Highlight :
- การปรับพฤติกรรมการ "นอนหลับ" ให้ถูกวิธี จะช่วยทำให้ลำไส้ย่อยอาหารได้ดีขึ้น สามารถป้องกันไม่ให้เป็นโรคอ้วนได้ เพราะลำไส้สามารถย่อยอาหารได้อย่างเต็มที่ จนไม่เหลืออาหารตกค้างในกระเพาะ ที่เป็นสาเหตุของโรคอ้วน
- ไม่ควรดูโทรทัศน์ เล่นคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน เพราะแสงจากเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้จะเข้าตา มีผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะลำไส้จะทำงานได้เฉื่อยลง
- เวลาทองของลำไส้ คือ 24:00 น. เป็นช่วงเวลาที่ลำไส้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นจึงควรนอนหลับให้สนิทในช่วงเวลา 24:00 น.
Lady MIRROR เคยมั้ยคะที่ตื่นมาแล้วท้องป่อง เหมือนอาหารไม่ย่อย จนเอวหนาไขมันพอกพูน สุดท้ายโรคอ้วนจะตามตา นั่นเป็นเพราะระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควรในช่วงเวลากลางคืน การนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพ จะส่งผลระบบย่อยอาหารทำงานได้เต็มที่ ทำให้ไม่เกิดโรคอ้วนและยังส่งผลให้รู้สึกดีในช่วงเวลาตอนเช้าด้วย MIRROR อยากชวนสาวๆ ลองหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนหลับ เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นมาฝากกันค่ะ
โดยหลักสำคัญของการปฏิบัติตัวก็คือการไม่ต้องทำอะไรเลย ด้วยการที่เราไปเปิดสวิตช์ "ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก" ที่มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของลำไส้ จะทำให้ย่อยอาหารได้ดีขึ้นในระหว่างที่เรากำลังนอนหลับอยู่ แต่สิ่งที่ต้องทำคือ ทำให้นอนหลับได้อย่างมีความสุข ซึ่งมีเทคนิคนอนหลับช่วยระบบย่อยอาหารดังนี้
4 เทคนิคนอนหลับช่วยระบบย่อยอาหารก่อนนอน เพื่อให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น
...
1. แช่น้ำร้อนที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียล
การแช่น้ำร้อนก็ช่วยในการ "นอนหลับ" ได้ คือก่อนนอนเราควรแช่น้ำร้อนอุณหภูมิพอเหมาะคือประมาณ 40 องศาเซลเซียล โดยใช้เวลาแช่ประมาณ 15 นาที เมื่อเลือดไหลเวียนดีแล้ว เราจะผ่อนคลาย ร่างกายเข้าสู่โหมดพักผ่อน ทำให้หลับสนิท ระหว่างที่หลับลำไส้จะทำงานเต็มที่ แต่ถ้าน้ำร้อนจัดๆ อย่างออนเซ็นหรืออาบน้ำฝักบัว จะยิ่งไปกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติก จึงไม่ควรทำในช่วงเวลากลางคืน ถ้าสาวๆ คนไหนไม่มีอ่างอาบน้ำที่บ้าน ก็ควรอาบน้ำจากฝักบัวแทนแต่อุณหภูมิต้อง 40 องศาเซลเซียล โดยอาจใช้เวลานานขึ้นจากการอาบน้ำปกติค่ะ
2. กำหนดลมหายใจเข้าออก 4 : 8
พักผ่อนด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าออก 4 : 8 ด้วยการสูดหายใจเข้าทางจมูก นับ 1-4 ในใจ แล้วหายใจออกทางปาก นับในใจเพิ่มอีก 1 เท่า เป็น 1-8 หลักการของวิธีนี้คือ ควรปล่อยลมหายใจออกอย่างช้าๆ และยาวๆ ทำวิธีนี้ซ้ำ 10 ครั้ง เพื่อให้การทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเทติกมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้เราได้พักผ่อนทั้งกายและใจอย่างเต็มที่ ส่งผลให้กล้ามเนื้อทางเดินอาหารหดและยืดตัวได้ดีขึ้นด้วย
3. ควรอยู่เฉยๆ ก่อนนอน 30 นาที
ก่อนเข้านอนไม่ควรดูโทรทัศน์ เล่นคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน เพราะแสงจากเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้จะเข้าตา ทำให้ระบบประสาทซิมพาเทติกทำงานขึ้นมากะทันหัน แล้วถ้าเกิดนอนหลับไปเฉยๆ ในสภาพนี้ จะส่งผลต่อระบบประสาทพาราซิมพาเทติกทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร ลำไส้ทำงานได้เฉื่อยลง เราควรดมกลิ่นหอมๆ จากการจุดเทียนอะโรมา ฟังเพลงเบาๆ ให้จิตใจผ่อนคลายมากกว่าการท่องโซเชียลก่อนนอน
4. เวลาทองของลำไส้คือการ "นอนหลับ"
เวลาทองของลำไส้คือ 24:00 น. หรือเวลาเที่ยงคืน คือเวลาที่ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกทำงานสูงที่สุด เป็นช่วงเวลาที่ลำไส้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นจึงควรนอนหลับให้สนิทในช่วงเวลา 24:00 น. เพื่อให้ลำไส้ทำงานได้อย่างเต็มที่ คนที่ชอบทำโน้นทำนี่อยู่จนดึกดื่น แล้วนอนดึกๆ อาจต้องปรับพฤติกรรมมาตื่นนอนตอนเช้า เพื่อที่จะได้เข้านอนเร็วในวันรุ่งขึ้นแทน
...
นี่คือประโยชน์ของการ "นอนหลับ" ที่มีผลต่อความอ้วนหรือโรคอ้วน ถ้าสาวๆ คนไหนมองข้ามเรื่องเหล่านี้ MIRROR ลองเปิดใจหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนหลับดู เพราะพฤติกรรมต่างๆ ล้วนแต่ส่งผลต่อสุขภาพ ความอ้วน โรคอ้วน หรือไขมันที่เอวห่วงยางก็เช่นกัน
อ่านบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับ "สุขภาพ" ได้ที่นี่