หนึ่งในโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยจำนวนมาก นอกจากโรคมะเร็งชนิดต่างๆ แล้ว โรคเส้นเลือดหัวใจตีบก็เป็นอีกหนึ่งโรคภัยที่ไม่ควรมองข้าม และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของโลก โดยมีปัจจัยเสี่ยงมาจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและโรคประจำตัวบางอย่างที่ส่งผลให้เกิดโรคดังกล่าว
โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ หรือหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นโรคที่ทำให้หลอดเลือดไม่สามารถส่งเลือดไปยังหัวใจได้อย่างปกติเนื่องจากการตีบแคบของหลอดเลือด ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากคราบหินปูน (Plaque) จากไขมันในเลือดเกาะตัวกันจนขวางทางไหลของเลือด เมื่อเลือดส่งไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้น้อยลงก็ส่งผลให้เกิดอาการเหนื่อยหอบ เจ็บหน้าอก
โรคหลอดเลือดหัวใจสามารถอยู่ในร่างกายเป็นเวลานานโดยที่เจ้าตัวไม่ทันสังเกต ก้อนหินปูนจากไขมันในเลือดจะเกาะตัวกันเพิ่มขึ้นจนอาจทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือหัวใจวาย และเสียชีวิตได้ในที่สุด
โรคเส้นเลือดหัวใจตีบแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. โรคเส้นเลือดหัวใจชนิดเฉียบพลัน
มีโอกาสทำให้เสียชีวิตสูงถ้าไม่รีบมาพบแพทย์ คนไข้อาจมีอาการเหนื่อยง่าย เจ็บแน่นหน้าอกช่วงกึ่งกลางหน้าอก เป็นถี่ขึ้น รุนแรงมากขึ้นแม้ขณะไม่ได้ออกกำลัง อาจมีอาการใจสั่น เหงื่อออก หายใจไม่สะดวกร่วมด้วย
เมื่อมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดแบบเฉียบพลัน อาจทำให้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและระยะเวลาที่กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงว่านานเท่าไหร่ จึงควรรีบนำคนไข้มาพบแพทย์ให้เร็วที่สุด ภายในเวลา 6-12 ชั่วโมง หลังจากผู้ป่วยเริ่มมีอาการครั้งแรก เพื่อทำการเปิดหลอดเลือดหัวใจที่ตีบ โดยการให้ยาสลายลิ่มเลือด หรือทำบอลลูนขยายหลอดเลือด
![ภาพจาก iStock](https://static.thairath.co.th/media/BUCz3kW7pmsIQUeyCdmUshejf9YlEug1jXyq7cfvUFR1jZGw1uQ97a1M2.jpg)
...
2. โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันชนิดเรื้อรัง
จะมีลักษณะแบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นๆ หายๆ ซึ่งอาการมักสัมพันธ์กับการออกกำลัง เช่น การเดิน การออกกำลังกาย หรือการขึ้นบันได อาจมีอาการเจ็บแน่นบริเวณกึ่งกลางหน้าอกแต่พอได้นั่งพักอาการก็จะหายไป และบางครั้งอาจมีอาการปวดร้าวไปหัวไหล่ซ้ายขึ้นไปถึงกรามด้วย หากเกิดอาการเหล่านี้จะต้องรีบมาพบแพทย์
10 อาการเตือนโรคหัวใจและหลอดเลือด
เมื่อเกิดคราบหินปูนภายในหลอดเลือดจะทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนได้ดี ส่งผลให้มีอาการต่างๆ ดังนี้
- เจ็บหน้าอก หรือปวดแน่นหน้าอก โดยเฉพาะเวลาที่ต้องออกแรงหรือออกกำลังกาย อาการเจ็บหน้าอกมักจะบรรเทาลงเมื่อหยุดทำกิจกรรมไปสักระยะ
- หายใจถี่ หรือรู้สึกหายใจติดขัด
- เหนื่อยหอบ จากการที่หัวใจสูบฉีดเลือดได้ยากขึ้น
- วิงเวียนศีรษะ
- ในบางคนอาจมีอาการที่เสี่ยงต่อภาวะหัวใจวาย เช่น เจ็บหน้าอก และอาจปวดร้าวลามไปที่คอ ขากรรไกร แขน หลัง
- ปวดแสบปวดร้อนตรงลิ้นปี่หรือท้องส่วนบน (Heartburn)
- คลื่นไส้
- อาเจียน
- เหงื่อออกมาก
- หมดสติ
ปัจจัยเสี่ยงโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
โรคเส้นเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่มักจะพบในคนที่อายุมาก ในเพศชาย เพศหญิงวัยหมดประจำเดือน และในกลุ่มคนที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมการใช้ชีวิต โรคหรือภาวะบางอย่างที่เป็นปัจจัยเสี่ยง ซึ่งเราควรใส่ใจเพื่อรักษาสุขภาพหัวใจเอาไว้ เช่น
![ภาพจาก iStock](https://static.thairath.co.th/media/BUCz3kW7pmsIQUeyCdmUshejf9YlEug1iBP13Hfiwwvfl2YlX8WMqXk2j.jpg)
- โรคความดันโลหิตสูง (High blood pressure) ความดันโลหิตสูงบ่งบอกว่าหัวใจทำงานหนักมากขึ้นในการสูบฉีดเลือด ความดันเลือดสูงในระยะยาวจะทำความเสียหายต่อหลอดเลือดโดยตรง ทำให้รอยโรคก่อตัวง่ายขึ้น
- โรคเบาหวาน (Diabetes) เบาหวานเกิดจากการสร้างฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ หรือเนื้อเยื่อไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงเกินไปจนไปทำลายหลอดเลือดและเส้นประสาท
- ภาวะไขมันในเลือดสูง (Hyperlipidemia) ไขมันในเลือดสูงหรือมีค่าคอเลสเตอรอลรวมในเลือดสูงเกินไป เป็นสาเหตุหนึ่งของ Plaque ที่เกาะกันในหลอดเลือด ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
- โรคอ้วน (Obesity) คนที่มีไขมันสะสมในร่างกายมากๆ อาจส่งผลเสียต่อร่างกายทั้งการมีไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง ความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ซึ่งหลายๆ ปัจจัยของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมีจุดเริ่มต้นมาจากโรคอ้วน
ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้สามารถลดลงได้ด้วยการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ การพักผ่อนที่มีคุณภาพ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดีลดความเสี่ยงโรคและภาวะต่างๆ ได้อีกมากไม่ใช่แค่โรคหลอดเลือดหัวใจ
ข้อมูลอ้างอิง: โรงพยาบาลกรุงเทพ, โรงพยาบาลสมิติเวช