เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว (2563) เด็กชายวัย 12 ปีคนหนึ่งที่อาศัยอยู่บริเวณคาบสมุทรยามาล ในไซบีเรีย ในเขตวงกลมอาร์กติกที่หนาวยะเยือก ตายเพราะติดเชื้อแอนแทร็กซ์

ชาวบ้านในละแวกนั้นอีกประมาณ 20 คนถูกนำส่งโรงพยาบาลเพราะโรคเดียวกัน โดยคาดว่าคลื่นความร้อนที่เข้าโจมตีเขตอาร์กติกในฤดูร้อนของปีนั้น ทำให้ชั้นดินเยือกแข็งซึ่งปกติจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์องศาเซลเซียสอยู่ตลอดปี เกิดการละลายตัว ซากกวางเรนเดียร์ที่ตายด้วยโรคแอนแทร็กซ์เมื่อ 75 ปีก่อน ที่ถูกฝังอยู่ใต้ดิน ออกมาสัมผัสกับอากาศภายนอกและแหล่งน้ำ ทำให้เชื้อโรคปนเปื้อนในแหล่งน้ำ แหล่งอาหาร จนคนติดเชื้อ

จริงๆแล้วการกลับมาของ “เชื้อโรค” ในโลกยุคดึกดำบรรพ์ หรือในภูเขาน้ำแข็งที่ถมทับ ไม่ใช่เรื่องใหม่ ภาวะโลกร้อนปรวนแปรเป็นเรื่องที่ทั่วโลกถกเถียงกันมานานกว่า 2 ทศวรรษแล้ว แต่เริ่มปรากฏชัดก็ในช่วงไม่เกิน 5 ปีนี้ ที่มีการพบปรากฏการณ์ประหลาดของเชื้อโรคที่ไม่เคยพบมาก่อนมากขึ้นเรื่อยๆ

ในทิเบต พบไวรัสโบราณมากกว่า 28 ชนิดฝังตัวอยู่ในน้ำแข็งนานกว่า 15,000 ปี ทำให้นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งจากสหรัฐอเมริกาเดินทางสู่ทิเบตกับภารกิจสำรวจก้อนน้ำแข็งที่เก่าแก่ที่สุด และสิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องตื่นตะลึงมากกว่าก้อนน้ำแข็งเก่าแก่ก็คือกว่า 33 ชนิดซ่อนตัวอยู่ ในจำนวนนี้กว่า 28 ชนิดเป็นไวรัสที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย

...

ในสถานการณ์เช่นนี้ เรื่องแบบนี้เป็นเรื่อง น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด แม้ในสันนิษฐานเดิมจะระบุว่า ตามธรรมชาติแล้วไม่ควรมีสิ่งมีชีวิตอยู่ในน้ำแข็งที่อุณหภูมิต่ำๆได้ แต่เรื่องจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้ ปรากฏชัดแก่เราว่า พวกไวรัสโบราณสามารถจะอยู่ในน้ำแข็งได้เป็นหมื่นๆปี

และที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือรอยแตกเล็กๆน้อยๆจากการทำกิจกรรมของคนหรือสัตว์อาจจะทำให้พวกมันหลุดออกมาได้ในยุคของเรา ลองจินตนาการดูเล่นๆว่า ถ้าน้ำแข็งทั้งก้อนเกิดละลายออกมา และพาไวรัสเหล่านั้นออกสู่สิ่งแวดล้อมจะเกิดอะไรขึ้น...โดยเฉพาะเมื่อ “ภาวะโลกร้อน” กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของโลก

การค้นพบไวรัสในก้อนน้ำแข็งยักษ์ของทิเบต ทำให้นักวิทยาศาสตร์เร่งทำการวิจัยและคาดว่ายังมีไวรัสโบราณอีกมากมายที่รอการปลดปล่อยจากการฝังตัวในน้ำแข็งในเขตหนาวของโลกนับพันหรืออาจจะนับหมื่นๆปี

จริงๆแล้วการ “ฟื้นคืนชีพ” ของเชื้อโรคเหล่านี้ เริ่มส่งสัญญาณมาตั้งแต่ปี 2005 นักวิทยาศาสตร์ของนาซาพบว่าเชื้อแบคทีเรีย Carnobacterium pleistocenium ซึ่งอยู่ในบ่อน้ำแข็งของอลาสกามานานกว่า 32,000 ปี หรือตั้งแต่ยุคที่ช้างแมมมอธยังมีชีวิตอยู่

2 ปีต่อมา แบคทีเรียที่มีอายุ 8 ล้านปี ซึ่งจำศีลอยู่ใต้ธารน้ำแข็งด้วยการสร้างสปอร์ห่อหุ้มตัว ของทวีปแอนตาร์กติกา กลับมาเคลื่อนไหวมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เช่นเชื้อแอนแทร็กซ์ หรือบ้างก็เป็นไวรัสสายพันธุ์ขนาดใหญ่จนสามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา ซึ่งไวรัสกลุ่มนี้จะมีความแข็งแกร่งและสามารถรักษาดีเอ็นเอของตัวเองไว้ได้ดีกว่าไวรัสทั่วไป
ทำให้ในช่วง 10 ปีหลังนี่เองที่ชาวโลกเริ่มตื่นตัว และหาทางรับมือกับปัญหาที่ดูจะมีแนวโน้มรั้งไม่อยู่ แต่ทว่าการลุกขึ้นมาเตรียมความพร้อมก็เป็นช่วงเวลาที่เลยจุด Tipping Points หรือจุดพลิกผันไปเสียแล้ว

ดร.ฌอง–มิเชล คลาเวรี นักชีววิทยาวิวัฒนาการ จากมหาวิทยาลัยเอกซ์มาร์แซลล์ของฝรั่งเศส บอกว่า ชั้นดินเยือกแข็งคงตัว เป็นสถานที่จำศีลของเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย เนื่องจากใต้ดินลึกนั้นมืดมิด แสงส่องไม่ถึง ความเย็นยะเยือกและไม่มีออกซิเจนทำให้เชื้อโรคที่อยู่ในซากศพของมนุษย์และสัตว์ซึ่งกลบฝังไว้ตื้นๆในอดีต สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานนับร้อย นับพัน นับหมื่น และบางครั้งอาจเป็นนับล้านปี

...

ไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์พบเชื้อไข้หวัดสเปนที่มีการระบาดครั้งใหญ่ในปี ค.ศ.1918 (พ.ศ.2461) ในหลุมฝังศพหมู่ในเขตทุนดราของอลาสกา และคาดว่ามีเชื้อกาฬโรครวมทั้งเชื้อโรคที่แพร่ระบาดในศตวรรษที่ 18-19 อยู่ใต้ชั้นดินเยือกแข็งของไซบีเรียหลายชนิดด้วย

ศูนย์วิจัยไวรัสวิทยาและเทคโนโลยีชีวภาพของรัฐ เมืองโนโวซิบริสค์ ประเทศรัสเซีย ได้ตรวจสอบซากของมนุษย์ยุคหินจากทางตอนใต้ของไซบีเรีย พบว่ามีร่องรอยของอาการป่วยจากกาฬโรค พบชิ้นส่วนดีเอ็นเอของไวรัสกาฬโรค แม้จะไม่พบตัวเชื้อไวรัส แต่ก็มีการวิเคราะห์กันว่า ฟอสซิลของบรรพบุรุษมนุษย์ก่อนโฮโมเซเปียนส์อาจจะนำพาเชื้อโรคร้ายๆ ในอดีตกลับมาแผลงฤทธิ์ในปัจจุบันได้หากชั้นดินเยือกแข็งยังละลายตัวอย่างต่อเนื่อง

นักวิทยาศาสตร์ยังเกรงว่าชั้นดินเยือกแข็งในเขตขั้วโลกจะไม่ได้ละลายลงเพราะภาวะโลกร้อนเท่านั้น แต่การที่น้ำแข็งในทะเลแถบอาร์กติกละลาย ยังอาจจะทำให้ผู้คนจากโลกภายนอกเข้าถึงดินแดนชายฝั่งทางตอนเหนือของไซบีเรียได้มากขึ้น ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ดังกล่าว อาจดึงดูดให้มีการเข้ามาขุดเจาะ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ทำเหมืองทองและเหมืองแร่อื่นๆ ซึ่งการขุดเจาะพลิกชั้นดินเยือกแข็งอย่างมโหฬารของอุตสาหกรรมเหล่านี้ จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้เชื้อโรคร้ายจากใต้ดินปนเปื้อนออกสู่ดินชั้นบน แหล่งน้ำ และห่วงโซ่อาหารได้

...

ผลกระทบภาวะโลกร้อนนั้นมีอานุภาพการทำลายชีวิตมนุษย์และสัตว์ในปัจจุบันมากกว่าที่เราคิด ทั้งอากาศที่ร้อนขึ้น โรคระบาด การขาดแคลนอาหาร การสูญพันธุ์พืชและสัตว์บางชนิด หรือการกลับมาของเชื้อโรคร้ายบางชนิด

นักอนาคตศาสตร์คาดการณ์ว่า ใน 50-80 ปีต่อจากนี้ เชื้อโรคต่างๆที่เคยจำศีลในชั้นดินเยือกแข็งก็จะฟื้นคืนชีพ อาจแข็งแกร่งและมีความสามารถในการ กลายพันธุ์เร็วไม่แพ้ไวรัสโคโรนา

และนั่นคือสัญญาณเตือนเราทุกคนว่า

ระเบิดเวลาเริ่มต้นขึ้นแล้ว...!!!