สาวๆ สายเฮลตี้ที่ชอบ "ออกกำลังกาย" เคยสังเกตไหมคะว่าการเล่น "โยคะ" กับการเล่น "พิลาทิส" มีความคล้ายคลึงกันมาก แต่จริงๆ แล้ว มันมีความแตกต่างกันที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้

Thairath Women จะพาสาวๆ ไปรู้จักการออกกำลังกายด้วยการเล่น "พิลาทิส" ให้มากขึ้น ว่าควรเล่นอย่างไรจึงจะถูกต้อง และมีท่าพิลาทิสแนะนำสำหรับคนที่อยาก "ลดพุง" มาฝากด้วยค่ะ อย่ารอช้า ตามมาดูกันเลย...

อยากแข็งแรงต้องเล่น "พิลาทิส"

พิลาทิส (Pilates) คือ หนึ่งในการออกกำลังกายที่มีประโยชน์หลายอย่าง ทั้งในแง่ของการเสริมสร้างความแข็งแรงแกนกลางลำตัว ด้านการผ่อนคลายจิตใจ ช่วยแก้อาการหลังแอ่น หลังค่อม และยังสามารถเล่นได้ทุกเพศทุกวัยตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงวัย หรือแม้แต่คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ 

นอกจากนี้ "พิลาทิส" ยังช่วยให้ผู้ออกกำลังกายมีบุคลิกภาพ และการเคลื่อนไหวที่สง่างามไปพร้อมๆ กับการมีสมดุลของร่างกายที่ดี และยังเป็นการออกกำลังกายที่มีความปลอดภัย เกิดการกระทบกระเทือนของร่างกายน้อยกว่าการออกกำลังกายแบบอื่นๆ การเคลื่อนไหวท่าทางต่างๆ ก็เน้นความนุ่มนวล และต่อเนื่องอย่างเป็นธรรมชาติ

...

พิลาทิส VS โยคะ

"พิลาทิส" และ "โยคะ" มีความแตกต่างกันตรงที่ "โยคะ" เป็นการออกกำลังกายที่ใช้เพียงเสื่อโยคะ ขณะที่ "พิลาทิส" จะเป็นการออกกำลังกายที่ใช้ทั้งเสื่อและอุปกรณ์พิเศษเพื่อการเล่นพิลาทิสโดยเฉพาะ และยังมีความแตกต่างกันในมุมอื่นๆ อีก คือ 

1. ต้นกำเนิดต่างกัน

Pilates : เริ่มมีในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดย Joseph Pilates มุ่งไปที่แกนกลางลำตัว รักษาสมดุลให้กระดูกสันหลัง
Yoga : เป็นศาสตร์ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ มากกว่า 5,000 ปี มีต้นกำเนิดที่ประเทศอินเดีย เน้นฝึกจิตใจ คลายเครียด

2. ความซับซ้อนต่างกัน

Pilates : เป็นระบบที่ซับซ้อน จะเน้นไปที่การทำท่าออกกำลังกายให้ถูกต้องตามหลักกายวิภาค
Yoga : ปรับสมดุลชีวิตและจิตใจ มากกว่าแค่การออกกำลังกาย

3. เน้นจุดต่างกัน

Pilates : เน้นไปที่การสร้างกล้ามเนื้อ ความแข็งแรงแกนกลาง และเสริมด้วยความยืดหยุ่น
Yoga : เน้นไปที่การสร้างความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อ

4. วิธีหายใจต่างกัน

Pilates : หายใจเข้าทางจมูก และหายใจออกทางปาก
Yoga : หายใจเข้าทางจมูก และหายใจออกทางจมูก

5. อุปกรณ์ต่างกัน

Pilates : ฝึกได้ทั้งบนเสื่อ บนเครื่องอุปกรณ์ บนผืนผ้า (เครื่องพิลาทีสจะช่วยให้เห็นกล้ามเนื้อชัดเจนขึ้น)
Yoga : ส่วนมากจะเล่นบนเสื่อโยคะเท่านั้น

พิลาทิส 3 ประเภท

1. พิลาทิสบนเสื่อ : เป็นท่าออกกำลังกายคล้ายโยคะ แต่เน้นท่าที่บริหารแกนกลางลำตัวและหน้าท้อง ฝึกเล่นเองได้ง่าย

2. พิลาทิสรีฟอร์มเมอร์ : เล่นกับอุปกรณ์สำหรับพิลาทิสโดยเฉพาะ เช่น เครื่องรีฟอร์มเมอร์ (Reformer), คาดิลแลค (Cadillac), เก้าอี้วุนดา (Wunda Chair) โดยอุปกรณ์จะใช้ในการดึงและยืด เพื่อต้านแรงโน้มถ่วงหรือให้ร่างกายได้ออกแรงตามแรงโน้มถ่วง ส่วนใหญ่ต้องไปเล่นที่ฟิตเนส

3. พิลาทิสฟลาย (Pilates fly) : เล่นกับอุปกรณ์ผืนผ้าที่ห้อยจากที่สูง โดยใช้ผ้าเป็นตัวยึดในการทำท่าต่างๆ เป็นการนำศาสตร์ของโยคะ พิลาทิส และยิมนาสติก ผสมผสานเข้าด้วยกัน ส่วนใหญ่ต้องไปฝึกเล่นที่ฟิตเนส

ประโยชน์ของ "พิลาทิส"

1. ช่วยพัฒนาบุคลิกภาพ

เสริมสร้างกล้ามเนื้อ เพิ่มสมดุลของร่างกาย การทรงตัว และการเคลื่อนไหวของข้อต่อต่างๆ ในร่างกาย ช่วยแก้อาการหลังแอ่น หลังค่อม หรือไหล่ห่อ จึงช่วยพัฒนาบุคลิกภาพให้ดีขึ้นได้ด้วย

...

2. ช่วยลดน้ำหนัก

การออกกำลังกายด้วย "พิลาทิส" อาจไม่ช่วยลดน้ำหนักได้โดยตรง แต่ช่วยได้ในทางอ้อม นั่นคือ จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง เพิ่มมัดกล้ามเนื้อ พอมีกล้ามเนื้อมากขึ้นก็จะช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้ดีขึ้นตามไปด้วย จึงมีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ดี หากต้องการลดน้ำหนักให้เห็นผลชัดเจน ก็ควรเล่นพิลาทิสควบคู่กับการควบคุมอาหารไปด้วย

3. ป้องกันการบาดเจ็บ

การเล่นพิลาทิสเป็นประจำ จะช่วยยืดหยุ่นส่วนต่างๆ และลดความตึงเกร็งของกล้ามเนื้อ ลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา หรือการเต้น

4. บรรเทาอาการปวดหลัง 

เนื่องจากการเล่นพิลาทิส เน้นท่าทางการออกกำลังเกี่ยวกับแกนกลางลำตัว ช่วงไหล่ บ่า หลัง เอว หน้าท้อง การบริหารด้วยท่าเหล่านี้บ่อยๆ จึงช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง และแก้อาการออฟฟิศซินโดรมได้ด้วย

5. แก้โรคข้ออักเสบ

การเล่นพิลาทิสมีประโยชน์กับผู้ที่ปัญหาสุขภาพอย่าง เช่น โรคข้ออักเสบ โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ อาการบาดเจ็บที่ข้อต่อ เพราะการเล่นพิลาทิสจะช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ จึงช่วยบรรเทาอาการต่างๆ เหล่านี้ได้ แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ และควรเล่นโดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอยู่เสมอ

...

3 ท่า "พิลาทิส" ลดพุง

1. ท่าควงขา (Corkscrew)

วิธีฝึก คือ เริ่มจากนอนราบกับเสื่อออกกำลังกาย แขนทั้งสองข้างวางแนบลำตัว ยกขาเหยียดตรงทำมุม 90 องศา เกร็งหน้าท้อง จากนั้นค่อยๆ หมุนขาไปด้านซ้าย วนเป็นวงกลมมาทางด้านขวา แล้วมาจบที่ท่าเริ่มต้น จากนั้นให้ทำสลับทิศทางกัน เริ่มหมุนขาจากทางด้านขวา หมุนวนมาด้านซ้าย แล้วจบที่ท่าเริ่มต้นอีกครั้ง ทำต่อเนื่อง 8-10 ครั้ง (ใช้ห่วงมาวางระหว่างขาหรือไม่ใช้ก็ได้)

2. ท่ายืดเหยียดขา (Double Leg Stretch)

วิธีฝึก คือ เริ่มต้นด้วยท่านอนราบกับเสื่อออกกำลังกาย ชันเข่าขึ้นมา แล้วดึงเข่าทั้งสองข้างเข้ามาหาอก เอื้อมมือมาแตะที่เข่าไว้ พร้อมกับยกศีรษะขึ้นมาเสมอเข่า จากนั้นปล่อยมือจากเข่า แล้ววาดขึ้นไปเหนือศีรษะ ให้แขนแนบหูไว้ พร้อมกับเหยียดขาขึ้นทำมุม 45 องศา (คล้ายทำท่าตัว V) จากนั้นลดขามาในท่าชันเข่า พร้อมวาดมือเป็นวงกลมมาจับที่ขาไว้เหมือนท่าเริ่มต้น ทำต่อเนื่อง 8-10 ครั้ง 

...

3. ท่าสะพานโค้ง (Shoulder Bridge)

วิธีฝึก คือ นอนหงายราบไปกับเสื่อออกกำลังกาย ชันเข่าขึ้นมา แขนทั้งสองข้างแนบไว้กับลำตัว จากนั้นยกลำตัวขึ้น โดยที่แขนและหัวไหล่ยังแนบกับพื้น แล้วเกร็งหน้าท้องไว้สักครู่ แล้วค่อยๆ วางลำตัวกลับสู่ท่าเริ่มต้น ทำต่อเนื่อง 8-10 ครั้ง

ติดตามอ่านเรื่องราวที่น่าสนใจและความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ "ผู้หญิง" กันต่อได้ที่ Thairath Women

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 

ที่มา : pobpadwefitnesssocietylovefitt