รอยัล โอชา (Royal Osha) ร้านอาหารไทยในสไตล์ ไฟน์ ไดนิ่ง เปิด 8 เมนูพิเศษ ต้อนรับเหมันต์ฤดูที่กำลังจะมาถึง โดยเป็นเมนู Chef’s Table รังสรรค์อาหารไทยแบบโบราณ ผสานร่วมกับวัตถุดิบจากทั่วโลก วางเป้าหมายเพิ่มความสง่างาม และยกระดับอาหารไทย
ไทยรัฐออนไลน์ มีโอกาสได้สัมผัสประสบการณ์ทางอาหารไทย ไฟน์ ไดนิ่ง จากร้านรอยัล โอชา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในร้านที่ได้รับคำแนะนำจากมิชลินไกด์ถึง 2 ปีซ้อน นำโดย เชฟวิชิต มุกุระ เจ้าของมิชลินสตาร์ 1 ดาว และ เกวลิน พิทยานุกุล เชฟผู้วิจัยและพัฒนาเมนู นำเสนอเมนู Chef’s Table ใหม่ประจำฤดูหนาวนี้
ภายในห้องอาหาร ถูกตกแต่งในสไตล์ไทยโมเดิร์น ตกแต่งร้านด้วยสีโทนเข้มตัดกับสีทอง พร้อมด้วยการนำความเป็นตะวันออกผสมกับความเป็นตะวันตก ด้วยการใช้โคมแชน เดอเลียร์ รูปชฎาสีทอง อีกทั้งยังมีจิตรกรรมฝาผนังบริเวณชั้นลอยที่บอกเล่าเรื่องราวรามเกียรติ์
...
บริเวณโซน กลาส เฮาส์ สามารถมองเห็นการปรุงอาหารของเชฟวิชิตได้อย่างใกล้ชิด โดยภายในร้านมีทั้งโซนปกติ และห้องส่วนตัวแบบ Private
เชฟวิชิต มุกุระ เอ็กเซ็กคูทีฟเชฟ ร้านรอยัล โอชา กล่าวในขณะที่กำลังเสิร์ฟเมนูเรียกน้ำย่อย ถึงเมนูพิเศษต้อนรับฤดูหนาวในปีนี้ว่า ต้องการยกระดับอาหารไทยให้มีความสง่างาม สามารถเดินทางไปไกลยิ่งกว่าการเป็นสตรีทฟู้ด โดย 8 เมนูที่เสิร์ฟในวันนี้มีการนำสมุนไพรไทยเป็นตัวหลัก ผสมผสานกับวัตถุดิบที่มาจากทั่วทั้งโลก
เกวลิน พิทยานุกุล เชฟผู้วิจัยและพัฒนาเมนู อธิบายเสริมว่า ประเทศไทยมี 3 ฤดู ทำให้คนไทยคิดปรุงอาหารที่เหมาะสมกับฤดูกาลขึ้น ดังเช่น ฤดูหนาวจะนิยมรับประทานอาหารที่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ประเภทสมุนไพรเพื่อสุขภาพ เช่น หัวหอม, ขิง, กระชาย, ตะไคร้, มะนาว, มะขาม และขมิ้นชัน รอยัล โอชา จึงนำสมุนไพรเหล่านี้มาปรุง และให้ทุกคนได้ลิ้มรสชาติ
สำหรับเมนู Chef’s Table ของทางร้านรอยัล โอชาจะหมุนเวียนไปตามฤดูกาล เริ่มต้นกันที่เมนูเรียกน้ำย่อย ทองม้วนต้มยำกุ้งคาเวียร์
เมนูนี้ เชฟวิชิต อธิบายว่า เป็นความพยายามที่ต้องการเปลี่ยนแปลงเมนูดั้งเดิมของต้มยำกุ้งให้กลายเป็นแท่งทองม้วนกรอบพอดีคำ ด้านบนมีไข่ปลาคาเวียร์เบลูกา เนื้อข้างในสอดไส้กุ้งเต็มคำ มีมูสรสต้มยำ กลิ่นที่ได้ครบถ้วนทั้งข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด โดยเชฟแนะนำว่า ควรรับประทานให้หมดในคำเดียว ซึ่งทำให้ได้ความหอมอบอวลของสมุนไพร
จานต่อมาเป็น แตงโมหอยสังข์กับบีทรูทปลาแห้ง เมนูนี้ เกวลิน ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกุ้งแช่น้ำปลากับแตงโมปลาแห้ง โดยนำแตงโมแล้วท็อปด้วยหอยสังข์ญี่ปุ่น ด้านบนมีเกลือหิมาลัยเหยาะเล็กน้อย จากนั้นนำไปย่างจนเกิดเป็นกลิ่นหอม เสิร์ฟคู่น้ำจิ้มซีฟู้ด มีลูกเล่นด้วยการทำอินฟิวส์กับบีทรูท รังสรรค์เป็นกรานิต้าให้สีม่วงแดง รสจัดจ้าน นอกจากจะช่วยตัดเลี่ยนแล้วยังเพิ่มความสดชื่นได้ดี
...
เมนูที่สาม ยำสมุนไพรตะไคร้มะแขว่นส้มโอกับขาปู ถือเป็นจานซิกเนเจอร์ของเชฟวิชิต โดยนำมะแขว่นดองด้วยน้ำปลา นำมาคลุกเคล้ากับยำสมุนไพรไทย เช่น ตะไคร้ ต้นหอม หอมแดง ผักชีใบเลื่อย ผักแพรว และมีส้มโอเคล้าตัดรส รับประทานคู่กับขาปูทาราบะ ซึ่งผ่านการย่าง ทำให้ได้กลิ่นที่หอมจากการย่าง เคล้ากับรสชาติที่หวานของขาปู
...
ต่อมาเป็นเมนูที่สี่ ต้มลูกรอกฟัวกราส์ไก่ฝรั่งเศสหนังไก่กรอบ ซุปตุ๋นไก่น้ำใสรสเข้มข้น ซึ่งเชฟบอกว่า ซุปผ่านการเคี่ยวนานกว่า 12 ชั่วโมง เพื่อเป็นการดึงความหอมหวานจากธรรมชาติของกระดูกไก่ให้ออกมาลงสู่น้ำซุป
ส่วนลูกรอกถูกผสมด้วยฟัวกราส์แล้วค่อยนำไปนึ่ง ตบท้ายด้วยฟัวกราส์หั่นเต๋าที่ผ่านการย่างมาช่วยเติมเต็มรสชาติให้สมบูรณ์ขึ้น การจัดเสิร์ฟจะอยู่ในถ้วย แล้วค่อยๆ เทน้ำซุปร้อนลงไป เพิ่มความกรอบให้กับหนังไก่มากยิ่งขึ้น
ต่อกันที่เมนู แกงเหลืองปลาฮิราเมะ ยอดมะพร้าวอ่อนและก้านทูน กับขนมจีน ซึ่งถือเป็นเมนูที่มีความแปลก ด้านล่างสุดมีก้านทูน นำมาหั่นแฉลบบางๆ แล้วทำให้สุกกับน้ำแกงเหลือง เมนูนี้เสิร์ฟพร้อมกับปลาฮิราเมะที่มีเนื้อขาวใส รสชาติละมุนลิ้น กลมกล่อม อีกทั้งปลาฮิราเมะมักจะรับประทานอร่อยที่สุดในช่วงฤดูหนาว ด้านข้างมีขนมจีนวางเคียงกัน
...
เมนูหลักเป็นล็อบสเตอร์ผัดฉ่า แกะย่างจิ้มแจ่วข้าวหอมมะลิแดง โดยเป็นเมนูแบบ Surf & Turf ที่มีจานอาหารทะเลกับเนื้อแดงไว้ในจานเดียวกัน เริ่มต้นด้วยการหั่นเนื้อล็อบสเตอร์เข้าปากก่อน จากนั้นค่อยบรรเลงเนื้อแกะที่ถูกย่างด้วยสุกระดับมีเดียมแรร์ในภายหลัง
เมื่อจบของคาวแล้วก็ปิดท้ายด้วยของหวานเป็น เจลลี่ส้มฉุนผลไม้กับมะกรูดเชื่อม และ ถั่วแปบ ขนมครกข้าวเหนียวมะม่วง ขนมสอดไส้
ส่วนที่น่าสนใจของเมนูของหวานอยู่ตรงที่ การนำข้าวเหนียวมะม่วงมาอยู่ในรูปแบบของขนมครก โดยสูตรของเชฟวิชิตได้ทำให้เปลือกที่อยู่ด้านบนมีความกรอบกว่าขนมครกปกติ หยอดหน้าด้วยข้าวเหนียวมูน ครีมกะทิ ซึ่งเชฟวิชิตแนะนำว่า ควรกินให้หมดในคำเดียว เพราะจะได้รสสัมผัสของข้าวเหนียวมะม่วงแบบเต็มๆ คำ
สำหรับ เมนูพิเศษ ต้อนรับฤดูหนาว ของร้านรอยัล โอชา เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 - 31 มกราคม 2566 มีให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ แบบ 5 คอร์ส ราคา 5,000++ บาท, 8 คอร์ส ราคา 8,000++ บาท และ 12 คอร์ส ราคา 12,000++ บาท