น นอนดึกเป็นประจำ และเล่นมือถือมากเกินไป, “ใช้สมองทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน” เหยียบคันเร่งตลอดเวลาจนสุดท้ายมันโอเวอร์ไดรฟ์ และ “แพนิกเพราะมีเหตุต้องเป็น” เช่น เป็นคนหลงตัวเองว่าเก่งมาก หลงยึดติดในชื่อเสียงหลงในทรัพย์สมบัติ หรือยึดติดในคนรัก เมื่อสิ่งเหล่านั้นหายไปมันเกิดความกลัว เหมือนตกจากที่สูง ไม่มีอะไรให้ยึดเหนี่ยว กลายเป็นคนเกลียดตัวเอง เวลาแพนิกกำเริบหลายคนจะหายใจไม่ทัน รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นออกมาอยู่ข้างนอกมีอาการตื่นเต้นอย่างมาก เหมือนกำลังนั่งรถไฟเหาะแล้วไม่หยุดสักที รู้สึกเหมือนจะต้องตายแล้ว เวลามันกำเริบหนักท้องไส้ปั่นป่วนมากๆ รู้สึกเหมือนตกร่วงมาจากที่สูงครั้งแล้วครั้งเล่า หลายคนสะดุ้งตื่นทั้งคืน ทำให้อ่อนเพลีย กลัวการนอนและกลัวการหลับตา สมองจะหยุดคิดไม่ได้ฟุ้งซ่านใหญ่โตตลอดเวลา ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานแย่ลง ความจำเริ่มไม่ดี กลายเป็นคนคิดแง่ลบตลอดเวลา

ต้องทำอย่างไรถ้าอยากจะหายจากแพนิกอย่างยั่งยืน

เวลาแพนิกกำเริบให้หายใจยาวๆ อย่าไปอยู่ในที่ที่คนเยอะๆเสียงดังๆ ดมยาดมช่วยผ่อนคลายได้ หรือกินยาหอมก็ช่วยได้ แต่ถ้าอยากให้หายอย่างยั่งยืนต้องแก้ที่ต้นเหตุ เริ่มจาก “ปรับระบบการย่อยให้ดี” ทานอาหารให้เป็นเวลา และอย่าเลือกอาหารมากเกินไป ให้คิดซะว่ากินเพื่ออยู่ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน, “พักผ่อนให้เป็นเวลา” รู้จักแบ่งเวลาให้ดี, “ลดความถี่ของการใช้สมอง” โดยทำอะไรทีละอย่างอย่าทำทุกอย่างพร้อมกัน แพนิกจะกำเริบได้ง่าย ลองฝึกสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบลง, “ออกกำลังกายแบบมีวินัย” สร้างธาตุไฟไล่ความกลัว, “ฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบัน” มองโลกให้เป็นธรรมชาติ ยอมรับว่าอนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน และ “หาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจใหม่ๆ เพื่อให้ผ่านพ้นไปได้” สำหรับผมคือธรรมะและหลวงปู่ทวด ตามหลักไตรลักษณ์เป็นเรื่องปกติที่พอถึงจุดจุดหนึ่งของชีวิตเราต้องทำลายตัวเองทำลายของเก่าไปก่อน เพื่อเริ่มต้นรีสตาร์ตใหม่ คุณอาจจะเกลียดตัวเอง อยากฆ่าตัวตาย ไม่ชอบงานที่ทำ อย่าไปมองว่านี่มันโรคภัยต้องหา หมอหายากินตลอดเวลา ให้มองว่ามันคือกระบวนการที่ร่างกายต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ชีวิตมีเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป คนที่ไม่หายเพราะไม่กล้าทิ้งตัวเก่าไป เพื่อพัฒนาตัวตนใหม่ขึ้นมา ต้องยอมรับความจริงให้ได้ก่อน

ความฝันสูงสุดของหมอนัทคืออะไร

อยากช่วยกันทำให้คนป่วยน้อยลง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพของคนไทยในอนาคต อยากให้คนไทยมีสุขภาพแข็งแรง และสามารถดูแลตัวเองได้ สำหรับผมแล้วมีความสุขหนึ่งที่ไม่เคยอยู่ไกลจากเรา คือสุขที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย เข้าใจความจริงของร่างกาย นอนหลับได้สนิท ตื่นขึ้นพร้อมใบหน้าที่สดชื่น มีกำลังกายและกำลังใจพร้อมสำหรับทุกสิ่ง หมั่นสะสมความสุขวันละเล็กละน้อย เพื่อให้เรามีความสุขได้ในทุกวัน.

ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ