ไม่มีใครหยุดเวลาได้ค่ะ เข้าใจในข้อนี้แม้บางทีก็อยากเอาแต่ใจ ในที่สุดวันเวลาที่พวกเราไม่อยากให้มาถึง ก็ถึงเวลา วันที่น้ำตาท่วมแผ่นดิน ทุกหัวใจของคนไทยน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดไม่ได้ แสดงความอาลัยถวายแด่พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย สิ่งที่ตั้งใจต่อจากนี้คือต้องร่วมกันสืบสานปณิธานของพ่อ สานต่อทุกแนวคิดและโครงการที่พระองค์ท่านพระราชทานให้กับพวกเรานะคะ พระองค์ท่านไม่ได้จากไปไหน คำว่า “พอเพียง” จะอยู่กับเราตลอดไป เหมือนเป็นมรดกที่พระองค์ท่านมอบไว้ให้กับแผ่นดิน 

วันนี้ขอไม่คุยเรื่องความรักของเราๆ สัก 1 อาทิตย์ มาตามติด แนวคิด และความรักของพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ คู่พระบารมีของพระองค์ มิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย หัวใจของพวกเราทุกคน 

ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระราชินีฯ เคยพระราชทานสัมภาษณ์ สถานีโทรทัศน์  BBC กรุงลอนดอนถึงเรื่อง “รักแรกพบของในหลวงกับพระราชินี” อ่านแล้วยิ้มไปน้ำตาไหลไป  มีความตอนหนึ่งว่า…

...

“สำหรับข้าพเจ้าเป็นการเกลียดแรกพบมากกว่า รักแรกพบ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงแล้วเสด็จมาถึง 1 ทุ่ม ช้ากว่านัดหมายตั้ง 3 ชั่วโมง ทำให้ข้าพเจ้าต้องซ้อมถอนสายบัวอยู่จนแล้วจนเล่า จึงเป็นการเกลียดเมื่อแรกพบมากกว่า เมื่อเสด็จฯ มาถึงราชเลขาฯ ได้เชิญแต่ผู้ใหญ่ร่วมโต๊ะเสวย แล้วให้เด็กไปรับประทานอาหารจีนอีกที่” จึงทำให้ ม.ร.ว.สิริกิติ์เคืองอยู่นิดๆ เมื่อตรัสถึงเรื่องนี้ทั้งสองพระองค์จะทรงพระสรวล โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงล้อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ว่า “เดินตุปัดตุเป๋ หน้างอ คอยถอนสายบัว” สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงกราบบังคมทูลตอบว่า “ที่หน้างอ เพราะให้แต่ผู้ใหญ่ร่วมโต๊ะเสวย เด็กกลับไล่ไปกินที่อื่น”

รูป ม.ร.ว.สิริกิติ์ เป็นรูปแรกที่ทรงถ่าย เป็นรูปหมู่ที่ถ่ายตอนบุคคลเข้าเฝ้าฯ ณ สถานทูต ม.ร.ว.สิริกิติ์อยู่เป็นคนสุดท้าย เห็นหน้าไม่ชัด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งว่า “ยู้ฮู คนข้างหลังโผล่หน้ามาหน่อยสิ” แล้วรูปนั้น พระองค์ทรงตัดเฉพาะหน้า ม.ร.ว.สิริกิติ์ ไว้ในพระกระเป๋า

จนเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2491 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และมีพระราชกระแสรับสั่งให้ ม.ร.ว.สิริกิติ์ เข้าเฝ้าฯ เยี่ยมพระอาการ และถวายการพยาบาลอย่างใกล้ชิดเป็นประจำ สิ่งแรกเมื่อรู้สึกพระองค์คือทรงหยิบรูป ม.ร.ว.สิริกิติ์ ออกจากพระกระเป๋าส่งถวายสมเด็จพระราชชนนี พร้อมกับรับสั่งว่า “แม่ เรียกสิริมาที”

ตอนที่พระองค์ท่านประสบอุบัติเหตุ ทรงได้รับบาดเจ็บที่พระเนตรและพระเศียร เวลาเข้าเฝ้าฯ ก็ให้จับพระหัตถ์ท่านแล้วบอกชื่อ พอถึง สมเด็จฯ ท่านก็ทูลว่า “ม.ร.ว.สิริกิติ์ เพคะ” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงจับมืออยู่นานพอสมควรเลย

พระราชินีทรงเล่าว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบมาก่อนว่า พระองค์ท่านทรงรักข้าพเจ้า…เพราะเวลานั้น อายุเพิ่งย่าง 15 ปี ตั้งใจไว้ว่าจะเป็นนักเปียโน เป็นนักเปียโนที่แสดงในงานคอนเสิร์ต ตอนประทับอยู่ที่โรงพยาบาลหลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ มีพระอาการหนักมาก ตำรวจเขาโทรศัพท์ไปกราบบังคมทูลสมเด็จพระราชชนนี พระองค์ท่านรีบเสด็จไปทันที แต่แทนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีปฏิสันถารกับพระองค์ ท่านกลับทรงหยิบรูปข้าพเจ้าออกมาจากกระเป๋า โดยที่ข้าพเจ้าไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าพระองค์ทรงมีรูปข้าพเจ้าอยู่”

“แล้ววันหนึ่งพระองค์ก็ตรัสให้นำตัวข้าพเจ้าเข้าเฝ้าฯ พระองค์ทรงรักข้าพเจ้า ตอนนั้นข้าพเจ้านึกแต่เรื่องที่จะอยู่กับคนที่ข้าพเจ้ารักเท่านั้น ไม่ได้นึกไปไกลถึงหน้าที่และภาระของพระราชินีเลย”

หลังจากนั้น ก็มาถึงวันอันเป็นสิริมงคลยิ่งสำหรับปวงชนชาวไทย ที่มีโอกาสได้เห็นและได้ร่วมชื่นชมในพระราชพิธี “ราชาภิเษกสมรส” ของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร (พระยศในขณะนั้น) แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสในครั้งนั้น เป็นพระราชพิธีที่เรียบง่ายและแทบจะเรียกได้ว่า “สิ้นเปลืองน้อยที่สุดในโลก” มีพระราชพิธีในช่วงกลางวันตอนค่ำมีพระราชทานเลี้ยงบนพระตำหนักเป็นการภายใน ระหว่างพระญาติสนิท และข้าราชบริพารที่ใกล้ชิดไม่เกิน 20 คน ทรงเป็นแบบอย่างการเริ่มต้นสร้างครอบครัวอย่าง “สิ้นเปลืองน้อย” มาตั้งแต่วันแรกที่ทรงเริ่มต้นใช้ “ชีวิตคู่” หลังจากนั้น พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี (พระอิสริยยศในขณะนั้น) เสด็จโดยรถยนต์ไปยังสถานีรถไฟบางกอกน้อยเพื่อเสด็จฯประทับพักผ่อนพระราชอิริยาบถที่พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นเวลา 3 วัน ตามโบราณราชประเพณี พระองค์โปรดเกล้าฯให้มีผู้ตามเสด็จน้อยมาก ด้วยมีพระราชประสงค์ที่จะมิให้สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ “ทรงฮันนีมูน” ด้วยงบประมาณที่น้อยที่สุดจริงๆ   

...

และพระองค์ก็อยู่เคียงข้างกันมาเกือบ 70 ปี ร่วมทุกข์ร่วมสุข พร้อมๆ กับดูแลสุขทุกข์ของประชาชน ทุกก้าวย่างที่พระองค์ก้าวไป ไม่มีตรงไหนไม่ร่มเย็น นอกจากเป็นพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย พระองค์ยังเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ สอนทั้งเรื่องการดำรงชีวิต วิธีคิด หรือแม้แต่เรื่องความรัก  

“เราไม่ค่อยชอบเวลาใครมาถ่ายภาพภรรยาของเรา เราจะรู้สึกหวงและอิจฉาบรรดาช่างภาพทั้งหลายเพราะเราชอบถ่ายภาพพระราชินีด้วยตัวเราเอง เราไม่เคยทิ้งรูปถ่ายของเธอแม้แต่สักภาพเดียว แม้ว่ามีบางภาพที่เราไม่ค่อยชอบก็ตาม” พระองค์เคยให้สัมภาษณ์ไว้กับช่างภาพชาวอังกฤษ ความรัก คือสิ่งที่แข็งแกร่งและอ่อนโยนที่สุดเสมอ หลายปีต่อมาเมื่อประเทศไทยถูกรุกรานจากระบบคอมมิวนิสต์ พระองค์และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ต้องทรงตรากตรำเสด็จไปเยี่ยมและปลอบขวัญชาวบ้านในที่อันตรายทั่วประเทศ พระองค์ท่านพระราชทานสัมภาษณ์อีกครั้ง      

“มันเป็นงานที่หนักมาก แต่งานจากการสงคราม (war work) จะทำให้คุณรู้ซึ้งว่า…ในเวลาสงบ คุณมัวใช้เวลาไปกับสิ่งไม่สำคัญเลย เหมือนที่ครั้งก่อนที่เจอกัน เราบอกท่านว่าเราอิจฉาช่างภาพคนอื่นเวลาถ่ายภาพภรรยาของเรา…แต่ตอนนี้ไม่มีความอิจฉาใดๆ อีกแล้ว ไม่มีเวลาสำหรับเรื่องแบบนั้นแล้ว” 

...

ความรักของพระองค์ท่านที่ให้กับปวงชนชาวไทยยิ่งใหญ่เสมอ พระมหากษัตริย์ที่เป็นหัวใจของคนไทยทั้งชาติ พระเสด็จสู่สวรรคาลัย ผองผสกนิกรชาวไทยน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณตราบนิจนิรันดร์