โดนถามประจำว่าเลี้ยงลูกยังไงให้เป็นอัจฉริยะแห่งยุค “เมย์ มัสก์” จะตอบอย่างภูมิใจว่า “ฉันไม่เคยบอกให้เขาหยุดในสิ่งที่คิดว่ามันถูกต้อง ตราบใดที่เขากำลังทำเพื่อให้อนาคตดีขึ้น ฉันจะบอกเสมอว่าตั้งใจนะ และทำมันต่อไป”

มีคุณแม่ขาลุยแบบนี้ ก็ไม่แปลกใจที่เจ้าพ่อนวัตกรรมพลิกโลกอย่าง “อีลอน มัสก์” จะกล้าฝันเฟื่องทะลุทุกมิติ ถึงขนาดเปรยๆว่า “มันจะยอดเยี่ยมแค่ไหนถ้าคนเราเกิดบนโลก แล้วไปตายบนดาวอังคาร” ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมที่จะอพยพมนุษย์ไปสร้างอาณานิคมใหม่บนดาวอังคาร

ตอนที่ “อีลอน มัสก์” ยังเด็ก ใครๆก็คิดว่าเขาอาจจะหูหนวก เพราะมักตกอยู่ในภวังค์ไม่พูดไม่จา และไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อผู้อื่น แต่ก็เพราะ “แม่เมย์” เชื่อมั่นในตัวลูกชายเต็มที่ จึงยืนกรานว่าลูกชายคนโตไม่ได้หูหนวก แต่เป็นเด็กพิเศษ ที่จดจ่ออยู่กับจินตนาการในโลกของตัวเอง และจะไม่สนใจสิ่งต่างๆรอบตัว

...

“อีลอน มัสก์” เคยพูดถึงเรื่องนี้ เมื่อถูกถามว่าอะไรคือสิ่งที่ช่วยให้เขาไปถึงจุดสูงสุดในอาชีพได้...“ผมแค่สามารถเริ่มต้นทำอะไรบางอย่าง และจดจ่อมุ่งมั่นกับสิ่งนั้นอย่างไม่หยุดยั้ง” อีกคุณสมบัติที่โดดเด่นในตัวอัจฉริยะผู้นี้ ซึ่งได้รับการปลูกฝังจากแม่ ก็คือเขาชอบอ่านหนังสือมาก และสามารถอ่านหนังสือวันละ 10 ชั่วโมงได้สบายๆ โดยหนังสือเล่มโปรดที่กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญคือ “The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy” เป็นเรื่องราวการท่องอวกาศที่จุดประกายให้มุ่งมั่นว่าการปกป้องมวลมนุษยชาติคือภารกิจสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา

“ฉันค่อนข้างจะโชคดีที่ลูกทั้งสามคนเป็นเด็กดีหมด ทั้งที่โตมาในครอบครัวหย่าร้าง หลังจากหย่ากับพ่อของลูกๆ ฉันย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านเกิดในแคนาดา เป็นซิงเกิลมัมที่ทำงานอย่างหนักเพื่อหาเลี้ยงลูกตามลำพัง ฉันเลี้ยงพวกเขาเหมือนกับที่พ่อแม่เลี้ยงฉันมา ท่านทั้งสองเป็นคนมีความรู้แต่ไม่เคยดูถูกคน พ่อของฉันเปิดคลินิกกายภาพบำบัด และเป็นนักโบราณคดีสมัครเล่น จำได้ว่าพวกเราพี่น้อง 5 คน โตมาท่ามกลางทุ่งหญ้าและสัตว์ป่าแอฟริกัน ครอบครัวเราเป็นครอบครัวนักผจญภัยตัวจริง พวกเราบินไปทั่วด้วยเครื่องบินใบพัดเครื่องยนต์เดียว เคยทำลายสถิติเดินทางข้ามทวีปไปออสเตรเลียด้วยเครื่องบินขนาดเล็กเครื่องยนต์เดียว และตั้งแคมป์อยู่กลางทะเลทราย
คาลาฮารี เพื่อสำรวจหาอาณาจักรเก่าที่หายสาบสูญไป พวกเราโตมาด้วยจิตวิญญาณแบบนั้น และคงตกทอดมาถึงรุ่นลูกๆของฉันด้วย”...คุณแม่อัจฉริยะรื้อฟื้นความทรงจำ

...

ถ้าไม่นับความล้มเหลวของชีวิตคู่ จะว่าไปแล้วชีวิตของ “เมย์ มัสก์” ก็โดดเด่นไม่น้อยหน้าใครเลย เธอเกิดที่แคนาดา แต่มาเติบโตในแอฟริกาใต้ เริ่มต้นอาชีพนางแบบตอนอายุ 15 และเป็นดาวเด่นที่มีบุคลิกอินดี้มาตั้งแต่สาวๆ เคยเข้ารอบสุดท้ายเวทีประกวดมิสเซาท์แอฟริกา แถมยังเรียนจบปริญญาโท 2 ใบ ในด้านโภชนาการอาหาร ภายหลังได้กลายเป็นนักโภชนาการคิวทองที่มีชื่อเสียงระดับท็อป เขียนหนังสือและได้รับเชิญให้ไปถ่ายทอดความรู้ตามเวทีต่างๆทั่วทุกมุมโลก เธอสร้างอาชีพการงานเด่นดังชนิดไม่ต้องพึ่งใบบุญใคร โดยตอนแซยิดใหญ่อายุ 60 เรียกเสียงฮือฮาด้วยการหวนคืนสู่รันเวย์ใหญ่อีกครั้ง และแก้ผ้าถ่ายนู้ดอุ้มท้องปลอมๆขึ้นปกนิตยสาร “นิวยอร์ก” นอกจากจะเบียดสาวๆครองปกแมกกาซีนดังเกือบทุกฉบับ เธอยังได้เซ็นสัญญาถ่ายโฆษณาของห้างฯทาร์เก็ต และสายการบินเวอร์จิน อเมริกา ขณะที่ตอนอายุ 69 สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการ กลายเป็นพรีเซนเตอร์อายุมากที่สุดของเครื่องสำอาง “CoverGirl” ปีนี้อายุ 74 แล้ว แต่ความฮอตกลับไม่มีวี่แววจะแผ่วลง

...

อย่างไรก็ดี ฝันร้ายอย่างเดียวในชีวิตของ “เมย์ มัสก์” ก็คือ การมีชีวิตคู่ที่ทุกข์ทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็น!! อดีตสามีของเธอเป็นวิศวกรอิเล็กทรอนิกส์ชาวแอฟริกาใต้ ทำงานเก่งมีชื่อเสียง แต่เจ้าชู้มาก และที่สำคัญชอบซ้อมเมีย!! ถึงขนาด “อีลอน มัสก์” ประกาศชัดว่าเกลียดพ่อมาก และเรียกพ่อว่าปีศาจร้าย!! กลายเป็นปมเขื่องฝังแน่นในจิตใจมาจนทุกวันนี้ “เมย์” หย่ากับสามีตอน “อีลอน มัสก์” อายุแค่ 9 ขวบ หลังอยู่กับแม่ได้ 2-3 ปี ลูกชายคนโตตัดสินใจย้ายไปอยู่กับพ่อที่แต่งงานใหม่และมีลูกเล็กๆ แม้ชีวิตจะสุขสบายทุกอย่าง เพราะพ่อค่อนข้างมีฐานะ แต่ความทรงจำวัยเด็กของ “อีลอน มัสก์” กลับมีแต่ภาพฝันร้ายของ “พ่อจอมปีศาจ” ที่ชอบทุบตีแม่ และเกรี้ยวกราดอาละวาดลูกๆ ซ้ำร้ายเขายังตกเป็นเหยื่อของแก๊งเด็ก ถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียนเป็นประจำ ทำให้ชีวิตวัยเด็กของ “ไอรอน แมน” เต็มไปด้วยเรื่องราวไม่น่าจดจำ

...

กระนั้น ด้วยกำลังใจและการสนับสนุนจากแม่ หลังเรียนจบไฮสกูลทำให้เขาตัดสินใจเก็บกระเป๋าออกจากบ้านพ่อในแอฟริกาใต้ เพื่อไปแสวงหาชีวิตใหม่ในแคนาดา โดยมีเป้าหมายใหญ่อยู่ที่ซิลิคอน วัลเลย์ สมบัติล้ำค่าที่สุดของเขาคือ มันสมองอันปราดเปรื่อง เขาเก่งวิชาเลข, ฟิสิกส์ และคอมพิวเตอร์มาก จึงสามารถสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยควีนส์ รัฐออนแทรีโอ และโอนหน่วยกิตไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา กระทั่งคว้าปริญญาตรี 2 ใบ ด้านฟิสิกส์ และเศรษฐศาสตร์ ภายใต้รั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำ ความประหลาดปราดเปรื่องของเขาได้รับการชื่นชมจากเหล่าปัญญาชน และทำให้เขาได้เจอกับเพื่อนหัวกะทิระดับเดียวกัน ที่พร้อมจะฟังหนุ่มน้อยพรั่งพรูถึงเรื่องอนาคตของมนุษยชาติ, การสำรวจอวกาศ, พลังงานที่ยั่งยืน และการจัดรหัสพันธุกรรมมนุษย์ใหม่ โดย “อีลอน มัสก์” ทำงานทุกอย่างเพื่อส่งตัวเองเรียนมหาวิทยาลัย

ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่มาก เพราะลูกทั้งสามของ “เมย์ มัสก์” ไม่เพียงแต่เป็นเด็กดี แต่พี่น้องทั้งสามคนยังรักใคร่กลมเกลียวกัน แถมยังมีจิตอาสาและสำนึกดีต่อโลกด้วย สิ่งที่เธอปลูกฝังให้กับลูกๆคือ ความอ่อนโยน และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ซึ่ง “อีลอน มัสก์” น่าจะได้มาเต็มๆ แม้จะฝันเฟื่องบ้าบิ่นขนาดไหน แต่ทุกความฝันก็มีเป้าหมายเพื่อปกป้องมวลมนุษยชาติ!! นอกจากจะก่อตั้ง “สเปซเอ็กซ์” บริษัทขนส่งทางอวกาศของเอกชนที่ใหญ่ที่สุด ยังลุยพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบในนาม “เทสล่า” เพื่อปฏิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์ และฝันสร้างโลกใหม่ให้เป็นเมืองพลังงานแสงอาทิตย์ ภายใต้แนวคิด “โซลาร์ซิตี้”

“ฉันตั้งใจเลี้ยงลูกให้เหมือนกับที่ตัวเองได้รับการเลี้ยงดูมา คือให้อิสระทางความคิดเต็มที่, ทำตัวเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น และไม่ประคบประหงมเอาใจ”...“เมย์ มัสก์” ยอมรับว่าเป็นแม่ที่เข้มงวดกวดขันกับลูกๆเรื่องระเบียบวินัย แต่ไม่เคยปิดกั้นความคิดของลูก และจะให้อิสระอย่างเต็มที่ในการเลือกทางเดินของตัวเอง

เทสล่าคงไม่ได้เกิด และทวิตเตอร์คงไม่มีเจ้าของบ้าบิ่นคนใหม่ชื่อ “อีลอน มัสก์” ถ้าไม่ใช่เพราะ “แม่เมย์” เชื่อมั่นในความอัจฉริยะของ
ลูกชายสุดรัก!! จนยอมกัดฟันเจียดเงินจากน้ำพักน้ำแรงตัวเองให้เป็นทุนก่อตั้งธุรกิจแรกของลูกชายคือ “Zip2” ผู้พัฒนาเว็บไซต์รวมข้อมูลธุรกิจต่างๆ ซึ่งสามารถเพิ่มมูลค่าถึง 307 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเหลือทุน 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯให้พ่อหนุ่มอัจฉริยะไปตั้งต้นธุรกิจใหม่อย่าง “x.com” และ “PayPal” วางรากฐานให้ธุรกิจบริการทางการเงินออนไลน์ ก่อนจะขายต่อให้ “eBay” ด้วยสนนราคาสูงถึง 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็นต้นทุนสำคัญทำให้ชีวิตของ “อีลอน มัสก์” พุ่งทะยานจนฉุดไม่อยู่!!

ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ