อ่านเอาเรื่อง....เพจเล็กๆน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้ จากการรวมพลคนข่าว คนเขียนภาพประกอบ คนเขียนการ์ตูน ที่ล้วนต้องยอมจำนนเป็นฟรีแลนซ์แทนการมีชีวิตแบบมนุษย์เงินเดือนที่เคยเฟื่องฟูในอดีต
วันก่อน อ่านเรื่องราวเล็กๆ ที่เป็น product concept เกี่ยวกับโลงศพแห่งอนาคต ใน...อ่านเอาเรื่อง เลยขออนุญาตหยิบมาขยายต่อ
โลกในยุค นิว นอร์มอล นับจากนี้ แนวคิดเรื่องการประหยัด ความเรียบง่าย การเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ เป็นแนวคิดที่มาแรงขึ้น การคืนสู่ธรรมชาติ หรือกลับสู่ธรรมชาติแบบที่เรียกว่า Down to Earth กลายเป็นกระแสความนิยมของคนรุ่นใหม่ ที่แม้จะนิยมความง่ายๆ แต่ก็ต้องการความหมายหรือ Story เอาไว้เล่าต่อให้คนรุ่นต่อๆไปฟังไม่รู้เบื่อ
ความรู้สะสมดั้งเดิมที่ว่า สสารกับพลังงานเป็นเรื่องเดียวกัน และเราต่างรู้กันว่า สสารกับพลังงานไม่เคยสูญหายไปจากโลก มันแค่เปลี่ยนสภาพ
สำหรับ “คนตาย” ที่มีร่างกายเป็นสสารที่จากไป ถ้าไม่เผาจนกลายเป็นเถ้ากระดูก สิ่งที่สามารถเปลี่ยนเป็นสสารใหม่ได้ง่ายที่สุดและดีที่สุดในเวลานี้คือ เปลี่ยนเป็นดิน หรือต้นไม้
...
ก่อนหน้านี้ ความนิยมในการฝังสัตว์เลี้ยงที่รักไว้ใต้ต้นไม้สักต้น เพื่อจดจำรำลึก กลายเป็นกระแสที่ทำตามๆกันอย่างแพร่หลาย และยังพบว่า นอกจากความทรงจำถึงความรัก ความผูกพันต่อสัตว์เลี้ยงจะยังคงมีอยู่อย่างไม่เสื่อมคลายแล้ว หลายคนยังพบว่า ต้นไม้ที่ฝังร่างของสัตว์เลี้ยงแสนรักเอาไว้นั้น ดูจะเติบโต ผลิดอกสะพรั่งผิดต้นข้างเคียงอย่างมหัศจรรย์
แต่นวัตกรรมที่เพิ่งหลุดออกมาล่าสุดนี้ ก้าวล้ำไปอีกก้าว เพราะเราสามารถเลือกได้ว่าจะให้คนหรือสัตว์ที่จากไปเกิดเป็นต้นไม้อะไรที่เราชอบก็ได้ เพียงแค่นำร่างร่างนั้นเข้าไปขดอยู่แคปซูลพลาสติกรูปร่างเหมือนฟองไข่ ที่เรียกว่า “แคปซูลมันดิ” ที่ผลิตจากพลาสติกประเภท biodegradable ซึ่งเป็นพลาสติกที่ย่อยสลายได้
ภายใน แคปซูลมันดิ จะมีอินทรีย์ ที่เมื่อฝังลงดิน กระบวนการย่อยสลายจะเริ่มขึ้น เป็นอาหารให้ต้นไม้และลูกไม้ที่เราเลือกปลูก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวิธีนี้จะช่วยมอบสิ่งมีค่าให้แก่ดินมากเพียงใด และยังใช้เวลาเปลี่ยนสภาพเร็วกว่าการฝังแบบปกติ
แต่ ณ เวลานี้ ยังไม่ต้องไปตามหาเจ้าแคปซูลอินทรีย์ที่ว่านี้ เพราะยังเป็นแค่ product concept ที่ยังไม่ผ่านขั้นตอนทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเมื่อคอนเซปต์ชัดเจนขนาดนี้ อีกไม่นานเกินรอ เราน่าจะได้มีโอกาสเห็นหรือใช้บริการแคปซูลเปลี่ยนร่างสร้างสสารใหม่ตามใจคนที่ยังอยู่ ที่แน่ๆไม่เกินศตวรรษที่ 21 นี้ล่ะ
นอกจากแคปซูลมันดิแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ Bob Hendrikx นักออกแบบที่ทำงานวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยเดลท์และศูนย์ Naturalis Biodiversity Center และผู้ก่อตั้ง Loop for Live บริษัทสัญชาติเนเธอร์แลนด์ ได้ทำการทดลองผลิตโลงศพมีชีวิต หรือที่เรียกว่า Living Coffin ออกมา เพื่อใช้เป็นทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้นสำหรับการฝังศพ โดยไม่สร้างมลภาวะทิ้งไว้ให้กับโลก แต่กลับเลือกที่จะย่อยสลายกลับคืนสู่ธรรมชาติเป็นประโยชน์ให้กับผืนดินและต้นไม้แทน
Hendrikx บอกว่า เขาไม่ได้ตั้งใจหรือมีความคิดที่จะผลิตโลงศพชนิดนี้ขึ้นมาตั้งแต่แรก แต่เกิดขึ้นจากความบังเอิญที่ได้พูดคุยกับญาติคนหนึ่งถึงวงจรชีวิตของมนุษย์ ว่า สุดท้ายแล้วถ้าตายไปเราควรที่จะกลับคืนสู่ธรรมชาติได้อย่างไร เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับโลกใบนี้ เพราะปัจจุบันพื้นที่ในการฝังศพก็หาได้ยากขึ้นทุกที หากเป็นการเผาก็ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สร้างมลพิษเพิ่มขึ้น
Hendrikx จึงเกิดความคิดที่จะหาทางออกและสร้างนวัตกรรมเพื่อการฝังศพแบบไม่สร้างมลภาวะให้กับโลก กระทั่งเมื่อวันหนึ่งที่ญาติคนดังกล่าวต้องสูญเสียมารดาไป จึงได้โอกาสที่จะใช้โลงศพที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนี้ในการฝังศพขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกในประเทศเนเธอร์แลนด์
...
Living Coffin หรือโลงศพมีชีวิต โปรดักส์แบบอีโคถูกคิดขึ้นโดยผลิตด้วยไมซีเลียมหรือเส้นใยของเห็ด ที่ช่วยเร่งการย่อยสลายร่างกายให้กลายเป็นสารอาหารในดินให้แก่ต้นไม้ได้ในระยะเวลา 6 สัปดาห์ และหมดไปใน 2-3 ปี
ถือว่าเป็นไอเดียที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการออกแบบชีวิตในวาระสุดท้ายของตัวเอง เพื่อให้เหลือเป็นภาระกับโลกใบนี้ให้น้อยที่สุด เพราะในกระบวนย่อยของศพคนเรา จะมีสารพิษตกค้างอยู่ในดินที่กลายเป็นมลภาวะไม่น้อย สารพิษและสิ่งที่ไม่ย่อยสลายตกค้างอยู่นานนับสิบปี Minnesota Pollution Control Agency องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมในรัฐมินเนโซตา สหรัฐอเมริกา ซึ่งเก็บข้อมูลเรื่องนี้ พบว่า ปีหนึ่งๆ มีแผ่นไม้เนื้อแข็งที่ใช้ทำโลงประมาณ 30 ล้านชิ้น คอนกรีต 1,600,000 ตัน เหล็ก 14,000 ตัน น้ำยาที่ใช้ดองศพโดยเฉพาะฟอร์มัลดีไฮด์ 827,060 แกลลอน ทองแดงและทองเหลือง 2,700 ตัน
Loop for Live ทดลองผลิตโลงศพดังกล่าวไปแล้วกว่าหลายสิบโลง จำหน่ายในราคา 1,250 ยูโร หรือประมาณ 46,000 บาท โดยคาดหวังว่าหากโลงศพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนี้ได้รับความนิยมมากขึ้น ก็จะทำให้ราคาถูกลงได้มากกว่านี้ และกลายเป็นการฝังศพแบบ New Normal หรือวิถีแบบใหม่ของมนุษย์ไปเลยก็เป็นได้.
...