• โรคกระเพาะอาหาร มีสาเหตุหลักมาจากการที่กรดในกระเพาะอาหารไปทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร ความเครียด การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา การสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การรับประทานยาบางชนิดเป็นประจำ และสาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori)
  • หากพบผู้ป่วยติดเชื้อเอชไพโลไร (H. Pylori) ภายในครอบครัวที่ใช้ชีวิตร่วมกัน หรือรับประทานอาหารสำรับเดียวกัน ควรเข้ารับการตรวจเชื้อ เนื่องจากมีโอกาสติดเชื้อซ้ำเช่นกัน
  • โรคกระเพาะอาหารต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง เพราะหากปล่อยจนเรื้อรัง อาจนำไปสู่โรคร้ายแรง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร

คนไทยรู้จักโรคกระเพาะอาหารมาเนิ่นนานว่าเกิดจากการรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา รับประทานอาหารรสจัด และปล่อยให้กระเพาะว่างจนกรดในกระเพาะกัดกระเพาะเป็นแผล มีอาการปวดท้อง เป็นๆ หายๆ ก่อนและหลังเวลาอาหาร และอาการจะทุเลาหากได้รับประทานอาหาร นอกจากนี้ยังเป็นโรคที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต จึงมักถูกละเลย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะซื้อยาลดกรดมารับประทานเอง เมื่ออาการดีขึ้นก็ถูกมองข้าม ซึ่งในความจริงแล้ว โรคกระเพาะอาหารต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง เพราะหากปล่อยจนเรื้อรัง อาจนำไปสู่โรคร้ายแรง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร

สาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร

โรคกระเพาะอาหาร มีสาเหตุหลักจากการเสียสมดุลของกรดภายในกระเพาะอาหาร ที่ไปทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร เนื่องจากการรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น อาหารไขมันสูงและอาหารรสจัด

รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น

  • มีความเครียด และความวิตกกังวลสูง
  • การอดอาหาร
  • รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา
  • การสูบบุหรี่
  • ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  • การรับประทานยาบางชนิดเป็นประจำ

...

และอีกสาเหตุสำคัญของโรคนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือ การติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) ซึ่งในประเทศไทยพบว่า ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร มักจะมีเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้อยู่ที่เยื่อบุกระเพาะอาหารมากถึง 90%

โรคกระเพาะอาหาร จากเชื้อเอชไพโลไร H. Pylori

เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) หรือเรียกสั้นๆ ว่า เอชไพโลไร (H. Pylori) เป็นแบคทีเรีย ที่อาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหาร มีการถ่ายทอดจากคนสู่คน จากการรับประทานอาหารและใช้อุปกรณ์การปรุงที่สกปรกปนเปื้อน เชื้อจะเข้าสู่กระเพาะอาหารและเลื่อนเข้าสู่เซลล์เยื่อบุผิวของกระเพาะอาหาร

ปกติแบคทีเรียหลายชนิดไม่สามารถอาศัยอยู่ในกระเพาะอาหารได้ เนื่องจากถูกกรดทำลาย แต่เชื้อเอชไพโลไร มีคุณสมบัติพิเศษ สามารถเกาะเกี่ยวตัวเองไว้กับเยื่อบุผิวกระเพาะอาหาร รวมถึงสามารถผลิตด่างขึ้นป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกกรดทำลาย และแทรกอยู่ระหว่างช่องเซลล์ของผิวเยื่อบุกระเพาะอาหาร ซึ่งทำให้เชื้อนี้สามารถอาศัยอยู่ในกระเพาะผู้ติดเชื้อนานนับ 10 ปี โดยไม่แสดงอาการใดๆ

แต่หากมีการติดเชื้อแบบเฉียบพลันหรือในปริมาณมาก จะมีอาการเหมือนกระเพาะอาหารอักเสบ โดยมีไข้ ปวดท้องคลื่นไส้ อาเจียน เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วหายไป ขณะที่ผู้รับเชื้อในปริมาณน้อยอาจไม่มีอาการใดๆ เลย แต่เชื้อจะฝังตัวอยู่ในกระเพาะอาหารไปเรื่อยๆ จนความแข็งแรงของผิวเยื่อบุลดลง ส่งผลให้กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง หรือเกิดแผลในกระเพาะอาหาร มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารได้ในที่สุด

อาการของการติดเชื้อเอชไพโลไร

  • มีอาการปวดท้องเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง บริเวณใต้ลิ้นปี่
  • อาการปวดมักสัมพันธ์กับมื้ออาหาร เช่น ก่อนหรือหลังอาหาร
  • มีอาการปวดแสบ จุกแน่น
  • อาจมีอาการคลื่นไส้
  • กรณีมีการอักเสบรุนแรง จนเกิดแผลในกระเพาะอาหาร หรือบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น อาจมีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้อุจจาระมีสีดำ อาเจียนเป็นเลือด หรือเป็นสาเหตุของภาวะโลหิตจาง

วิธีการตรวจหาเชื้อเอชไพโลไร

หลังจากแพทย์ทำการซักประวัติและตรวจร่างกาย อาจส่งตรวจเพิ่มเติมดังนี้

  • การส่องกล้อง เพื่อเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อในระบบทางเดินอาหาร โดยสอดอุปกรณ์ที่มีกล้องขนาดเล็กเข้าไปทางปาก เพื่อตรวจดูแผลและเยื่อบุกระเพาะอาหาร รวมถึงนำชิ้นเนื้อมาตรวจหาการติดเชื้อแบคทีเรีย
  • การตรวจอุจจาระ (Stool antigen test) โดยการเก็บตัวอย่างอุจจาระส่งตรวจภายใน 4 ชั่วโมง เพื่อหาซากเชื้อแบคทีเรีย หรือโปรตีนของเชื้อ ซึ่งมีความแม่นยำมากถึง 98%
  • การตรวจลมหายใจ (Urea breath test) โดยแพทย์จะให้ผู้ป่วยกินยูเรีย จากนั้นจึงเป่าเพื่อเก็บลมหายใจไปตรวจปริมาณแอมโมเนียที่เพิ่มขึ้นเทียบกับคนปกติ เนื่องจากเชื้อเอชไพโลไร สามารถเปลี่ยนยูเรียไปเป็นแอมโมเนียได้ หากพบว่ามีปริมาณแอมโมเนียเพิ่มขึ้นมาก แสดงว่ามีเชื้อเอชไพโลไรในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งวิธีการนี้มีความแม่นยำมากเช่นกัน

การรักษาผู้ติดเชื้อเอชไพโลไร

เมื่อตรวจพบว่าผู้ป่วยติดเชื้อเอชไพโลไร แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะที่มีสูตรเฉพาะ เนื่องจากแบคทีเรียที่อยู่ในกระเพาะมีโอกาสดื้อยาสูง สูตรของยาปฏิชีวะมีความหลากหลาย ต้องใช้ร่วมกัน 2-3 ชนิด ซึ่งต้องรับประทานยาต่อเนื่อง 1-2 สัปดาห์ ตามความเหมาะของยาและผู้ป่วยแต่ละบุคคล

นอกจากนี้ หากพบผู้ป่วยติดเชื้อภายในครอบครัวที่ใช้ชีวิตร่วมกัน หรือรับประทานอาหารสำรับเดียวกัน ควรเข้ารับการตรวจเชื้อ เพื่อทำการรักษาไปพร้อมๆ กัน เพื่อป้องกันการกลับมาติดเชื้อซ้ำ

การป้องกันการติดเชื้อเอชไพโลไร

  • ล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนที่จะจัดเตรียมหรือรับประทานอาหาร
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่ไม่สะอาด รวมถึงอาหารที่ปรุงไม่สุก
  • ดูแลอุปกรณ์การทำอาหารและภาชนะให้สะอาดอยู่เสมอ
  • หากมีอาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร หรือเป็นโรคกระเพาะเรื้อรัง ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง รวมถึงการตรวจหาเชื้อเอชไพโลไรด้วย

...

แม้โรคกระเพาะอาหารจะเป็นโรคที่ไม่ทำอันตรายถึงชีวิต แต่การปล่อยทิ้งไว้จนกลายเป็นโรคกระเพาะอักเสบเรื้อรัง อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ดังนั้น หากเริ่มมีอาการปวดท้อง แสบท้อง แน่นเฟ้อที่รักษาไม่หายขาด โดยเฉพาะผู้มีความเสี่ยงที่ชอบรับประทานอาหารดิบ หรือมีบุคคลในครอบครัวเคยตรวจพบเชื้อเอชไพโลไร ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อ และเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธีให้หายขาด

บทความโดย นพ. เรวัฒน์ บุญอนุวัฒน์ อายุรแพทย์ด้านโรคระบบทางเดินอาหาร รพ.สมิติเวช สุขุมวิท