หลังจากที่ได้รู้จักภาวะกระดูกพรุน และขั้นตอนการตรวจความหนาแน่นของกระดูกกันไปแล้ว “ศุกร์สุขภาพ” สัปดาห์นี้ยังมีเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับการตรวจวัดมวลกระดูกกันต่อ
ใครที่ควรตรวจความหนาแน่นของกระดูก
1. ผู้หญิงอายุ 65 ปีขึ้นไป และผู้ชายอายุ 70 ปีขึ้นไป
2. ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนก่อนอายุ 45 ปี รวมทั้งผู้ที่ตัดรังไข่ออกทั้งสองข้าง
3. ผู้หญิงที่มีภาวะฮอร์โมนเอสโทรเจนต่ำต่อเนื่องนานกว่า 1 ปี ก่อนเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ซึ่งพบได้ในผู้ป่วยที่ได้รับยาลดระดับฮอร์โมนเพศ หรือมีการกดการทำงานของต่อมใต้สมอง เช่น ผู้ป่วยโรคเรื้อรังทางอายุรกรรมหรือผู้ที่ออกกำลังกายอย่างหนักเป็นเวลานาน เป็นต้น ทั้งนี้ไม่รวมผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
4. ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีอายุน้อยกว่า 65 ปี หรือผู้ชายที่มีอายุน้อยกว่า 70 ปี ที่มีความเสี่ยงข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
4.1 ได้รับกลูโคคอร์ติคอยด์ ขนาดเทียบเท่าหรือมากกว่าเพรดนิโซโลน 5 มก./วัน ต่อเนื่องกัน
ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป
4.2 มีบิดาหรือมารดาที่มีประวัติกระดูกสะโพกหักจากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง มีดัชนีมวลกาย
น้อยกว่า 20 กก./ตร.ม.
4.3 มีส่วนสูงลดลงตั้งแต่ 4 ซม.ขึ้นไป เมื่อเทียบกับประวัติส่วนสูงที่มากที่สุดของผู้ป่วย หรือ 2
ซม.ขึ้นไปจากบันทึกการวัดส่วนสูง 2 ครั้ง
4.4 ผู้หญิงที่ได้รับการรักษาด้วย aromatase inhibitor หรือผู้ชายที่ได้รับการรักษาด้วยการลด
ฮอร์โมนแอนโดรเจน
...
4.5 ภาพรังสีแสดงลักษณะ osteopenia หรือกระดูกสันหลังผิดรูปจากการหักของกระดูกสันหลัง
4.6 มีประวัติกระดูกหักที่เกิดจากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง
5. ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนทุกรายก่อนเริ่มยารักษาโรคกระดูกพรุน และติดตามผลที่ 1–2 ปีหลังการรักษา
การป้องกันภาวะกระดูกพรุน
กิจกรรมทางกาย
การที่มีกิจกรรมทางกายน้อยมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคกระดูกพรุน และการเพิ่มกิจกรรมทางกายมีบทบาทช่วยในการป้องกันโรคกระดูกพรุน ซึ่งผลของกิจกรรมทางกายที่ทำเป็นประจำในการทำงาน และการเดินทางที่ทำให้เกิดความเหนื่อยระดับปานกลาง เช่น การยกของหนัก การเดิน การปั่นจักรยาน เป็นต้น พบว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความหนาแน่นของกระดูก
แคลเซียม
แคลเซียมเป็นส่วนประกอบของโครงสร้างหลักของกระดูก การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมเพียงพอจึงมีส่วนช่วยให้กระดูกแข็งแรง และการขาดแคลเซียมจึงเป็นความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน
วิตามินดี
วิตามินดีมีมีบทบาทสำคัญต่อเมแทบอลิซึมต่อกระดูก โดยวิตามินดีจะกระตุ้นการดูดซึมของแคลเซียมที่ลำไส้ และกดการสลายกระดูก โดยการยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนพาราไทรอยด์ การที่ความหนาแน่นของกระดูกต่ำ อาจเกิดได้จากโรคกระดูกแข็งที่อ่อนและโค้งงอได้ (osteomalacia) อันเนื่องมาจากการขาดวิตามินดีอย่างรุนแรง ทำให้ไม่สามารถเติมแร่ธาตุในกระดูก ส่งผลให้ความหนาแน่นของกระดูกต่ำได้เช่นเดียวกับโรคกระดูกพรุน
การสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่มีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อกระดูก ผลทางอ้อม ได้แก่ คนที่สูบบุหรี่มักจะมีความเจริญอาหารลดลง มีความสัมพันธ์กับการมีระดับวิตามินดีต่ำ มีระดับคอร์ติซอลสูง ซึ่งจะลดการดูดซึมแคลเซียมที่ลำไส้ และการดูดแคลเซียมกลับที่ไต และเพิ่มภาวะเครียดของร่างกายที่เกิดจากความไม่สมดุลระหว่างการเกิดอนุมูลอิสระและการป้องกันอันตรายจากภาวะเครียดดังกล่าว
ส่วนผลทางตรงของบุหรี่ คือ นิโคติน ถึงแม้ว่านิโคตินในบุหรี่ปริมาณเล็กน้อยจะทำให้ osteoblast เพิ่มจำนวนขึ้น แต่นิโคตินในปริมาณมากจะทำให้เซลล์สร้างกระดูกมีจำนวนลดลง ผู้หญิงที่สูบบุหรี่มักจะหมดประจำเดือนเร็วกว่าผู้หญิงที่ไม่สูบได้ถึง 2 ปี ความเสี่ยงต่อกระดูกสะโพกหักจะสูงกว่าผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่ร้อยละ 17 และ 41 ที่อายุ 60 และ 70 ปี ตามลำดับ ทั้งนี้ยังพบว่าการเลิกสูบบุหรี่เป็นเวลา 10 ปี จะช่วยลดความเสี่ยงนี้ลงร้อยละ 30
การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ผลของการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เล็กน้อยต่อกระดูกนั้นยังไม่มีความชัดเจน แต่ผู้หญิงที่ดื่ม ตั้งแต่ 2 หน่วยของแอลกอฮอล์ต่อวันขึ้นไป (ปริมาณ 1 หน่วยของแอลกอฮอล์เท่ากับ 8-10 กรัมของแอลกอฮอล์ ซึ่งเทียบเท่ากับเบียร์ 285 มล. สุรา 30 มล. ไวน์ 120 มล. หรือเอเพอริทิฟ (aperitif) 60 มล.) จะมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนเป็น 1.63 เท่าของผู้หญิงที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
...
กรณีที่มีโรคประจำตัวที่มีผลต่อกระดูกควรติดตามการรักษา และปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์
@@@@@@
แหล่งข้อมูล
รศ. พญ.ชนิกา ศรีธรา สาขาเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล