“สยามสแควร์” เป็นแหล่งวัยรุ่นที่ครองความนิยมไม่แผ่วมาทุกยุคทุกสมัย ปัจจุบันมีการปิดพื้นที่สยามสแควร์ซอย 7 เป็นวอล์กกิ้งสตรีท ให้วัยรุ่นหนุ่มสาวได้จัดกิจกรรมและโชว์ความสามารถทางดนตรี เฉพาะวันจันทร์ถึงพฤหัสบดี หลังบ่ายสามโมงเย็น

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของ “สยามสแควร์” ยังมีร้านรวงในตำนานที่อยู่คู่ย่านวัยรุ่นแห่งนี้มาหลายทศวรรษ หนึ่งในนั้นก็คือ ร้านอาหารไทยขนานแท้ “โกโก้” ที่สยามสแควร์ซอย 3 ซึ่งครองใจเด็กสยามมาทุกยุคต่อเนื่องยาวนานกว่า 30 ปี

“คุณชายตะลอนชิม” สัปดาห์นี้ “คุณชายแป๊ะ” พาไปชิมร้าน “KOKO” ของ “คุณก้อง-ก้องภพ เอื้อศิริทรัพย์” อายุ 31 ปี นักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง จบการศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และปริญญาโทจากอังกฤษ แถมยังเป็นเจ้าของร้านเสริมความงามครบวงจร “KIKI Beauty Space” ซึ่งมีแต่ดาราคนดังและนางงามมาใช้บริการกันคึกคัก เพราะเทคโนโลยีและฝีมือช่างคุณภาพคับแก้วจริงๆ

เดิมทีคุณก้องเป็นแฟนประจำของร้าน “โกโก้” มาตั้งแต่วัยรุ่น กระทั่งปี 2566 เจ้าของร้านในตำนานคิดอยากวางมือ คุณก้องจึงได้โอกาสเข้าสานต่อกิจการในฝัน เปลี่ยนชื่อให้ดูร่วมสมัยขึ้นเป็น “KOKO” แต่ยังคงใช้แม่ครัวพ่อครัวเก่าแก่ที่เคยสร้างตำนานทำให้ร้านนี้ติด 1 ใน 100 ร้านอาหารเชลล์ชวนชิมในทำเนียบของ “ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์”

...

เดินตรงเข้ามาในสยามสแควร์ซอย 3 เพียง 80 เมตร จะเห็นร้าน “KOKO” ตั้งอยู่ทางขวามือ บนอาคาร 1 คูหา เปิดให้บริการ 3 ชั้น โดยชั้น 3 เป็นพื้นที่สำหรับรองรับลูกค้ากลุ่มใหญ่ 10-12 คน เหมาะสำหรับการจัดเลี้ยงสังสรรค์

คุณก้องผู้มีผิวพรรณเปล่งประกายออร่า เชิญผมขึ้นไปนั่งชิมอาหารที่ชั้น 2 ตกแต่งไว้อย่างอบอุ่น ทั้งต้นไม้และไฟระย้า กระจกบานใหญ่มองเห็นผู้คนเดินผ่านไปมาที่ริมถนน พร้อมแนะนำอาหารซิกเนเจอร์ของร้าน คือ “เผือกทอด” ที่รับรองว่าใครได้ลองต้องติดใจในความอร่อย เผือกเนื้อแน่น ปั้นเป็นชิ้นรูปทรงรีชุบแป้ง ด้วยสูตรพิเศษของร้านที่ทำให้คงความกรอบไว้นาน ทานคู่กับน้ำจิ้มถั่วลิสงบดหยาบ ได้รสชาติความมันของเผือก ความกรุบกรอบของแป้งชั้นนอก รสชาติน้ำจิ้มหวานเผ็ดกำลังดี

เดิมทีร้านนี้โด่งดังเรื่องอาหารมังสวิรัติ จึงขอพาไปชิมเพื่อให้เข้ากับเทศกาลเจ แนะนำให้ลอง “ไก่กรอบผัดพริกสด” กินแล้วลืมไปเลยว่ากำลังทานอาหารเจ เพราะการผัดพริกสดกับตัวไก่กรอบเจนั้น มีความหอม ความกรอบของไก่เจ ทำให้ทานเล่นก็ดี ทานกับข้าวสวยก็อร่อย อาหารเจจานต่อมาคือ “ข้าวพริกเผาทะเล” วัตถุดิบที่ใช้เป็นโปรตีนเกษตรปรุงให้มีรสสัมผัสเหมือนกุ้ง เหมือนปูอัด ผัดกับข้าวผัดและพริกเผาได้รสชาติความอร่อย นอกจากนี้ยังมี “เส้นหมี่ต้มยำผัดแห้ง” เส้นหมี่ผัดคลุกกับรสชาติเปรี้ยวแซ่บของเครื่องต้มยำ และ “แขนงเห็ดหอมแดดเดียว” กลิ่นหอมจากการผัดด้วยไฟแรง บวกกับกลิ่นหอมของพริกชี้ฟ้า แขนงผัดร้อนๆกรอบถูกใจ เห็ดหอมเคี้ยวแล้วนึกว่าหมูแดดเดียว

...

อาหารเจสไตล์อีสานก็มี “ลาบไก่กรอบ” กลิ่นหอมข้าวคั่ว ปรุงรสด้วยพริกป่น มะนาว หอมแดงซอย คลุกเคล้าเข้ากับเห็ดหูหนูขาวดอกใหญ่ กินแล้วเต็มปากเต็มคำ ยกช้อนมาตัก “ต้มยำเห็ด” ซดแล้วเหมือนกินต้มยำกุ้งไม่มีผิดเพี้ยน ด้วยเทคนิคการปรุงรสชาติและกลิ่น ทำให้อาหารเจของ “KOKO” อร่อยไม่จำเจ สามารถทานได้ทุกเทศกาล

“KOKO” ยังรังสรรค์เมนูอาหารพื้นบ้านจากทั่วทุกภูมิภาคในเมืองไทย ให้กลายเป็นอาหารขึ้นชื่อของร้านอย่าง “ตำเส้นข้าวเปียกญวณ” ใช้ตัวเส้นส่งตรงจากภาคอีสาน นำมาแต่งรสชาติด้วยน้ำปลาร้าปรุงสุก, พริก, น้ำปลา คลุกเคล้ากับหมูยอและกุ้ง กลายเป็นเมนูยอดนิยมที่หลายคนประทับใจ จานถัดมา “ยำเส้นเล็กหมูกรอบ” เส้นเล็กเหนียวนุ่มปรุงรสกับน้ำปลาร้า เติมพริกเพิ่มรสชาติความเผ็ดร้อน แต่งหน้าด้วยหมูกรอบ ที่พิถีพิถันเลือกส่วนหมูสามชั้นมีไขมันน้อย ทำให้กินหมูกรอบได้อย่างสบายใจ หมูกรอบหั่นมาชิ้นใหญ่เต็มปากเต็มคำ หนังฟูกรอบ เคี้ยวแล้วได้อรรถรสในการกินอย่างยิ่ง

“ข้าวผัด KOKO” ได้แรงบันดาลใจจากข้าวผัดโบราณ โดยนำข้าวไปผัดกับไข่ ใส่ผักคะน้า, กุนเชียง, พริกสด ได้รสชาติกลมกล่อมครบทั้งหวานเค็มและเผ็ด เมนูเด็ดพลาดไม่ได้คือ “ข้าวขยำปูก้อน” ใช้เนื้อกรรเชียงปูก้อนใหญ่วางเรียงบนข้าวสวย มีกากหมูเจียว, พริกจินดาซอย, หอมแดงซอย ราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ด คลุกเคล้าเครื่องทั้งหมดให้เข้ากัน กลายเป็นข้าวขยำปู ยิ่งกินยิ่งเจริญอาหาร เนื้อปูหวาน เพิ่มความนัวด้วยน้ำจิ้มรสแซ่บกระชากใจ ได้รสสัมผัสหลากหลายในคำเดียว

...

คุณก้องเล่าว่า “ทุกวันนี้อาหารไทยเริ่มหายไปจากสยามสแควร์ ร้านส่วนใหญ่เป็นร้านมีชื่อของทั้งเกาหลีและญี่ปุ่น ทั้งที่นักท่องเที่ยวอยากทานอาหารไทย ร้านของเรามีเมนูหลากหลายครบทุกภาค แถมยังเพิ่มเมนูอาหารไทยที่ไม่สามารถหาทานที่ไหนได้ง่ายๆ รวมๆแล้วมีอาหารให้เลือกทานกว่า 300 รายการ เพื่อให้เหมาะกับการเป็นร้านอาหารสำหรับครอบครัว โดยยังคงอาหารเจและมังสวิรัติเอกลักษณ์สร้างชื่อของร้านเอาไว้ ทำอาหารเจให้หลากหลาย ทุกเมนูสามารถสั่งเป็นอาหารเจได้ทั้งหมด ไม่ใส่เนื้อสัตว์และผักที่มีกลิ่นฉุน”

...

“แม้จะเปลี่ยนเจ้าของ แต่ร้าน KOKO ยังคงรสชาติความเป็นอาหารไทยตามต้นตำรับ ไม่มีการปรับรสเพื่อเอาใจคนต่างชาติ เพราะนักท่องเที่ยวก็อยากสัมผัสกับรสชาติอาหารไทยที่แท้จริง โดยเฉพาะชาวเอเชียส่วนใหญ่มีความคุ้นชินกับอาหารรสเผ็ดเป็นอย่างดี ปัจจุบันมีลูกค้าชาวจีนเกิน 50% ของลูกค้าทั้งหมด มีชาวยุโรปทานอาหารมังสวิรัติ นอกจากนี้ ก็มีชาวญี่ปุ่นที่ชื่นชอบอาหารไทย ร้าน KOKO เป็นเหมือนตัวแทนของอาหารไทยต้นตำรับที่อยู่ใจกลางเมือง รวมเมนูดังจากทั่วทุกภูมิภาคมาอยู่ในที่นี้แห่งเดียว ได้ชิมอาหารหลากหลาย เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อนที่มาทานอาหารด้วยกัน สามารถเลือกทานอาหารได้ตามความต้องการ”

“เป้าหมายในการสานต่อร้าน “KOKO” เพื่อให้อาหารไทยเป็นจุดดึงดูดทั้งคนในประเทศและต่างประเทศ ทำให้คนรู้จักรสชาติอาหารแบบไทยขนานแท้ จากฝีมือทีมเชฟดั้งเดิมที่อยู่กับร้านนี้มา 30 ปี ที่ผ่านมา “KOKO” มีชื่อเสียงจากการบอกกันปากต่อปาก มาถึงยุคนี้เราไม่ได้ต้องการแค่ให้คนรู้จัก แต่อยากให้คนนึกถึงชื่อ “KOKO” เมื่อคิดถึงรสชาติของอาหารไทยพรีเมียมแบบดั้งเดิม ที่ทั้งอร่อยและสะอาด ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนสามารถทำให้ความเป็นไทยยั่งยืนได้ เพียงให้ความสำคัญในเรื่องความเป็นไทยมากขึ้น อย่างที่ผมพยายามรักษาเอกลักษณ์รสชาติอาหารไทยไว้ เพื่อให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ” คุณก้องกล่าวด้วยความมุ่งมั่น

สนนราคา เผือกทอด 180 บาท, เส้นหมี่ต้มยำผัดแห้ง 280 บาท, ข้าวพริกเผาทะเล 280 บาท, ลาบไก่กรอบ 200 บาท, แขนงเห็ดหอมแดดเดียว 280 บาท, ต้มยำเห็ด 200 บาท, ไก่กรอบ 140 บาท, ข้าวผัดโกโก้ 280 บาท, ยำเส้นเล็กหมูกรอบ 260 บาท, ตำเส้นข้าวเปียกญวณ 390 บาท และข้าวขยำปูก้อน 690 บาท ร้าน “KOKO” เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00-23.00 น. โทรศัพท์ 08–2544–4145 หรือ Facebook : KOKO SIAM 1996 สั่งดีลิเวอรีผ่าน LINE MAN และ Grab Food ค้นหาคำว่า KOKO.

คุณชายแป๊ะ

คลิกอ่านคอลัมน์ “คุณชายตะลอนชิม” เพิ่มเติม