"ดนตรีนมเย็น เนื้อหาเอสเปรสโซ่, ขนมหวานอาบยาพิษ หรือ ดนตรีก็ใส แต่ทำไมน้ำตาไหล"

หลากคำนิยามที่หลายคนได้ให้ไว้กับ Whal & Dolph (ปอ-กฤษสรัญ จ้องสุวรรณ นักร้องนำ และ น้ำวน-วนนท์ กุลวรรธไพสิฐ มือกีต้าร์) ล้วนบ่งบอกสไตล์ความเป็นตัวตนของสองหนุ่มได้เป็นอย่างดี ด้วยท่วงทำนองดนตรีที่มีความละมุนชวนเคลิบเคลิ้ม แต่พอได้ฟังแล้วเนื้อหากลับมีความลึกซึ้งบาดลึกลงกลางใจ นอกจากพรสรรค์ทางด้านดนตรีแล้วพวกเขาจะมีอะไรที่น่าสนใจอีกบ้าง เรามาดำดิ่งไปกับเรื่องราวของสองปลาอย่างโลมาและวาฬไปพร้อมกันค่ะ

จุดเริ่มต้น Whal & Dolph

ปอ : มันเริ่มต้นมาจากที่เราทำงานใน Production house แล้วรู้สึกเบื่อ เลยคุยกับน้ำวนว่ามาลองทำเพลงด้วยกัน และให้พวกเรายังรู้สึกว่าเรามีความเป็นนักดนตรีกันอยู่นะ คิดว่าคงทำสักเพลงเดียว แต่พอได้ทำจริงๆ คือมันสนุกมาก จนอยากทำต่อเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ก็ทำมา 4 ปีแล้วครับ 10 ธันวานี้ครบรอบ 4 ปีพอดีเลย

...

ทำไมต้องเป็นวาฬและโลมา

น้ำวน : ช่วงนั้นค่อนข้างผูกพันกับทะเลนิดนึงครับ ผมไปเที่ยวบ้านปอที่ชลบุรีบ่อย (หัวเราะ) และอยากได้อะไรที่มันเป็นคาแรกเตอร์ของเราสองคนด้วย มันเลยมาลงตัวที่วาฬและโลมา ผมว่ามันเป็นอะไรที่บ่งบอกความเป็นพวกเราได้ดี

ปอ : (พูดเสริม) ด้วยความที่ช่วงแรกเพลงมันเป็นแบบอะคูสติกด้วย ก็เลยอยากได้ชื่อวงที่มันเกี่ยวข้องกับทะเลหน่อยครับ

นิยามของคำว่า "ดนตรีนมเย็น เนื้อหาเอสเปรสโซ่"

เพลงส่วนใหญ่ของ Whal & Dolph หากฟังเพียงแค่ดนตรีคงให้ความรู้สึกน่ารักหวานชื่น โลกนี้ช่างสดใสซะเหลือเกิน แต่พอตั้งใจฟังเนื้อหาจริงๆ แล้วหลายคนถึงกลับเสียน้ำตาอย่างไม่รู้ตัว ราวกับว่าพวกเขาได้ถ่ายทอดความรู้สึกและค่อยๆ พาเราให้มีอารมณ์ร่วมไปกับมันได้อย่างง่ายดาย จึงไม่แปลกใจเลยที่วงนี้จะได้รับคำนิยามถึงความ Contrast ระหว่างเนื้อเพลงและทำนองอยู่บ่อยครั้ง

น้ำวน : จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะแต่งเพลงเศร้านะ มันเป็นแค่มุมมองเวลาเจอเรื่องราวมาและมีความคิดเห็นกับมันอย่างไรเลยเล่าออกมาแค่นั้นเอง พวกเราไม่ได้ตั้งใจให้มัน Contrast กันขนาดนั้น เวลาทำเพลงจะมองภาพรวมก่อนว่าอยากให้ดนตรีมันไปในทิศทางไหน ไม่ได้คิดว่าเพลงนี้เป็นเพลงเศร้าแล้วต้องทำดนตรีออกมาให้มันเศร้า เพียงแค่ทำดนตรีให้มันเป็นสไตล์ของ Whal & Dolph เท่านั้นมันก็เลยออกมาในแบบที่ทุกคนเห็น

ปอ : เราว่าพอมันเล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับคน มันทำให้มองเห็นอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้นอย่างเพลงฝากไว้กับดาว เรื่องราวมันคือคนสองคนเจอกัน ชอบกันแต่พูดไม่ได้ เพราะอีกคนเขามีเจ้าของแล้วจะะทำยังไง ก็เลยต้องเอาเรื่องแบบนี้ไปฝากไว้ที่ไกลๆ อย่างดวงดาว หรือ เพลงไม่รู้ทำไม เราก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นเพลงเศร้านะ แค่รู้สึกว่าเวลาที่คนๆ หนึ่งหมดใจมันเป็นเพราะอะไร แล้วก็คิดขึ้นได้ว่าเหตุผลมันก็คือการไม่มีเหตุผลนั่นเอง แม้ว่าอยากจะลองให้ความสัมพันธ์ไปเป็นแบบเดิม อยากจะทำมันให้ดีที่สุด แต่สุดท้ายมันไม่ได้ แต่ถ้าถามว่าเพราะอะไร มันไม่มีเหตุผล มันคือความรู้สึก

ความจริงแล้วเพลงมันเหมือนเรื่องราวหนึ่ง แต่ที่มันเศร้าเพราะคนไปตีความใส่ความรู้สึกตัวเองลงไปด้วย มันเลยทำให้เพลงยิ่งเศร้า

บทเรียนที่ได้จากบทเพลง

น้ำวน : ผมคิดว่าเพลงแต่ละเพลงที่สื่อออกไปเป็นครูให้ผม คือทุกครั้งที่ทำเพลงหนึ่งเสร็จจะรู้สึกเก่งขึ้น ถ้าสังเกตจะเห็นว่าพวกเราทำเพลงแทบจะไม่ซ้ำกันเลยครับ จะไม่มีความรู้สึกว่าฟังเพลงนี้แล้วคิดถึงเพลงเก่าเพลงนั้น เพราะทุกครั้งที่ทำเพลงเสร็จเราจะปล่อยมัน ฉีกมันทิ้ง และเริ่มต้นใหม่ ผมคิดว่าอันนี้มันเป็นการท้าทายตัวเองอีกอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ

...

ปอ : สำหรับผมนะเวลาทำเพลงออกมา เวลาคนเอาไปฟัง เค้าจะตีความมันยิ่งใหญ่มากกว่าที่ผมคิด อย่างเพลงฉันยังเก็บไว้ เป็นเพลงที่ผมเขียนจากตอนดูหนังเรื่อง The notebook แล้วมีฉากที่คู่รักห่างกันไปนานมาก แต่ทุกอย่างมันยังคงถูกเก็บไว้ เลยแต่งเพลงขึ้นมา แต่ปรากฏว่ามีวันหนึ่งน้องๆ แฟนคลับ เขาเอาไปร้องในวันเรียนจบ ผมเลยมาอ่านเนื้อเพลงดูอีกที เออ..มันก็ไปในทางนั้นได้เหมือนกันนะ แบบเราไม่รู้ว่าเพลงมันยิ่งใหญ่ และมันไปได้ไกลกว่าที่เราคิดมากครับ


ยอดวิวไม่ใช่สิ่งที่คาดหวังเสมอไป

ปอ : บางเพลงเราคาดหวังให้มันไปช่วยเหลือผู้คน บางเพลงคาดหวังให้แฟนเพลงเขามาร้องเพลงนี้ด้วยกัน เราไม่ได้หวังว่าทุกเพลงที่ปล่อยจะมียอดวิวที่พุ่งกระจาย เพียงแค่รู้ว่าแต่ละเพลงมันทำหน้าที่อะไรแค่นั้นครับ อย่างเพลงล่าสุดผ่านมาผ่านไป เราได้เห็นคนส่งข้อความประมาณว่า "ขอบคุณนะที่แต่งเพลงนี้ขึ้นมา มันช่วยเขาได้ ทำให้รู้สึกดีขึ้นมากเลยนะ" เรารู้สึกว่ามันสำเร็จละ เพราะมันทำช่วยให้เขาผ่านเรื่องร้ายๆ ไปได้ เหมือนเราได้ปลอบใจเขาได้แค่นี้ก็พอแล้วครับ

...

ผ่านมาผ่านไป... เพลงที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจ

ในวันที่รู้สึกหมองหม่นท้องฟ้าดูไม่สดใส ลองให้เพลง "ผ่านมาผ่านไป" เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยฮีลหัวใจ ให้เพลงนี้เป็นเสมือนเพลงที่คอยกอด ประโลมจิตใจ ในช่วงเวลาแย่ๆ  "ที่แล้วมาให้ผ่านไปสักที, เจ็บเพื่อเรียนรู้จดจำเอาไว้ ปลอบโยนหัวใจของเธอ" 

ปอ : ในใจคืออยากเขียนเพลงให้กำลังใจคน เพราะรู้สึกว่าเราได้รับสิ่งดีๆ จากคนรอบข้างมาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นความสุข น้ำใจ รับทุกอย่างมาเยอะมาก แล้วทีนี้มันเลยอยากตอบแทนอะไรบ้าง สำหรับเราคิดว่าการให้กำลังใจมันน่าจะดีที่สุด ก็เลยแต่งเพลงนี้เพื่อมอบกำลังใจให้แฟนคลับเรา เพราะพวกเขามักมาพูดคุยเรื่องที่ไม่โอเค มีเรื่องแย่ๆ เรื่องอกหักก็มาปรึกษาเหมือนกัน เราคิดว่าควรเขียนเพลงที่ให้กำลังใจคน แทนคำพูดปลอบเขา ถ้าพูดเฉยๆ เดี๋ยวสักพักเขาก็ลืม แต่ถ้าเป็นเพลงเนี่ยมันอยู่ได้ตลอดไป เลยเป็นที่มาของเพลงผ่านมาผ่านไป

 

...

เปรียบเทียบตัวเองเป็นอะไรในเพลง

ปอ : เป็นยาครับ อยากให้คนฟังเพลงได้รับยาที่ดี ที่สามารถช่วยเขาได้
น้ำวน : ผมชอบคอมเมนต์หนึ่งมาก เขาบอกว่าเนื้อเพลงช่วยปลอบเขา แต่ว่าดนตรีช่วยโอบกอดเขา ผมเลยขอเป็นผ้าห่มละกัน

ฝากอะไรกับคนที่ไม่สมหวังในความรัก

ปอ : ผมเคยฟังจากใครสักคน เขาบอกว่าบางทีที่เราท้อแท้หรือผิดหวังอะ มันเหมือนเรามองไม่เห็นภูเขาลูกใหญ่ๆ เพราะว่าเส้นผมเส้นเดียวบังไว้อยู่ เรามองไม่เห็นสิ่งที่มันสวยงามที่มันอยู่ข้างหลังนั้น คุณแค่รอเวลาที่จะเดินผ่านตรงนั้นไป บางคนข้ามไม่ได้ บางคนติดอยู่กับตรงนั้น บางคนอาจจะล้มลง แต่จริงๆ แล้วถ้าคุณข้ามเส้นผมที่มันบังตา คุณอาจจะได้เจอสิ่งที่รอคุณอยู่เต็มเลย ก็ขอให้อดทนไว้ รอเวลาที่จะข้ามผ่านแล้วไปพบกับตรงนั้น (ยิ้ม)

แฟนคลับคือสิ่งพิเศษ

จากวงดนตรีที่มีเพลงแฟนเพียงกลุ่มเล็กๆ เริ่มต้นการทำเพลงจากความคิดที่อยากให้เสียงเพลงช่วยปลอบประโลมจิตใจในวันนั้น ได้แทรกซึมสะท้อนตัวตนออกมาทีละเล็กทีละน้อย จนกลายมาเป็น Whal & Dolph ในปัจจุบัน ตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่คอยล่อเลี้ยง ให้กำลังใจสองหนุ่มได้เป็นอย่างดีคือ "แฟนปลา" กลุ่มแฟนคลับที่คอยสนับสนุนทุกการเติบโตของพวกเขา ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้

น้ำวน : ผมจะให้เกียรติเขา เหมือนที่เขาให้เกียรติผม ทุกคนจะรู้ว่าถ้ามาคุยกับพวกเราจะคุยได้ง่ายมาก บางทีเราก็ชวนไปกินขนม ไปทำนู่นทำนี่ด้วยซ้ำ ผมไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะอยู่ห่างกับเขาขนาดนั้น เหมือนเป็นเพื่อนที่คอยให้กำลังใจกัน ผมว่าผมรักแฟนคลับพวกผมนะ แบบเขาเป็นใครก็ไม่รู้ แต่คอยมาให้กำลังใจเรา มันก็เป็นเรื่องที่พิเศษมากๆ แล้วครับ

ปอ : ผมรู้สึกว่าแฟนคลับที่ตามเรามานานๆ แล้วตอนนี้ยังอยู่ด้วยกัน ผมรู้สึกพวกเขาเจ๋งวะ มันจะมีช่วงแรกๆ ที่วงไม่ดังเขาก็เริ่มตาม พอช่วงวงเริ่มดังประมาณหนึ่งเขาก็ยังอยู่ พอถึงขาลงของวงเขาก็ยังอยู่ มันเหมือนเขาอยู่ทุกช่วงเวลา ซึ่งคนที่อยู่กับเราทั้งในช่วงขาขึ้นและขาลง ผมรู้สึกพวกเขาสุดยอดมากนะ ผมจะไม่ลืมเขานะ ผมขอบคุณมากที่ยังมีเขาอยู่ ขอบคุณมากนะ

มองภาพ Whal & Dolph ในอนาคตไว้ว่า

ปอ : คนเราต้องมีการเปลี่ยนแปลงครับ ไม่รู้ว่าตอนนั้นจะเล่าเรื่องอะไร ทำดนตรีแนวไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ยังอยู่คือ ทัศนคติ บุคลิก วิญญาณ Whal & Dolph มันก็จะอยู่แบบนี้แหละ เรากลับไปดูงานแรกก็รู้สึกว่ามันมาไกลเยอะเหมือนกัน วงมันก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัยแหละครับ ซึ่งเราคิดว่ามันถูกต้องแล้วนะ ถ้าไม่เปลี่ยนไปเลย ก็เหมือนโกหกตัวเอง แต่สิ่งที่จะไม่เปลี่ยนไปคือ เราจะทำเพลงที่เป็นแบบนี้ ทำเพลงแบบที่เล่าเรื่องตรงๆ จะไม่มีแต่งเรื่องขึ้นมา เพื่อสร้างกระแสทำให้ Whal & Dolph มันดัง เราจะไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอน

น้ำวน : ในอีก 10 ปี 15 ปี ข้างหน้า ผมก็หวังให้วงมันค่อยๆ โตขึ้น จนถึงวันนั้นผมว่าคงเก่งมากๆ เลย มันคงจะดีถ้าผมไปในทางที่ถูกต้องครับ

ทิ้งท้ายด้วยผลงาน

ปอ : เดือนพฤศจิกายนนี้พวกเราจะปล่อยอัลบั้มออกมาครับ มีทั้งหมด 9 เพลง จะมีเพลงที่แฟนๆ คิดถึง มีเพลงที่ฟังแล้วได้รับความสุขอย่างมาก และแน่นอนว่ามีเพลงที่ฟังแล้วเศร้ามากๆ เลยครับ สุดท้ายภายใต้การเซอร์ไพรส์คือการที่พวกเราจะไม่สปอยล์ครับ

"หากอยากรู้จักใครสักคน ให้ลองไปฟังเพลงของเขา" นี่คือคำพูดทิ้งท้ายของคุณปอที่ฝากไว้กับเรา และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของสองหนุ่ม Whal & Dolph แต่หากใครอยากเรียนรู้และรู้จักเขาให้มากขึ้นกว่าเดิม คงต้องลองไปหาเพลงของเขาฟังแล้วละค่ะ

Photographer : ENGSFOTo