- โรคหัวใจ มีหลายประเภท ซึ่งอาการและวิธีการรักษาจะแตกต่างกัน สำหรับบางคน การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ และการใช้ยา ก็สามารถช่วยให้สุขภาพหัวใจดีขึ้นได้ แต่ในบางคนอาจต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อให้หัวใจกลับมามีสุขภาพที่ดีขึ้นอีกครั้ง
- ปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ได้แก่ อายุ ที่เพิ่มมากขึ้น ในปัจจุบันอัตราการเป็นโรคหัวใจพบมากขึ้นในคนอายุ 30-40 ปี โดยเพศชายมีโอกาสเป็นโรคหัวใจได้มากกว่าเพศหญิง และที่สำคัญคือพันธุกรรม ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ จะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจสูงมากกว่าคนทั่วไป
- การรักษาโรคหัวใจ จะรักษาตามสาเหตุและอาการที่ตรวจพบ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต รักษาโรคประจำตัวให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ รับประทานยา หรือ การผ่าตัดรักษา ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคหัวใจ
โรคหัวใจ (Heart Disease) คืออะไร
โรคหัวใจ (Heart Disease) คือโรคที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ โดยเกิดขึ้นในส่วนของหัวใจที่ต่างกัน จึงทำให้โรคหัวใจแต่ละชนิด มีอาการแตกต่างกัน
โรคหัวใจมีหลายประเภท และแต่ละประเภทมีอาการและวิธีรักษาที่แตกต่างกัน สำหรับบางคน การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ หรือการดำเนินชีวิตและการใช้ยา ก็สามารถช่วยให้สุขภาพหัวใจดีขึ้น แต่ในบางคนอาจต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อให้หัวใจกลับมาทำงานอีกครั้ง
...
โรคหัวใจมีกี่ประเภท
เมื่อพูดถึงโรคหัวใจ หลายคนมักคิดถึงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน ซึ่งพบได้บ่อยที่สุดในบรรดาโรคหัวใจ และเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเสียชีวิต โรคหัวใจแบ่งออกได้เป็นหลายกลุ่มโรค ดังนี้
1. โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease : CAD)
โรคหลอดเลือดหัวใจ Coronary Artery Disease (CAD) แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
- โรคหลอดเลือดหัวใจชนิดเฉียบพลัน
จะมีอาการเหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอกช่วงกึ่งกลางหน้าอก โดยจะเจ็บถี่ขึ้น อาการมักเป็นรุนแรง และเกิดได้มากขึ้น แม้ไม่ใช่ขณะออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา นอกจากนี้อาจมีอาการใจสั่น หรือเหงื่อแตก หากไม่ได้รับการรักษาทันทีอาจเกิดภาวะหัวใจวาย (Heart Attack) และเสียชีวิตได้ ดังนั้น ต้องรีบนำผู้ป่วยพบแพทย์ให้เร็วที่สุด ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากอายุที่เพิ่มขึ้น ภาวะไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง รวมถึงการสูบบุหรี่จัด
- โรคหลอดเลือดหัวใจชนิดเรื้อรัง
พบอาการแน่นบริเวณกึ่งกลางอกแบบเป็นๆ หายๆ อาจมีอาการแน่นหน้าอกร้าวไปกรามหรือหัวไหล่ซ้าย โดยมักเกิดขณะใช้กำลัง เช่น ออกกำลังกาย เดินเร็ว หรือการขึ้นบันได เมื่อได้นั่งพักอาการก็จะหายไป หรืออาจมาด้วยอาการเหนื่อยง่ายเวลาออกแรง
2. โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Cardiac Arrhythmia)
โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Cardiac Arrhythmia) อัตราการเต้นของหัวใจสำหรับคนปกติอยู่ที่ 60-100 ครั้งต่อวินาที กรณีหัวใจเต้นผิดจังหวะ แบ่งความผิดปกติออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ส่งผลให้การสูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร และอาจเพิ่มความเสี่ยงภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหลอดเลือดสมองอุดตัน
สาเหตุสำคัญของภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ คือความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติแต่กำเนิด และหลอดเลือดหัวใจตีบ ทั้งนี้ยังเกิดจากสุขภาพร่างกาย เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โดยมีอาการใจสั่นรวมทั้งหน้ามืดเป็นลม ซึ่งควรเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
- หัวใจเต้นช้าผิดปกติ คือน้อยกว่า 60 ครั้งต่อนาที
- หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ คือเร็วกว่า 100 ครั้งต่อนาที
- หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ เช่น เต้นๆ หยุดๆ หรือเต้นเร็วสลับช้า
3. โรคกล้ามเนื้อหัวใจ
เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้ไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ตามปกติ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง (Cardiomyopathy) เป็นความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ สาเหตุที่พบบ่อย มาจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย ความสามารถในการบีบตัวลดลงหรืออาจมาจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาจากพันธุกรรม รวมทั้งโรคกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติที่ไม่ได้เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ความดันในห้องหัวใจสูงขึ้นทำให้ห้องหัวใจโต ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการแสดงชัดเจน ขาบวม เหนื่อย นอนราบไม่ได้หรือมาพบแพทย์ด้วยภาวะน้ำท่วมปอด
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis) ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวลดลง และการนำไฟฟ้าของหัวใจผิดปกติ อาการที่สังเกตได้คือ เจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย ขาบวม ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว
4. โรคลิ้นหัวใจ (valvular heart disease)
โรคลิ้นหัวใจ (valvular heart disease) แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
...
- โรคลิ้นหัวใจตีบ (Stenosis) เป็นภาวะที่ลิ้นหัวใจเปิดและปิดได้ไม่สุด เลือดจึงออกจากห้องหัวใจยากขึ้น ทำให้เกิดความดันและปริมาณเลือดสะสมย้อนกลับไปสู่ห้องหัวใจและหลอดเลือด
- โรคลิ้นหัวใจรั่ว (Regurgitation) ซึ่งเป็นภาวะที่ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท มีรูรั่วหรือขาด ส่งผลให้ประสิทธิภาพการไหลเวียนเลือดในหัวใจลดลงและหัวใจทำงานหนักขึ้น
สาเหตุความผิดปกติของลิ้นหัวใจ แบ่งได้ 3 กลุ่ม ได้แก่
- ความพิการของลิ้นหัวใจแต่กําเนิด (Congenital Valve Disease) เช่น ลิ้นหัวใจตีบ ซึ่งมีอาการตั้งแต่แรกคลอดและจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
- โรคลิ้นหัวใจผิดปกติจากการเสื่อมสภาพ (Degenerative Valve Disease) ส่วนใหญ่พบในผู้สูงอายุ เนื่องจากเนื้อเยื่อของลิ้นหัวใจเสื่อมสภาพ
- โรคลิ้นหัวใจอักเสบจากการติดเชื้อ (Infective Endocarditis) เกิดจากการติดเชื้อในกระแสเลือด (Bacteremia) และเชื้อโรคไปเกาะกินที่ลิ้นหัวใจ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเฉียบพลันและหัวใจวายรุนแรง รวดเร็ว อาการที่สังเกตได้ คือ เหนื่อยเร็วกว่าปกติ หากพบมีภาวะบวม เหนื่อยมาก ไม่สามารถนอนราบ หายใจลําบาก ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษา
5. โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital Heart Disease)
ความผิดปกติของการพัฒนาโครงสร้างหัวใจตั้งแต่อยู่ในครรภ์ โดยมีความผิดปกติทางพันธุกรรมเป็นปัจจัยเสี่ยง รวมถึงมารดาได้รับยาบางอย่างในช่วงก่อนหรือระหว่างการตั้งครรภ์ นอกจากนี้การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือใช้สารเสพติด ก็มีส่วนทำให้ทารกเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดได้ โดยทารกตรวจพบอาการหัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว ดื่มนมน้อย โตช้า เล็บสีม่วงคล้ำ อ่อนเพลีย และเหงื่อออกมาก
...
สาเหตุของโรคหัวใจ
โรคหัวใจแต่ละชนิดมีสาเหตุต่างกัน แต่ส่วนใหญ่มีปัจจัยเสี่ยงที่คล้ายคลึงกันหรือเหมือนกัน แบ่งได้เป็น 2 ปัจจัยหลัก ดังนี้
1. ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้
- อายุ ที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออายุ 40 ปี แต่ในปัจจุบันพบว่าอัตราการเป็นโรคหัวใจพบมากขึ้นในคนอายุ 30-40 ปี การมีอายุมากขึ้นจะเพิ่มความเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบและกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง
- เพศ เพศชายมีโอกาสเป็นโรคหัวใจได้มากกว่าเพศหญิง แต่สำหรับผู้หญิงจะมีความเสี่ยงมากขึ้นหลังหมดประจำเดือน
- พันธุกรรม ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ จะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจสูงมากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพ่อแม่เป็นโรคหัวใจตั้งแต่อายุยังน้อย โดยผู้ชายก่อนอายุ 55 ปี และผู้หญิงก่อนอายุ 65 ปี
2. ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นได้
- ระดับไขมันในเลือดสูง หากมีระดับไขมันในเลือดยิ่งสูงก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงโรคหัวใจมากขึ้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องวางแผนการรับประทานอาหาร โดยเลือกอาหารที่มีไขมันต่ำ
โรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอาจเป็นสาเหตุของการทำลายผนังภายในของหลอดเลือดได้
...
- ความดันโลหิตสูง สามารถกระตุ้นให้กระบวนการสะสมไขมันที่ผนังหลอดเลือดเกิดได้เร็วขึ้น รวมถึงยังทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น
- การสูบบุหรี่ มีโอกาสเสี่ยงเส้นเลือดหัวใจตีบอย่างมาก และมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคหัวใจอย่างกะทันหัน
- ไม่ออกกำลังกาย การออกกำลังกายช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากในชีวิตประจำวันไม่มีการขยับร่างกายอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
สัญญาณเตือน โรคหัวใจอาการเป็นอย่างไร
สามารถสังเกตสัญญาณเตือนโรคหัวใจ ดังนี้
- เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก อาจร้าวไปที่กราม แขน ไหล่
- เหนื่อยง่าย
- ใจสั่น หน้ามืด เป็นลม
- นอนราบไม่ได้ ขาบวมทั้งสองข้าง
แม้โรคหัวใจบางประเภทจะสามารถควบคุมรักษาให้ผู้ป่วยกลับมามีชีวิตได้ตามปกติ แต่โรคหัวใจบางประเภทอาจส่งผลถึงชีวิต ดังนั้นการดูแลสุขภาพหัวใจจึงมีความจำเป็น นอกจากการดูแลสุขภาพหัวใจให้แข็งแรง การตรวจหัวใจเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดี ที่จะช่วยประเมินสุขภาพความแข็งแรงของหัวใจ รวมถึงตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับหัวใจ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคหัวใจมักมีอาการหรือสัญญาณเตือนล่วงหน้า แต่ในบางคนอาจไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ เกิดขึ้นเลย ดังนั้นการเข้ารับการตรวจโรคหัวใจจะช่วยคัดกรองความเสี่ยงก่อนเกิดโรค
ผู้ที่ควรเข้ารับการตรวจโรคหัวใจ
- ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป
- ผู้มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ หรือหลอดเลือดสมอง
- ผู้มีโรคประจำตัว หรือ ปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน สูบบุหรี่
- พบอาการหรือสัญญาณเตือน เช่น เจ็บหน้าอก เหนื่อยง่ายผิดปกติ ใจสั่น หายใจลำบาก หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- นักกีฬา หรือผู้ที่ต้องใช้กำลังในการแข่งขัน เพื่อประเมินอัตราการเต้นของหัวใจที่เหมาะสม
หากพบว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองโรคหัวใจให้เร็วที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่ามีปัญหาโรคหัวใจหรือไม่ และวางแผนการรักษาต่อไป
การตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจ
การตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจเบื้องต้นเริ่มจากการซักประวัติ และตรวจร่างกายโดยละเอียด นอกจากนี้แพทย์อาจให้ตรวจเพิ่มเติม รวมถึงทดสอบสมรรถภาพของหัวใจด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้
- ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram - EKG) การตรวจการทำงานของคลื่นกระแสไฟฟ้าบริเวณหัวใจ ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ อัตราการเต้นของหัวใจรวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจ
- ตรวจสุขภาพหัวใจด้วยการวิ่งสายพาน (Exercise Stress Test - EST) การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย เพื่อประเมินสมรรถภาพของหัวใจขณะออกแรงอย่างหนัก สามารถคัดกรองโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน เบื้องต้น และภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะจากการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นการตรวจที่ให้ผลที่ละเอียดกว่าการตรวจด้วยคลื่นไฟฟ้าหัวใจเพียงอย่างเดียว
- ตรวจหัวใจด้วยคลื่นสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram - Echo) ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อจับภาพการเคลื่อนไหวของหัวใจ เพื่อประเมินประสิทธิภาพการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจและลิ้นหัวใจ รวมถึงการบีบและคลายตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ การไหลเวียนเลือดในหัวใจ
- ตรวจหัวใจด้วยการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Coronary CT Angiography - CT Scan) เป็นวิธีการตรวจหาความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงใช้เพื่อติดตามผลการรักษาหลังการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจ
- การสวนหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Angiography - CAG) คือการใส่สายสวนเข้าไปทางหลอดเลือดแดงบริเวณแขนหรือขาหนีบ และฉีดสารทึบรังสี เข้าไปดูภาวะหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบหรือตัน รวมทั้งการฉีดสารทึบรังสีในห้องหัวใจเพื่อตรวจสอบความสามารถในการบีบตัวของหัวใจ ความดันของห้องหัวใจ และการรั่วของลิ้นหัวใจ
การรักษาโรคหัวใจ
การรักษาโรคหัวใจเป็นไปตามสาเหตุและอาการที่ตรวจพบ ดังนี้
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตจะช่วยควบคุมปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ ได้แก่ รับประทานอาหารสุขภาพ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่
- รักษาโรคประจำตัวให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ โดยเฉพาะโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคไขมันในเลือดสูง
- รับประทานยารักษาโรคหัวใจ ตามความเหมาะสมของแต่ละโรค
- การผ่าตัดรักษาโรคหัวใจ ตามแต่ละชนิดของโรคหัวใจ
โรคหัวใจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตในอันดับต้นๆ ดังนั้นหากพบอาการหรือสัญญาณเตือนไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย เพื่อหาสาเหตุและประเภทของโรคหัวใจ เพื่อทำการรักษาอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพที่สุด นอกจากนี้ผู้มีความเสี่ยงสามารถเข้าตรวจคัดกรองแม้ไม่มีอาการหรือสัญญาณเตือนใดๆ
ขอบคุณข้อมูล : พญ. ณัฐฐาพร ประพันธ์ อายุรศาสตร์โรคหัวใจ โรงพยาบาลสมิติเวช