พอได้เห็นคำว่า “สฟิงซ์” แฟนานุแฟนคอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลโดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนอาจจะเริ่มงงว่า เอ๊ะ นี่เล่าตำนานกรีก-โรมัน หรือเล่าตำนานไอยคุปต์กันแน่ ถึงได้มีสฟิงซ์โผล่มาด้วย ก็ต้องบอกว่า ตำนานกรีกนี่แหละค่ะ ที่มีสฟิงซ์ด้วย แต่ลองดูประติมากรรมที่นำมาให้ชมกันก่อนนะคะว่า ไม่เหมือนกับสฟิงซ์ของอียิปต์แต่ประการใด

สฟิงซ์ถือเป็นอสุรกายในปกรณัมกรีก ถ้าดูในภาพจะเห็นอย่างชัดเจนเลยว่า ครึ่งบนมีลักษณะเป็นผู้หญิงสาว มีหน้า มีอก ครบครัน แต่ลำตัวนี่สิคะ ชักไม่ใช่คนเสียแล้ว แต่เป็นสิงโตค่ะ แถมยังมีปีกเหมือนนก เรียกว่าผสมกันมาได้หลายเผ่าพันธุ์เหลือเกิน

ในปกรณัมกรีกนั้น กล่าวถึงสฟิงซ์ว่า โผล่มาแถวชานเมืองธีบส์ โดยมาคอยดักจับตัวคนเดินทางเข้าเมือง และเมื่อจับใครได้ ก็จะตั้งปริศนาถามให้ตอบ โดยบอกว่า ถ้าตอบคำถามของนางได้ ก็จะปล่อยตัวไป แต่ถ้าตอบไม่ได้ก็ตายนะนายจ๋า และโจทย์เลข เอ๊ย ปริศนาของสฟิงซ์นี้ก็ไม่มีใครตอบได้ เลยถูกนางรับประทานเป็นอาหารว่างกันไปหลายคน

ทีนี้ล่ะค่ะ เลยเกิดเป็นข่าวเล่าลือกันทั้งเมือง จนปวงประชาตื่นตระหนก ถึงขั้นต้องปิดประตูเมืองเอาไว้ก่อน และไม่มีใครมาเดินเข้าออกเมืองกันอีก เมืองธีบส์ที่เคยคึกคักเลยเงียบเหงา แถมไม่มีใครมาซื้อขายแลกเปลี่ยนอาหาร ทำให้ชาวเมืองพากันอดอยาก

ประติมากรรมสฟิงซ์ ที่พระราชวังเบลนไฮม์ ประเทศอังกฤษ.
ประติมากรรมสฟิงซ์ ที่พระราชวังเบลนไฮม์ ประเทศอังกฤษ.

...

แล้วพระเอกของเราก็ขี่ม้าขาว...เอ ไม่ใช่สิ คงน่าจะแค่เดินย่างเท้าเข้ามาเฉยๆเสียมากกว่า พระเอกที่ว่านี้ มีนามว่า เอดิปัส (Oedipus) ซึ่งเป็นชายหนุ่มผู้มีสติปัญญาทีเดียว เขาเป็นถึงโอรสของกษัตริย์โพลิบัส (Polybus) แห่งคอรินธ์ (Corinth) แต่ที่ต้องมาเดินตุปัดตุเป๋อยู่ที่ทางเข้าเมืองธีบส์ก็เพราะดันมีโหรมาทำนายว่า เอดิปัสมีดวงปิตุฆาต จะต้องสังหารบิดาของตนเอง มิหนำซ้ำยังจะสมสู่กับมารดาของตนเองอีกตะหาก พอได้ยินอย่างนี้เข้า เอดิปัสก็ตั้งใจจะหักล้างโชคชะตาให้ได้ เลยตัดสินใจทิ้งบ้านเมืองมา โดยตั้งใจว่าชาตินี้จะไม่กลับไปเจอหน้ากษัตริย์โพลิบัสอีกแล้ว คำทำนายจะได้ไม่มีวันเกิดขึ้น

พอออกเร่ร่อนไปแล้วได้ยินข่าวเรื่องสฟิงซ์ เอดิปัสก็คิดว่า ดีล่ะ มาสู้กันสักหน ไหนๆชีวิตตอนนี้ก็ไม่มีค่าอะไรสักเท่าไหร่แล้ว ไปลองดีกับสัตว์ประหลาดสักทีก็ดีเหมือนกัน ว่าแล้วก็เดินอาดๆเข้าไปหาสฟิงซ์ ที่คงแยกเขี้ยวยิ้มรับ เพราะไม่มีใครตกถึงท้องมาหลายวันแล้ว

สฟิงซ์ตะปบเอดิปัสไว้ พร้อมให้เงื่อนไขเหมือนกับที่เคยให้คนอื่น คือ หากตอบปริศนาได้ ก็รอด แต่ถ้าตอบไม่ได้ ก็จงมาเป็นอาหารอันโอชะเสียดีๆ และปริศนาคำถามของสฟิงซ์ก็คือ สัตว์อะไรเอ่ย ที่เดิน 4 ขาในตอนเช้า เดิน 2 ขาในยามกลางวัน และเดิน 3 ขาในตอนเย็น

เอดิปัสสังหารกษัตริย์ไลอัส.
เอดิปัสสังหารกษัตริย์ไลอัส.

ปัดโธ่ ง่ายนิดเดียว ฟังปุ๊บ เอดิปัสก็ตอบปั๊บว่า จะยากอะไร คำตอบก็คือ มนุษย์นี่แหละ ที่พอเกิดมาก็คลาน 4 ขาในวัยทารก ครั้นโตขึ้น ก็เดิน 2 ขา แต่พอชราลง ก็ต้องอาศัยไม้เท้าจนกลายเป็นเดิน 3 ขาไงล่ะ

ได้ฟังอย่างนี้ สฟิงซ์ก็รักษาสัญญาค่ะ ปล่อยพระเอกของเราให้รอดไป แถมปล่อยไม่ปล่อยเปล่า ยังตีอกชกหัว กระโดดทิ้งตัวฆ่าตัวตายซะอย่างนั้น พอชาวเมืองธีบส์รู้ข่าวเข้า ก็ดีอก ดีใจกันยกใหญ่ แถมในตอนนั้น กรุงธีบส์เองก็ว่างเว้นจากกษัตริย์ เพราะกษัตริย์ไลอัส (Laius) ที่พาคนสนิทออกไปนอกเมืองนั้น ถูกโจรป่าสังหารไปเกือบทั้งหมดแล้ว เหลือบริวารเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตกลับมาเล่าให้ราชินี

โจคัสทา (Jocasta) ฟังว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แถวๆทางสามแพร่งแห่งเดลฟี ว่าแล้วชาวเมืองที่เห็นว่าเอดิปัสมีบุญคุณ ก็เลยยกให้เป็นกษัตริย์ปกครองบ้านเมือง แถมให้สมรสกับราชินีม่ายโจคัสทาด้วย จะได้ช่วยกันดูแลธีบส์ให้รุ่งเรืองต่อไป

รูปสลักสฟิงซ์ บริเวณลานด้านหน้าพระราชวังเชินบรุนน์ ประเทศออสเตรีย.
รูปสลักสฟิงซ์ บริเวณลานด้านหน้าพระราชวังเชินบรุนน์ ประเทศออสเตรีย.

...

แต่หลังจากปกครองธีบส์ได้ไม่นาน ก็เกิดภัยพิบัติขึ้น เอดิปัสที่ตอนนี้เป็นราชาแล้ว ก็ต้องพยายามหาทางออก เลยส่งคนไปถามเทพพยากรณ์ว่า จะต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้ประชาชนกลับมาอยู่ดีกินดีได้ และคำถามนี้ องค์เทพแห่งการพยากรณ์ คือ เทพอพอลโล ทรงมาตอบเองเลยทีเดียวค่ะว่า ง่ายนิดเดียวเหมือนกันแหละ แค่หาคนที่ฆ่าอดีตกษัตริย์ไลอัสมาลงโทษเท่านั้นเอง ธีบส์ก็จะอยู่รอดปลอดภัย

ได้ยินอย่างนี้ เอดิปัสค่อยหายใจโล่งหน่อย เพราะคงไม่ยากกระไรที่จะหาตัวโจรป่าที่สังหารอดีตกษัตริย์ ว่าแล้วก็สั่งการให้คนออกติดตามผู้ร้ายกันอย่างแข็งขัน แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จนต้องไปพึ่งเหล่าผู้พยากรณ์อีก ทีแรกเหล่าผู้พยากรณ์ก็อ้ำๆอึ้งๆ ไม่ยอมตอบอะไร จนเอดิปัสชักมีน้ำโห เลยต่อว่าต่อขานไปหลายคำ ทำเอาผู้พยากรณ์โพล่งออกมาว่า เออ ก็ตัวท่านนั่นแหละ ที่เป็นฆาตกรสังหารกษัตริย์ไลอัส

ได้ฟังดังนี้แล้ว เอดิปัสงงเป็นไก่ตาแตกทีเดียวค่ะ ก็แหม ชีวิตนี้เกิดมายังไม่เคยเจอกษัตริย์ไลอัสเลย แล้วจะไปฆ่าได้ตอนไหน เลยต้องสืบสวนกันยกใหญ่ ซึ่งในตอนที่สอบสวนนั่นเอง ก็ได้ความว่า กษัตริย์ไลอัสเองก็เคยเจอคำทำนายว่า จะถูกโอรสสังหาร ดังนั้น เมื่อเกิดโอรสขึ้น จึงจับมัด แล้วให้คนนำไปปล่อยทิ้งให้ตายบนภูเขา ก็เลยไม่เหลือโอรสที่ไหนจะมาสังหารพระองค์ได้ แต่กลับต้องมาสิ้นพระชนม์เพราะโจรป่าตรงบริเวณแถวๆทางสามแพร่งแห่งเดลฟีนั่นแหละ

ทารกโอรสของกษัตริย์ไลอัสถูกเก็บไปเลี้ยง.
ทารกโอรสของกษัตริย์ไลอัสถูกเก็บไปเลี้ยง.

...

ได้ฟังอย่างนี้ เอดิปัสแทบกระเด็นตกเก้าอี้ ต้องสั่งไปตามบริวารผู้รอดชีวิตของกษัตริย์ไลอัสมาพบเพื่อสอบถามให้แน่ใจ แต่ระหว่างนั้นเอง ก็มีผู้ส่งข่าวมาจากคอรินธ์ เมืองเดิมของพระองค์ ว่าตอนนี้กษัตริย์โพลิบัสผู้เป็นพระบิดาของเอดิปัสสิ้นพระชนม์แล้ว ทำเอาเอดิปัสใจชื้นขึ้นมาหน่อยว่าคำทำนายที่ว่าพระองค์จะกระทำปิตุฆาตนั้น ไม่เกิดขึ้น

แต่ตอนนั้นเอง ที่ผู้ส่งข่าวจากคอรินธ์บอกว่า จริงๆแล้วเอดิปัสไม่เห็นจะต้องหนีออกมาจากคอรินธ์เพราะคำทำนายบ้าๆ นั่นเลย เพราะเอดิปัสเองก็ไม่ใช่โอรสของกษัตริย์โพลิบัสสักหน่อย แต่เป็นแค่เด็กที่มีคนเอามาให้เลี้ยง และกษัตริย์โพลิบัสก็มีน้ำพระทัยเลี้ยงดูมาเสมือนเป็นโอรสก็แค่นั้น

เอาล่ะสิคะ งานนี้ต้องตรวจดีเอ็นเอกันเสียแล้ว เอ๊...ไม่ใช่สิน่า สมัยนั้นไม่มีการตรวจดีเอ็นเอ แต่เรื่องก็ชักเข้าเค้าแล้ว เพราะเอดิปัสเอง ก็ยอมรับว่า ตอนที่กำลังเดินเข้าเมืองมา ผ่านทาง สามแพร่งแห่งเดลฟี ได้เกิดมีเรื่องกับคณะผู้เดินทางกลุ่มหนึ่ง และพลั้งมือฆ่าคนกลุ่มนั้นตายเกือบหมด เหลือรอดเพียงคนเดียว ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่กลับมาเล่าให้ราชินีโจคัสทาได้ทราบเรื่องนั่นเอง และตอนนี้ก็ยืนยันได้แล้วว่า เอดิปัสคือคนที่สังหารกษัตริย์ไลอัส แถมเมื่อสอบถามไปสอบถามมา ก็พบว่าตอนที่กษัตริย์ไลอัสให้นำโอรสไปทิ้งนั้น ผู้ส่งข่าวจากคอรินธ์เป็นคนเก็บทารกโอรสกษัตริย์ไลอัสของเขาไปให้กษัตริย์โพลิบัสเลี้ยง

เอดิปัสทำลายดวงตาตนเองจนตาบอด.
เอดิปัสทำลายดวงตาตนเองจนตาบอด.

...

คราวนี้กระจ่างชัดทุกถ้อยกระบวนความว่า เอดิปัสคือโอรสของไลอัส คำทำนายที่ว่าเขาจะกระทำปิตุฆาตนั้นเป็นจริง เพียงแต่เขาไม่รู้มาก่อนว่าใครคือบิดาที่แท้ มิหนำซ้ำ ยังวิวาห์กับพระมารดาของตัวเองโดยไม่รู้อีก พลันที่นึกขึ้นได้ว่า แล้วราชินีโจคัสทาไปไหน เอดิปัสก็ออกตามหา จนพบว่าพระนางทนเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ไหว ได้ฆ่าตัวตายไปเสียแล้ว ส่วนเอดิปัสเอง ก็ไม่สามารถทนมองเห็นโลกนี้ต่อไปได้ จึงควักลูกตาของตัวเองออกมา และยอมอยู่ในความมืดมน ตลอดไป

และนี่เองค่ะ คือที่มาของวลี Oedipus complex หรือ “ปมเอดิปัส” ที่ซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) จิตแพทย์และนักจิตวิทยาตั้งทฤษฎีว่า หมายถึงความปรารถนาโดยไม่รู้ตัวของเด็กชาย ที่ต้องการมีเพศสัมพันธ์กับแม่ และต้องการกำจัดพ่อที่มาแย่งความรักจากแม่ไป จนเป็นต้นเหตุของอาการทางจิตหลายอย่าง

เอดิปัสตอบปัญหาของสฟิงซ์.
เอดิปัสตอบปัญหาของสฟิงซ์.

ส่วนสฟิงซ์ที่เป็นต้นเรื่องเล่าจากประติมากรรมของเราในตอนนี้ ก็ถูกวิเคราะห์เหมือนกันว่า น่าจะมีอาการทางจิตเหมือนกัน ก็แหม กะอีแค่มีคนตอบคำถามได้ ก็ฆ่าตัวตายซะแล้ว ไม่รู้ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดประเภทไหนกันแน่ ถึงได้อ่อนไหวขนาดนี้ ตายง่ายเหลือเกินแม่คู้ณณณณณ...

ขอฝากข่าวส่งท้ายว่า ผู้เขียนและสุภาพรรณ เปล่งมณีพันธ์ ร่วมกับทีมงานต่วย’ตูนได้จัดทำหนังสือ “ประติมากรรมปรัมปรา” เพื่อเล่าตำนานสนุกๆ จากตำนานเทพกรีก-โรมัน ผ่านการเที่ยวชมประติมากรรมในต่างแดนซึ่งเหล่าศิลปินระดับโลกได้สร้างสรรค์ไว้ในหลายประเทศ หากท่านผู้อ่านสนใจก็ติดต่อสอบถามได้ที่สำนักพิมพ์ต่วย’ตูน โทร. 0-2514-4071-3 ต่อ 110 หรือไอดีไลน์ p.vatin นะคะ.

สฟิงซ์คอยเข่นฆ่าผู้คนที่เข้าออกเมืองธีบส์.
สฟิงซ์คอยเข่นฆ่าผู้คนที่เข้าออกเมืองธีบส์.

­

โดย : สมพร ฐาปนาชัย
ทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน