วิกฤติไวรัสโควิด–19 ทำเอาธุรกิจเจ๊งกันระนาวไปทั้งโลก ไหนคนจะตกงานอีกเป็นเบือ ใครจะเจ๊งก็เจ๊งไป แต่ท่ามกลางสงครามโรคระบาด มหาเศรษฐีไฮเทคเหล่านี้กลับเป็นผู้ชนะ ที่สามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสรวยสวนกระแสได้อย่างน่าทึ่ง
มือขึ้นดวงเฮงกว่าใครเพื่อนก็เห็นจะเป็น พ่อเทพบุตร “เจฟฟ์ เบซอส” เจ้าพ่อ Amazon เว็บไซต์ค้าปลีกออนไลน์ใหญ่ที่สุดในปฐพี เพราะยิ่งปิดเมืองล็อกดาวน์กันนานเท่าไหร่ คนก็ยิ่งใช้บริการช็อปปิ้งออนไลน์มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเครียดยิ่งต้องช็อป ยิ่งช็อปก็ยิ่งเครียด ในขณะที่ธุรกิจอื่นๆแทบล้มทั้งยืนเพราะเจอวิกฤติโรคระบาด แต่อะเมซอนกลับขายดิบขายดีบริการลูกค้าไม่ทัน จนต้องจ้างพนักงานพาร์ตไทม์เพิ่มเป็นแสนคน แถมหุ้นอะเมซอนยังพุ่งกระฉูดทำนิวไฮเป็นประวัติการณ์ โดยไตรมาสแรกปีนี้มีรายได้เพิ่มขึ้น 26% ทำยอดขายสวนกระแส 75,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้พี่เจฟฟ์รวยซ้ำรวยซ้อนขึ้นไปอีก และสามารถรักษาแชมป์มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกไว้ได้ติดกัน 3 ปีซ้อน โดยมีทรัพย์สินในมือ 148,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถึงจะแบ่งค่าหย่าให้เมียเก่าไปหลายหมื่นล้าน แต่ก็ไม่สะดุ้งสะเทือน
...
ส่วนมหาเศรษฐีหน้าใหม่ที่กลายเป็น “ยูนิคอร์น” แจ้งเกิดเต็มๆในยุคโควิด-19 ไม่มีใครโดดเด่นเกิน “เอริก หยวน” ซีอีโอผู้ก่อตั้ง Zoom Video Communications แอปพลิเคชันมาแรงที่สุดในยามต้องเวิร์กฟรอมโฮม พึ่งการประชุมทางไกลและทำงานออนไลน์ เขามี “บิล เกตส์” เป็นไอดอล จึงเดินทางจากบ้านเกิดในจีน มาตามหาความฝันที่ซิลิคอน วัลเลย์ ขณะอายุ 27 ปี แต่ด้วยความที่พูดอังกฤษแทบไม่ได้ ทำให้ถูกปฏิเสธวีซ่าถึง 8 ครั้ง กว่าจะได้ไฟเขียวเข้าอเมริกา “หยวน” เคยทำงานกับ “ซิสโก้ ซิสเต็ม” เขาเสนอไอเดียทำแอป Zoom แบบเดียวกันเปี๊ยบ แต่ผู้บริหารไม่สนับสนุน “หยวน” เลยลาออกมาปลุกปั้นธุรกิจเอง ใช้เวลา 9 ปี จึงประสบความสำเร็จ สามารถนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น และเปลี่ยนสถานะตัวเองจากสตาร์ตอัพ กลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านตั้งแต่ปี 2019 ยิ่งเกิดวิกฤติโควิด-19 ยิ่งสร้างความมั่งคั่งให้เขาอีกหลายเท่าตัว ภายในเวลา 3 เดือนที่เกิดโรคระบาด ยอดผู้ใช้ Zoom ทะยานขึ้นจาก 10 ล้านคน เป็น 300 ล้านคน สร้างรายได้เพิ่มเกือบ 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะโควิดนี่เองทำให้มูลค่าทรัพย์สินของเขาพุ่งขึ้น 112% เป็น 7,570 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ติดทำเนียบมหาเศรษฐีโลกของบลูมเบิร์ก โดยรั้งอันดับที่ 192
มาแรงน่าจับตามองในยุคโควิดยังรวมถึง “จางอี้หมิง” ผู้ให้กำเนิดวิดีโอโซเชียลดุ๊กดิ๊ก “TikTok” ที่โด่งดังพักใหญ่ในหมู่วัยรุ่นจีน แต่เพิ่งมาฮิตฮอตไปทั่วโลกช่วงล็อกดาวน์ จนขึ้นชาร์ตแอปพลิเคชันที่มีคนดาวน์โหลดมากที่สุดในโลก (ยังไม่รวมจีน) ทำลายสถิติเกือบ 2,000 ล้านครั้ง เฉพาะเดือนกุมภาพันธ์ยอดโหลดแอปทั่วโลกสูงสุดถึง 113 ล้านครั้ง ขณะที่รายได้ในไตรมาสสี่ของปีที่แล้ว ทะยานขึ้น 310% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า โดยรายได้หลักมาจากโฆษณา เห็นกำไรพุ่งพรวดขนาดนี้แล้ว ใครๆก็คงอยากจะเต้นติ๊กต๊อกหาค่าขนมบ้าง
นอกจากจะทำงานที่บ้าน แปลงร่างเป็นเชฟและแดนเซอร์แล้ว คนจำนวนมากยังฆ่าเวลาช่วงวิกฤติ ด้วยการเปิด Netflix ดูหนังดูซีรีส์วนๆไป อานิสงส์จากโควิด-19 จึงตกที่ผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งเจ้าใหญ่ของโลกเต็มๆ ก่อตั้งโดย “รีด แฮสติงส์” และ “มาร์ก แรนดอล์ฟ” โดยปัจจุบันยอดสมาชิกที่จ่ายค่าบริการทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 182.8 ล้านคน เฉพาะในอเมริกามีสมาชิกอยู่ 69.9 ล้านคน งบไตรมาสแรกปีนี้สวยงามตามคาดซะด้วย เฉพาะ 3 เดือนแรกมีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามา 15.7 ล้านคน โกยรายได้เข้ากระเป๋ากว่า 5,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กระนั้น ปัญหาใหญ่ของ Netflix ตอนนี้ คือไม่สามารถผลิตคอนเทนต์ใหม่ๆมาป้อนผู้บริโภคทัน เพราะหากผู้บริโภคเบื่อเนื้อหาเดิมๆในคลังซะก่อน ก็อาจหนีไปหาความบันเทิงอย่างอื่น และไม่หวนกลับมาอีก เงินทุนมหาศาลที่ทุ่มลงไปในการสร้างออริจินัลซีรีส์ของตัวเองก็อาจสูญเปล่า
...
เพราะต้องเว้นระยะห่างทางสังคม การใช้ Facebook, Instagram และ WhatsApp จึงเป็นหนึ่งในช่องทางหลักไม่กี่ทางที่สามารถติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก มหาเศรษฐีไฮเทคที่ได้ประโยชน์จากวิกฤติจึงหนีไม่พ้น “มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก” บิลเลียนแนร์อันดับ 7 ของโลก ผู้ก่อตั้ง Facebook โซเชียลเน็ตเวิร์กยอดฮิตอันดับหนึ่ง ที่มีผู้ใช้บริการอยู่ในปัจจุบัน 1,690 ล้านคน ทั้งนี้ รายได้ของเฟซบุ๊กในไตรมาสแรกปีนี้ พุ่งขึ้น 18% ทำเงินทำทองได้มากกว่า 17,740 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และน่าจะทะยานต่อเนื่องถ้าทั่วโลกยังไม่ปลดล็อกดาวน์ ล่าสุด ซีอีโอหนุ่มไฟแรงออกมาเตือนว่าไม่ควรปลดล็อกเมืองเร็วเกินไป เพราะกลัวคุมการระบาดซ้ำของโควิด-19 ไม่อยู่ ทั้งๆที่เจตนาดีแต่กลับถูกจับผิดว่า อยากปิดเมืองต่อนานๆเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ ระยะหลังมานี้แม้แต่พัดลมยังส่ายหน้าใส่พี่มาร์คเลย พูดอะไรก็ถูกแขวะไปหมด
...
ต้องหัดเรียนรู้งานเรื่องการสร้างภาพและอยู่เป็นจาก “แจ็ค หม่า” มหาเศรษฐีหมายเลขหนึ่งของจีน ผู้ก่อตั้งอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ “Alibaba” เพราะแม้ทุกคนจะรู้ทั้งรู้ว่า วิกฤติโควิด-19 ทำให้อาลีบาบาค้าขายกอบโกยกำไรมหาศาลขนาดไหน แต่ก็ไม่มีใครขยี้ซ้ำ มีแต่จะชื่นชมในน้ำใจ เพราะเฮียรู้จักใช้โอกาสนี้ในการสร้างมิตรกับนานาประเทศ โดยเป็นมหาเศรษฐีโลกคนแรกๆที่ออกมาบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์ และหน้ากากอนามัยให้แก่ประเทศต่างๆทั่วทุกมุมโลก ที่เดือดร้อนจากโรคระบาด ขนาดรัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียยังเอ่ยปากชมว่า หม่าคือเพื่อนแท้ยามยาก เพราะบริจาคหน้ากากอนามัยให้รัสเซียถึง 1 ล้านชิ้น แถมด้วยอุปกรณ์ตรวจสอบเชื้อไวรัสโควิด-19 อีก 200,000 ชุด เขายืนกรานว่าทำดีไม่ได้หวังเอาหน้า แต่อยากกอบกู้ชื่อเสียงของประเทศจีนกลับคืนมา โดยมูลนิธิอาลีบาบาและมูลนิธิแจ็คหม่ายังให้เงินสนับสนุนการวิจัยพัฒนาเพื่อคิดค้นวัคซีนและยารักษาไวรัสโควิด-19 ในจีนและอีกหลายประเทศ
อีกหนึ่งมหาเศรษฐีแซ่หม่าที่รวยทะลุพอร์ตเพราะพิษโควิด-19 ก็คือ “หม่า ฮัวเถิง” หรือรู้จักกันในนาม “โพนี่ หม่า” ผู้ก่อตั้งกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ด้านอินเตอร์เน็ตของจีน “เทนเซนต์ โฮลดิ้งส์” เจ้าของแอปพลิเคชันสนทนายอดฮิตผูกขาดในจีน “WeChat” ซึ่งมีผู้ใช้บริการกว่า 1,160 ล้านคน แม้เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงเพราะผลกระทบจากไวรัสระบาด แต่กำไรของเทนเซนต์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน กลับเพิ่มขึ้น 25% และมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น (งบไตรมาสแรกปีนี้ยังไม่ออก) เพราะผู้บริโภคหันมาใช้สื่อบันเทิงออนไลน์คึกคักขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็น เกม หรือวิดีโอ ขณะที่รายได้จากค่าบริการคลาวด์ก็มีมากกว่า 2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากจำนวนผู้ใช้ 1 ล้านคน
...
ย้ำอีกครั้งว่าทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ ย้อนกลับไปปีก่อน เมื่อมีการระบาดหนักของโรคอหิวาต์หมูในแอฟริกาที่ลุกลามไปถึงประเทศจีน และอีกหลายๆประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ราคาเนื้อหมูพุ่งสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ทำเนียบมหาเศรษฐีโลกก็ได้แจ้งเกิดดาวดวงใหม่นาม “ฉินหยิงหลิน” เขาคือเจ้าพ่อฟาร์มสุกรผู้เพาะพันธุ์หมูรายใหญ่ที่สุดของประเทศจีน วิกฤติจาก
โรคระบาดทำให้อาฉินแห่ง “มู่หยวน ฟู้ดส์” กลายเป็นมหาเศรษฐีที่รวยเร็วติดจรวดที่สุดในโลกจากการประเมินของบลูมเบิร์ก เฉพาะปี 2019 มูลค่าทรัพย์สินของเขาเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 4 เท่าตัว เป็น 8,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้แต่วิกฤติไวรัสโควิด-19 ก็ฉุดรั้งเจ้าพ่อฟาร์มหมูไม่อยู่เช่นกัน เพราะเขายังคงรวยทะลุมิติ โดยปัจจุบันมีทรัพย์สินในมือ 19,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ผงาดขึ้นเป็นมหาเศรษฐีรวยที่สุดอันดับ 43 ของโลกไปแล้ว แม้จะไม่ทำธุรกิจไฮเทค.
ทีมข่าวหน้าสตรี