ช่วงหน้าฝนเป็นฤดูที่ไข้หวัดใหญ่แพร่ระบาดมากที่สุด โดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ที่มีความรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ มีอาการอย่างไร อันตรายถึงชีวิตหรือไม่ และใครเป็นกลุ่มเสี่ยงบ้าง

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A เกิดจากอะไร

ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A เป็นสายพันธุ์ที่มีความอันตรายมากที่สุด เพราะสามารถกลายพันธุ์ได้ รวมทั้งยังแพร่ระบาดได้เป็นวงกว้าง ทำให้เชื้อมีความเป็นลูกผสม และมีฤทธิ์รุนแรง โดยไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มักจะแพร่ระบาดตามฤดูฝนและฤดูหนาว ซึ่งสามารถแบ่งแยกออกได้เป็น 2 สายพันธุ์ย่อยที่พบบ่อย คือ H1N1 และ H3N2

อาการไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A

สำหรับอาการของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A จะมีอาการไม่ต่างจากไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดทั่วไป แต่มีความรุนแรงกว่า ประกอบไปด้วย

  • มีไข้สูงกว่า 38 องศาฯ ขึ้นไป
  • มีอาการปวดศีรษะ
  • หนาวสั่น อ่อนเพลีย
  • มีน้ำมูกไหล คัดจมูก
  • เจ็บคอ มีอาการไอ
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ตามร่างกาย แขน ขา ตามตัว
  • ในเด็กเล็กมีอาการถ่ายเหลว คลื่นไส้ อาเจียน และชักจากไข้สูง

อาการจะเป็นมากใน 3 วันแรก หลังจากนั้นอาการจะเริ่มดีขึ้น โดยหายสนิทอาจใช้เวลา 10-14 วัน แต่ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป อาจใช้เวลานานกว่านี้ ซึ่งมีภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ ปอดอักเสบ รวมถึงภาวะแทรกซ้อนระบบอื่นๆ สามารถนำไปสู่สาเหตุการเสียชีวิตได้

ใครเป็นกลุ่มเสี่ยงไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A สำหรับคนทั่วไปที่มีร่างกายแข็งแรงดี จะไม่มีอาการร้ายแรงที่ส่งผลอันตรายถึงชีวิต แต่สำหรับกลุ่มเสี่ยงดังต่อไปนี้อาจส่งผลให้เกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรงที่อันตรายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

...

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock
  • เด็กเล็ก อายุ 6 เดือน – 5 ปี
  • ผู้สูงอายุ มากกว่า 65 ปี
  • สตรีมีครรภ์
  • ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด
  • ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน 100 กิโลกรัม
  • ผู้ป่วยโรคหัวใจ
  • ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือโรคหอบหืด
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
  • ผู้ป่วยโรคไต
  • ผู้ป่วยโรคหลอดสมอง หรือลมชัก
  • ผู้ที่ได้รับยากดภูมิ หรือสเตียรอยด์จากโรคภูมิคุ้มกันตัวเอง
  • ผู้ป่วยโรคตับแข็ง

วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ุ A

สำหรับวิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ุ A ก็ไม่แตกต่างจากการป้องกันไข้หวัดทั่วไป หรือโควิด-19 นั่นคือ

  • ไม่ควรคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด
  • ควรปิดปาก จมูก ด้วยหน้ากากอนามัย
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด และอากาศถ่ายเทไม่ดีเป็นเวลานานโดยไม่จำเป็น
  • หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ
  • ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น

นอกจากนี้ อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยในการป้องกันความรุนแรง และอาการแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ุ A ได้ก็คือการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่แต่เนิ่นๆ สามารถฉีดได้ตลอดทั้งปี ควรฉีดปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ซึ่งฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป

ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 2 ชนิด คือ

1. วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ชนิด 3 สายพันธุ์ ได้แก่

  • เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ตระกูล H1N1 และ H3N2
  • เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ตระกูล Yamagata หรือ Victoria

2. วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ชนิด 4 สายพันธุ์ ได้แก่

  • เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ตระกูล H1N1 และ H3N2
  • เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ตระกูล Yamagata, Victoria

ข้อมูลอ้างอิง : โรงพยาบาลเปาโล