ไม่ได้หล่อรวยเก่งไฮโซและมีภรรยาสวยเพียงอย่างเดียว แต่ “กรณ์ ณรงค์เดช” ยังเป็นซีอีโอรุ่นใหม่ไฟแรงที่ทุ่มเททำงานหนักไม่แพ้ใคร ล่าสุด รับภารกิจท้าทายใหม่ นำทัพใหญ่รีแบรนดิ้ง “ไรมอน แลนด์” ให้กลับมาผงาดอีกครั้งในฐานะผู้นำวงการอสังหาฯระดับไฮเอนด์ หลังต่อจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สัญชาติไทยรายแรกของ “ไรมอน แลนด์” เข้ากุมบังเหียนธุรกิจเต็มตัวตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา
“กลุ่มบริษัท เคพีเอ็น แลนด์ จำกัด (KPNL) คือ ผมและพี่ชาย (กฤษณ์ ณรงค์เดช) เข้ามาถือหุ้นในไรมอน แลนด์ ตั้งแต่ปี 2561 และขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของไรมอน แลนด์ ในเดือนกรกฎาคม 2563 โดยปัจจุบันพี่กฤษณ์ นั่งเป็นประธานคณะกรรมการ และผมเป็นซีอีโอ การที่เราเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สัญชาติไทยรายแรกในประวัติศาสตร์ของไรมอน แลนด์ นับจากดำเนินธุรกิจในไทยมา 33 ปี ถือเป็นข้อดีที่สร้างความได้เปรียบ เพราะมีความเข้าใจในพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของคนไทย ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคคนไทยได้อย่างตรงจุดมากขึ้น”...ซีอีโอหน้าหยกบอกเล่าถึงภารกิจใหม่สุดท้าทาย
...
เข้ามาเป็นซีอีโอปุ๊บก็เจอวิกฤติโควิด-19 เลย ตั้งรับกับสถานการณ์อย่างไร
ถือเป็นวิกฤติใหญ่ที่สุดก็ว่าได้ เป็นเหมือนสงครามโลกครั้งที่ 3 คือไม่ได้กระทบแค่ประเทศไทย แต่กระทบทั้งโลก สมัยก่อนไม่ว่าจะสถานการณ์อะไร ถ้าตลาดไทยหยุดซื้อ ยังมีตลาดต่างชาติเข้ามาช่วยเสริมได้ แต่วิกฤติโควิด-19 ในครั้งนี้ เหมือนหยุดทั้งโลก บางโปรเจกต์ลูกค้าต่างชาติไม่สามารถบินมาโอนได้ ทำให้กระทบแคชโฟลว์ (กระแสเงินสด) หรือบางโครงการปิดโครงการไปแล้ว ก็ต้องรับสต๊อกกลับมาขายใหม่ จึงต้องจัดกระบวนท่าใหม่หมดเลย โชคดีที่ทีมบริหารของเรามีวิสัยทัศน์ทั้งทีม จึงเป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆที่ปรับตัวได้เร็ว ตั้งแต่ช่วง มี.ค.-เม.ย.63 เริ่มมีการออกมาทำแคมเปญให้ลูกค้าจับจ่ายใช้สอย ทำให้สามารถเคลียร์สต๊อกไปได้เยอะ ตอนนั้นขายไปได้ 1,000 กว่าล้านบาท พยายามรวบรวมเงินสดให้ได้มากที่สุด เพราะในยามวิกฤติไม่มีอะไรสำคัญกว่าแคช พอเคลียร์สต๊อกไปได้ ทำให้บริษัทไม่เกิดปัญหาเรื่องขาดสภาพคล่องของกระแสเงินสด
ต้องพลิกเกมสู้อย่างไร จึงจะเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสได้ทันท่วงที
ผมเชื่อเสมอว่าทุกวิกฤติย่อมมีโอกาส สมัยก่อน “ไรมอน แลนด์” ค่อนข้างเน้นตลาดต่างชาติพอสมควร แต่เมื่อเกิดวิกฤติโควิด-19 ทำให้เราหันมาบุกตลาดไทยจริงจังมากขึ้น และได้ค้นพบว่าตลาดไทยยังมีศักยภาพอีกมาก บทเรียนแรกที่ได้เรียนรู้คือ เศรษฐีไทยไม่มีวันหมดไปจริงๆ ถึงจะเกิดวิกฤติ แต่ทุกวันนี้เรายังขายได้ทุกวัน บทเรียนที่สองคือ ยังมีเซ็กเตอร์ใหม่ๆที่เราไม่เคยเข้าถึงมาก่อน นั่นคือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จเร็วตั้งแต่อายุ 20 ปลายๆ พวกเขาชอบอะไรที่ทันสมัย และมีความยูนิกไม่เหมือนคนอื่น ซึ่งเรากำลังจะขยายตลาดตรงนี้ โดยรีแบรนดิ้ง “ไรมอน แลนด์” ใหม่หมด
ตั้งแต่โลโก้, แบรนด์, ดีเอ็นเอ และ Core Value
...
ภายใต้การนำทัพของซีอีโอคนใหม่ “ไรมอน แลนด์” จะเปลี่ยนโฉมหน้าไปขนาดไหน
ก่อนจะมาถึงวันนี้ เราทำรีเสิร์ชอย่างจริงจัง เพื่อค้นหาคำตอบว่า ถ้านึกถึง “ไรมอน แลนด์” คุณรู้สึกถึงอะไร คนส่วนใหญ่จะตอบว่า ความหรูหราและความเป็นผู้ใหญ่ แต่จับต้องไม่ได้ เมื่อคิดจะรีแบรนดิ้งจึงอยากปรับภาพลักษณ์ใหม่ให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และมีความทันสมัยมากขึ้น หน้าที่ของผมคือ จะต้องทำให้ดีเอ็นเอของ “ไรมอน แลนด์” ชัดเจนขึ้นว่าเราทำอะไร ปีนี้จึงเป็นปีของการปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ โดยตั้งแต่ต้นปีเราประกาศรีแบรนดิ้ง พร้อมปรับโลโก้บริษัท เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เข้าถึงง่ายขึ้น, มีความทันสมัย และเปี่ยมด้วยสไตล์มากยิ่งขึ้น ภายใต้สโลแกน “Raimon Land-Luxury Reimagined” คือแนวคิดใหม่ของความหรูเหนือระดับ โดยจะมุ่งขยายกลุ่มเป้าหมายให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ และทุกเจเนอเรชันที่มีกำลังซื้อของตลาดระดับบน เราปรับพอร์ตโฟลิโอใหม่หมด หันมาเน้นเฉพาะลักชัวรีมาร์เกตจริงๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถนัดมานาน “ไรมอน แลนด์” อยู่ในตลาดเมืองไทย 33 ปี บริษัทนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาก และถ้าพูดถึงตลาดซุปเปอร์ลักชัวรี คอนโดราคาเกิน 10 ล้านบาท เราเป็นอันดับหนึ่งมาตลอด ปัจจุบันก็ยังครองแชมป์อันดับหนึ่ง มีมาร์เกตแชร์สูงสุด 12% ถ้าเราถนัดอะไร เราก็อยากจะอยู่กับสิ่งนั้นครับ
...
อะไรคือ Core Value ที่แท้จริงของ “ไรมอน แลนด์”
มี 3 เรื่องครับ คือ “Client Centric” นึกถึงลูกค้าเป็นหลัก ต้องพัฒนาบริการหลังการขายให้ดีขึ้น เพราะเรามีแฟนพันธุ์แท้อยู่แล้ว ไม่ใช่ซื้อกันไปแล้วก็จบ, “Creative” ต้องตอบโจทย์การใช้ชีวิตปัจจุบัน เพราะการใช้ชีวิตในคอนโดเปลี่ยนไปมาก ยิ่งมีโควิดทุกอย่างก็เปลี่ยนไป คนต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น, ต้องการใช้สเปซใหญ่ขึ้น และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น สุดท้ายคือเรื่อง “Value” เราอยากให้ทุกตึกที่คนซื้อไปแล้วมีมูลค่าในตัวเอง ซื้อแล้วเกิดความภาคภูมิใจ ไม่ใช่ในแง่ความรู้สึก แต่เป็นความภูมิใจที่จับต้องได้ พิสูจน์จากโครงการที่เป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของ “ไรมอน แลนด์” และประสบความสำเร็จที่สุดคือ “โครงการ 185 ราชดำริ” ซึ่งเปิดตัวเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ตร.ม.ละ 180,000 บาท แพงที่สุดในประเทศไทย ล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว ราคาอยู่ที่ ตร.ม.ละ 380,000 บาท คือแวลูมันไม่ลง และมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่าโครงการของเรามีคุณภาพจริงๆ คนที่ซื้อเปรียบเสมือนสะสมสมบัติที่ตกทอดไปถึงเจเนอเรชันต่อไปได้
...
โครงการในอนาคตมีอะไรมาเซอร์ไพรส์ตลาดบ้าง
ตอนนี้ทำอยู่ 3 โปรเจกต์ อันแรกเป็นโครงการที่พวกเราภูมิใจมากๆ คือเป็นครั้งแรกที่บริษัททำอาคารสำนักงาน ชื่อโครงการว่า “OCC” (One City Centre) ซึ่งเป็นซุปเปอร์เกรดเอให้เช่า สูง 61 ชั้น พื้นที่กว่า 6 ไร่ บนทำเลศักยภาพ
ใจกลางเมืองบนถนนเพลินจิต จะเสร็จไตรมาส 4 ปีหน้า มูลค่าโครงการ 8,800 ล้านบาท โดยจะนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้เพื่อรับกับยุคนิวนอร์มอล ส่วนอีก 2 โครงการเป็นคอนโดที่อยู่อาศัย คือ “TAIT12” ตั้งอยู่ซอยสาทร 12 ใกล้ BTS มีพื้นที่ส่วนกลางลอยฟ้า 6 ชั้น กว่า 2,000 ตร.ม. เป็นสไตล์โมเดิร์นตอบโจทย์วัยรุ่น ตึกออกแบบสวยงาม ตอนนี้ขายไปแล้ว 75% และโครงการ “The Estelle Phrom Phong สุขุมวิท 26” เป็นระดับซุปเปอร์ ไฮเอนด์ ลักชัวรี ถ้าสถานการณ์โควิดดีขึ้น และทุกอย่างเป็นไปตามแผน ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ น่าจะเห็นเพิ่มอีก 3 โครงการ เป็นที่พักอาศัยทั้งหมด เชื่อว่าจะเป็นมิติใหม่ของวงการอสังหาฯเมืองไทยอีกธุรกิจที่อยู่ระหว่างศึกษาคือธุรกิจโรงแรม ซึ่งผมเชื่อว่าเมืองไทยเป็นเมืองท่องเที่ยว สุดท้ายวันหนึ่งมันต้องกลับมา ตอนนี้มีคุยๆอยู่น่าจะได้เห็นโรงแรมในพอร์ตโฟลิโอของ “ไรมอน แลนด์” ไม่เกินปลายปีหน้า
อะไรเป็นแรงผลักดันให้หลงเสน่ห์ธุรกิจอสังหาฯ ทั้งๆที่เติบโตมาจากวงการบันเทิง
อันนี้มาจากคำสอนของคุณแม่ครับ ท่านบอกเสมอว่า ถ้าเวลามีเงินแล้วอยากจะซื้ออะไร ให้ซื้อ 2 สิ่ง คือ ที่ดิน กับเพชร เพราะหมดแล้วหมดเลย อย่างที่ดินกลางใจเมืองเป็นอะไรที่มูลค่าไม่มีวันตก เห็นชัดจากช่วงโควิด ที่ดินกลางใจเมืองราคาไม่ลงเลย นอกจากจะได้ที่อยู่อาศัยแล้ว มันเป็นการลงทุนจริงๆ ผมชอบธุรกิจนี้ตรงที่มูลค่าของอสังหาฯมีแต่จะเพิ่ม มันไม่เหมือนซื้อรถซื้อนาฬิกา อีกอย่างที่ผมชอบคือ พอเป็นโปรเจกต์มันไม่มีความซ้ำซาก เมื่อเราขึ้นโครงการใหม่ ก็จะเป็นคอนเซปต์ใหม่ ดีไซน์ใหม่ ในแง่การทำงานทำให้รู้สึกว่ามีความแปลกใหม่ท้าทายตลอดเวลา ส่วนตัวเป็นคนชอบเรื่องดีไซน์เรื่องอินทีเรียการตกแต่งบ้าน การได้ทำธุรกิจอสังหาฯจึงตอบโจทย์ที่สุด ทำให้เราได้เอนจอยไปด้วย สิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้จึงเป็นเหมือนฮอบบี้มากกว่าเป็นงาน และเมื่อเรารู้สึกแบบนั้น ก็ทำให้ทุกสิ่งที่ทำมันออกมาได้ดี เพราะเรารักและอินกับมันจริงๆ
“ทุกอย่างที่ทำอันดับแรกเราต้องรักก่อน ผมเชื่อว่าถ้าเรารักแล้ว เราจะทำด้วยใจ พอเราทำด้วยใจ โอกาสของความสำเร็จมันจะเกินครึ่งอยู่แล้ว เพราะก่อนจะนอนเราจะคิดถึงมัน ตื่นมาก็คิดถึงมัน เวลาเราอินเราก็จะไม่ค่อยหลุดเรื่องดีเทลเล็กๆน้อยๆ”.
ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ