“มะเร็งลำไส้” คือหนึ่งในโรคร้ายที่พบว่ามีจำนวนคนไทยป่วยเพิ่มขึ้น 2.4 เท่าในรอบ 10 ปี โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และภาคกลาง มีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นโรคร้ายที่ เปเล นักฟุตบอลในตำนานป่วยหนักในขณะนี้ด้วย
ข้อมูลจากกรมการแพทย์เผยว่า ในประเทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรงเป็นอันดับ 3 ในเพศชาย และอันดับ 4 ในเพศหญิง ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 12,000 คน สาเหตุมาจากวิถีชีวิตของคนไทยที่เปลี่ยนแปลงไป
อาการของ มะเร็งลำไส้
อาการของมะเร็งลำไส้จะไม่มีอาการเฉพาะ แต่จะคล้ายกับอาการของโรคลำไส้ทั่วไป หากพบอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยต่อไป
- ท้องผูก สลับท้องเสียอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
- อุจจาระเป็นมูกเลือด เป็นเลือดสด หรือสีดำคล้ายสีถ่าน
- ปวดเบ่งเวลาถ่ายอุจจาระ
- ปวดท้องอย่างรุนแรง
- อาจมีคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย หรือซีดโดยไม่รู้สาเหตุ
- อาจคลำก้อนได้ในท้อง
ปัจจัยเสี่ยง มะเร็งลำไส้
...
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้มีหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น
- พันธุกรรม ทั้งชนิดพันธุกรรมที่ถ่ายทอดและพันธุกรรมที่ไม่ถ่ายทอด ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบของลำไส้ใหญ่หรือเกิดเป็นก้อนเนื้อโพลิบ (Polyp) ของลำไส้ใหญ่
- อาหาร บางการศึกษาวิจัยพบว่าการกินอาหารไขมันสูงหรืออาหารที่ขาดใยอาหารทำให้มีปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่มากกว่า เช่น การกินเนื้อแดงและเนื้อแปรรูปเป็นประจำ รวมถึงอาหารปิ้งย่าง รมควัน ก็ทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงด้วย
- การขาดสารอาหารบางชนิดอาจเป็นปัจจัยให้เกิดมะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้สูงกว่าผู้ป่วยได้รับสารอาหารครบถ้วน
- การรับประทานผัก ผลไม้ ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ เมื่อเทียบกับการรับประทานกลุ่มอื่น เพราะมีกากใยจำนวนมาก
- การควบคุมน้ำหนักและการออกกำลังกายที่พอเหมาะ อาจลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ระดับหนึ่ง
- การดื่มสุราหรือเบียร์ อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
- การสูบบุหรี่ ก็อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้เช่นกัน
วิธีการรักษามะเร็งลำไส้
การรักษามะเร็งลำไส้มี 3 วิธีหลักที่สำคัญได้แก่ การผ่าตัด รังสีรักษา และเคมีบำบัด
- การผ่าตัด การรักษาหลักของมะเร็งลำไส้คือ การผ่าตัด เอาลำไส้ส่วนที่เป็นโรคและต่อมน้ำเหลืองออกไป ในบางครั้งถ้าเป็นมะเร็งที่ลุกลามมาก หรือมะเร็งของลำไส้ใหญ่ส่วนปลายที่อยู่ติดกับทวารหนัก การผ่าตัดอาจมีความจำเป็นต้องทำทวารเทียมเอาปลายลำไส้ส่วนที่เหลืออยู่เปิดออกทางหน้าท้องเป็นทางให้อุจจาระออก
- รังสีรักษา เป็นการรักษาร่วมกับการผ่าตัด อาจฉายรังสีก่อนหรือหลังการผ่าตัด ทั้งนี้ขึ้นกับข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เป็นรายๆ ไป โดยแพทย์จะประเมินจากลักษณะการลุกลามของก้อนมะเร็งและโอกาสการแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลือง โดยทั่วไป การฉายรังสีรักษามักใช้ระยะเวลาประมาณ 5-6 สัปดาห์ โดยฉายวันละ 1 ครั้ง ฉายติดต่อกัน 5 วันใน 1 สัปดาห์ หรือหยุดตามวันราชการและวันเสาร์-อาทิตย์ เป็นต้น
- เคมีบำบัด คือการให้ยาสารเคมี ซึ่งอาจให้ก่อนการผ่าตัดและ/หรือหลังผ่าตัดร่วมกับรังสีรักษาหรือไม่ก็ได้ การใช้เคมีบำบัดก็จะขึ้นกับข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ไม่จำเป็นต้องให้ในผู้ป่วยทุกราย แพทย์จะพิจารณาเป็นรายๆ ไป
อย่างไรก็ตาม มะเร็งลำไส้ สามารถป้องกันได้ด้วยการตรวจคัดกรองมะเร็งในระยะเริ่มแรก เพื่อให้การรักษาได้ผลดีและมีโอกาสหายจากโรคสูง โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรรับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงโดยการตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระปีละครั้ง หากพบอาการผิดปกติควรได้รับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ กรณีพบติ่งเนื้อหรือความผิดปกติในลำไส้ใหญ่ แพทย์จะทำการตัดชิ้นเนื้อบริเวณดังกล่าวเพื่อวินิจฉัยต่อไป
ข้อมูลอ้างอิง: คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล