แอ้ - อิ๊บ - เอ๋ย
เป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในการพลิกโฉมหน้าแฟชั่นเมืองไทยให้ก้าวสู่ยุคการสร้างสรรค์กรุงเทพฯให้เป็นเมืองแฟชั่นตลอดทศวรรษที่ผ่านมา สำหรับ สามพี่น้องตระกูลสุขะหุต ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Sretsis “อิ๊บ–คล้ายเดือน”, “เอ๋ย–พิมพ์ดาว” และ “แอ้–มทินา” พวกเธอไม่เพียงจะพิสูจน์ให้เห็นว่า พี่ไม่ได้มาเล่นๆ เพราะเอาจริงเอาจังกับการทำธุรกิจแฟชั่นจนประสบความสำเร็จเปรี้ยงปร้าง แต่ทั้ง 3 สาวยังลบล้างทฤษฎีเพื่อนพี่น้องทำธุรกิจร่วมกันมีแต่พังทุกราย!!
สมัยอยู่นิวยอร์กได้ข่าวว่าเป็นสามพี่น้องที่ซ่าส์สุดๆ
เอ๋ย : ไม่จริงเลย (เสียงสูง) พวกเราตั้งใจเรียนกันนะคะ เป็นเด็กเรียนมาก เอ๋ยเรียนด้านบริหารคอมพิวเตอร์ที่อังกฤษมาก่อน แต่ไม่ชอบ เลยขอคุณแม่ย้ายมาเรียนแฟชั่นดีไซน์ที่นิวยอร์ก พอได้เรียนแฟชั่นรู้สึก ว่าโอ้โห!! มีความสุขมากได้เรียนวาดรูป เรียนทำแพตเทิร์น เรียนเย็บผ้า ได้เรียนดีไซน์คอนเซปต์ การบ้านคือไปเดินมิวเซียม หรือไม่ก็เดินห้างสรรพสินค้าไฮเอนด์ และทำเป็นช็อปปิ้งรีพอร์ต เราได้อยู่กับงานศิลปะงานดีไซน์ทุกวัน รู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ค้นหามานาน
...
พี่อิ๊บ : อิ๊บเรียนจบด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และไปเรียนต่อด้านแมกกาซีน พับลิชชิ่ง ที่เอ็นวายยู นิวยอร์ก
น้องแอ้ : ตอนแรกแอ้เรียนด้านโปรดักส์ดีไซน์ ที่พาร์สันส สคูลฯ อยากทำของเล่นเด็ก และเฟอร์นิเจอร์ แต่มาค้นพบตัวเองว่าอยากทำเครื่องประดับมากกว่า เลยขอคุณแม่ย้ายไปเรียนออกแบบเครื่องประดับ ที่เซ็นทรัล เซนต์ มาร์ตินส์ อังกฤษ และได้มาร่วมกับพี่ๆทำแบรนด์จิวเวลรี่ดีไซน์ “มทินา”
เอ๋ย : รู้สึกว่าโลกมันเปิดกว้างสำหรับเราในทุกเรื่อง ไม่เฉพาะเรื่องแฟชั่น แต่รวมถึงมุมมองการใช้ชีวิต เอ๋ยไม่ได้ชอบแฟชั่นเหมือนเด็กผู้หญิงคนอื่น ที่ชอบแต่งตัวชอบช็อปปิ้ง ก็เลยอยากเรียนแฟชั่น แต่เอ๋ยอยากเรียนแฟชั่นเพราะแฟชั่นเป็นมุมมองสะท้อนถึงยุคสมัย ถึงวิถีชีวิตของคน ถึงวัฒนธรรม การทำเสื้อผ้าสำหรับเอ๋ยคือการนำดีไซน์มาสร้างความสุขที่สัมผัสได้จริงในชีวิตประจำวัน ตอนเด็กเราอาจจะไม่ชัดเจนขนาดนี้ แต่นิวยอร์กเป็นเมืองที่หล่อหลอมให้เห็นมุมมองตรงนี้ พัฒนาสกิลของเราในการออกแบบ นิวยอร์กเป็นศูนย์กลางของศิลปะจริงๆ เป็นเมืองที่มีพลังมาก ทำให้เราอยากผลิตงานสร้างสรรค์ออกมาในแบบที่รู้สึกว่ามันจริงกับเรา
ทำไมไม่ทำงานแฟชั่นอยู่ที่นิวยอร์ก แต่เลือกกลับมาเปิดร้านในเมืองไทย
เอ๋ย : ตอนใกล้จบเรียนปี 3 ขึ้นปี 4 คุณแม่โทร.มาบอกว่ามีเพื่อนอยู่ที่ศูนย์การค้าเกษร กำลังรีโนเวทพื้นที่ใหม่ จะมีฟลอร์ที่เป็นดีไซเนอร์ไทยทั้งชั้นเลย ลูกอยากจะเปิดร้านเสื้อผ้าไหม ไปคิดมานะว่าอยากทำร้านแบบไหนชื่ออะไร แม่ให้เวลา 2 คืน เราเป็นเด็กเรียนแฟชั่นดีไซน์ ก็ตื่นเต้นมากอยากลองวิชาที่ร่ำเรียนมา ตอนหลังถึงรู้ว่าเป็นทริคของคุณแม่ที่โน้มน้าวให้ลูกกลับเมืองไทย กลัวลูกจะอยู่นิวยอร์กยาว
พี่อิ๊บ : หลังจากเรียนจบกลับเมืองไทย อิ๊บทำงานแมกกาซีนอยู่ได้ 3 เดือน คุณแม่ก็เรียกตัวให้มาช่วยน้อง ท่านอยากให้ลูกๆทำธุรกิจร่วมกัน ตั้งแต่เด็กจะสอนตลอดว่าพี่น้องต้องรักกัน พอถึงเวลาที่น้องอยากทำด้านแฟชั่น อิ๊บเรียนเรื่องบริหารมาก็น่าจะมาช่วยน้องได้
จริงไหมคะ คุณแม่คือแรงผลักดันสำคัญที่อยู่เบื้องหลัง SRETSIS
พี่อิ๊บ : จริงที่สุด!! คุณแม่ทำธุรกิจหลายอย่าง ทำเรียลเอสเตท และทำธุรกิจ เทเลคอม เกี่ยวกับการติดตั้งโทรศัพท์ แต่คุณแม่ก็ให้อิสระลูกๆในการเลือกเรียนเต็มที่ ไม่เคยบังคับว่าจบกลับมาต้องช่วยธุรกิจคุณแม่ ขออย่างเดียวคือให้ลูกๆทำธุรกิจด้วยกันจะดีที่สุด ถ้าลูกรักแฟชั่น ก็สนับสนุนให้ทำแฟชั่น ด้วยความที่คุณแม่ทำธุรกิจเรียลเอสเตท ตอนพวกเราเด็กๆท่านก็เคยวาดภาพว่าอยากให้อิ๊บเรียนสถาปัตย์ อยากให้เอ๋ยเรียนอินทิเรียดีไซน์ อยากให้แอ้เป็นวิศวกร แต่ถึงเวลาพวกเราไม่ได้ไปสายที่คุณแม่ต้องการ ท่านก็สนับสนุนเต็มที่ ทุกวันนี้ ท่านก็เป็นคนคุมโรงงานผลิตให้ทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องปวดหัวที่สุด คุณแม่เป็นคนบริหารจัดการคนเก่งมาก และเป็นคนไม่ยอมแพ้ ท่านบอกเสมอว่าต่อให้ทำดีไซน์ดีแค่ไหน แต่ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ทันเวลา ไม่สามารถผลิตสินค้าได้อย่างมีคุณภาพ ก็ไม่มีประโยชน์
...
เปิดคอลเลกชั่นแรกในชีวิตฮือฮาเลยไหม
เอ๋ย : คอลเลกชั่นแรกในชีวิตชื่อว่า Heart มีโอกาสเดินแฟชั่นโชว์ร่วมกับแอล แฟชั่น วีค เราเข้ามาในช่วงที่เหมาะ เพราะเมืองไทยยังไม่มีแฟชั่นแบบนี้ เราเป็น แบรนด์แรกๆที่เข้ามาเปลี่ยนทัศนคติการแต่งตัวของสาวไทยเป็นแบรนด์แรกๆที่พัฒนาเท็กซ์ไทล์ เป็นของตัวเอง มีการออกแบบ ลายผ้าเอง ยุคของเราถือเป็นโอกาสที่ดี เพราะคู่แข่งก็ยังน้อย
พี่อิ๊บ : ช่วงแรกการเติบโตของยอดขายอาจจะยังไม่ดี เพราะเสื้อผ้าของเรามีความเป็นผู้หญิงสูง ตัดเย็บด้วยลูกไม้ ผ้าชีฟองเยอะ ทุกคนจะคิดว่าเหมาะกับผู้ใหญ่ คนรุ่นใหม่อาจไม่เข้าใจ เราต้อง ทำให้ภาพของแบรนด์ชัดเจนขึ้นคาร์แรคเตอร์ของผู้หญิงแบบ SRETSIS ชัดเจนขึ้น ก็ใช้เวลาสักพักกว่าคนจะเข้าใจความเป็น SRETSIS
ภาพในฝันกับการทำธุรกิจแฟชั่นจริงๆแตกต่างกันไหม
เอ๋ย : ตอนนั้นเป็นยุคที่เมืองไทยกำลังโปรโมตกรุงเทพฯเป็นเมืองแฟชั่น เป็นยุคที่รัฐบาลให้การสนับสนุนดีไซเนอร์รุ่นใหม่ไปโรดโชว์งานเทรดแฟร์ใหญ่ๆที่ต่างประเทศ ทั้งมิลาน, ปารีส และซิดนีย์ หลังจาก 3 ปีที่เปิดร้าน ทุกอย่างวิ่งไปเร็วมาก จากตอนแรกที่คิดว่าทำร้านกันทำเสื้อผ้ากัน ก็ต้องเรียนรู้ระบบการทำงานและปฏิทินของแฟชั่นโลกทั้งหมด ซีซั่นนี้ต้องขายเมื่อไหร่เซลล์แมททิเรียลต้องเตรียมอะไรบ้าง โพสต์โพรดักชั่นเสร็จแล้ว ต้องทำพีอาร์ยังไง ต้องสื่อสารกับลูกค้ายังไง ก็ได้เรียนรู้หมด อุปสรรคใหญ่คือการทำให้คนเข้าใจสไตล์เสื้อผ้าของเรา ตอนเราอยู่นิวยอร์กเสื้อผ้าของเราเป็นที่ยอมรับได้ง่ายมาก คนที่นั่นมีกำลังซื้อและชื่นชมงานดีไซน์ของเรา แต่ที่เมืองไทยจะถามว่าใส่ยังไงใส่ไปไหน ใส่ได้เฉพาะงานแต่งงานหรือเปล่า ทำไมราคาสูงจัง ไม่ใช่แบรนด์นอกนะ อันนี้เราก็ต้องปรับความคิดลูกค้าให้ได้ว่าเสื้อผ้าของเรามีคุณภาพสูงไม่แพ้แบรนด์นอก มีคุณค่าในตัวมันเอง ต้องทำแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับมีความน่าเชื่อถือ มีคุณภาพ และดีไซน์ของเรามีความออริจินัล เราไม่ใช่แบรนด์ไทยที่ก๊อบปี้เทรนด์เมืองนอก แล้วมาทำให้ราคาถูกกว่า
...
พี่อิ๊บ : ใช้เวลาประมาณ 5 ปี กว่าแบรนด์ของเราจะชัดเจน แต่คนไทยยอมรับเราจริงๆก็หลังจากเราไปวางขายในต่างประเทศตามเซเล็คช็อปดังๆของนิวยอร์ก, ห้างฯเมเยอร์ที่ออสเตรเลีย, ห้างฯฮาร์วีย์ นิโคลส์ ที่ลอนดอน กับดูไบ และห้างฯอิเซตัน ประเทศญี่ปุ่น เราต้องทำยังไงให้ตลาดเมืองไทยเข้าใจว่า SRETSIS มีราคาสูง เพราะเราใช้ของดีมีคุณภาพ เราออกแบบลายผ้าเองทุกอย่างไม่ต่างจากซุปเปอร์แบรนด์ต่างประเทศทำกัน
...
จาก 3 พี่น้องไม่ประสีประสา กลายมาเป็นแบรนด์ ดีไซเนอร์ไทยแข็งแกร่งที่สุดแบรนด์หนึ่งได้อย่างไร
พี่อิ๊บ : นอกจากเรื่องงานดีไซน์แล้ว เรายังให้ความสำคัญกับการพัฒนาหลังบ้าน เราไม่อยากเติบโตแบบไม่มีระบบ ทุกปี เราพยายามพัฒนาเรื่องโปรดักชั่น และการแมเนจเมนต์ ตอนแรกเน้นแค่จะทำคอลเลกชั่นยังไง แต่พอเราเริ่มโตก็ต้องดูองค์ประกอบในองค์กรมากขึ้น ไม่อยากให้มันเป็นธุรกิจครอบครัว พยายามพัฒนาให้เป็นระบบธุรกิจแฟชั่นจริงๆ ตอนแรกเริ่มจากพนักงาน 5 คน ช่างแพตเทิร์นและช่างเย็บอย่างละคน ทำเสื้อผ้ากันในโรงรถที่บ้าน จนตอนนี้มีพนักงาน 140 คน โดยเราเปิดโรงงานของตัวเองเพราะอยากควบคุมคุณภาพให้ดีที่สุด
เอ๋ย : ช่วงแรกๆไม่มีความกลัวเลย งานจะละเอียดมาก อยากทำสิ่งที่อยากทำจริงๆ ไม่ประนีประนอม แต่ปัจจุบันก็พยายามบาลานซ์ระหว่างความคิดสร้างสรรค์กับการตลาด และระบบการทำงานที่จะต้องผลิตให้ทันเวลา เราไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง อย่างคอลเลกชั่นล่าสุด “PORTRAITURES OF THE BELOVED TAMED” ซีซั่นออทั่ม/วินเทอร์ 2016 ก็นำเสนอในรูปแบบนิทรรศการแทนแฟชั่นโชว์ โดยเชิญคู่รักคนดัง 17 คู่ มาร่วมถ่ายทอดพลังแห่งความรัก ผ่านภาพศิลปะสไตล์พอร์เทรตโบราณยุคกลาง จัดแสดงที่เซ็นทรัลเอ็มบาสซี วันที่ 9-21 ก.ย.นี้
อายุ 14 ปีเต็ม SRETSIS อยากเติบโตเป็นผู้หญิงแบบไหน
พี่อิ๊บ : SRETSIS เป็นตัวแทนของผู้หญิงยุคใหม่ที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลก แต่ไม่ได้วิ่งตามเทรนด์ ตอนแรกที่เราทำแบรนด์ก็ดึงดูดเด็กยุคใหม่ที่เพิ่งเริ่มสร้างตัว ผ่านมา 14 ปี กลุ่มลูกค้าพวกนี้โตขึ้น แต่ก็ยังเป็นลูกค้าเราอยู่ ความท้าทายของเราคือทำยังไงที่จะรักษากลุ่มลูกค้าเหล่านี้ไว้ ขณะเดียวกัน ก็ต้องเข้าถึงกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ๆให้ได้ พร้อมกับรักษาตัวตนของแบรนด์ คนสมัยนี้มีพฤติกรรมการบริโภคไม่เหมือนเดิม ทุกอย่างเร็วมาก ทำยังไงที่ เราจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยที่ เปลี่ยนไป โดยไม่สูญเสียความเป็นตัวเรา รูปแบบการทำการตลาดก็เปลี่ยนไปจากเดิมที่โปรโมตทางหนังสือพิมพ์ และนิตยสาร ลูกค้ายุคนี้บริโภคแต่โซเชียลมิเดีย ก็ต้องบุกตลาดด้านโซเชียลมิเดียเป็นหลัก
เอ๋ย : เสื้อผ้าของ SRETSIS เป็นเสื้อผ้าที่ผู้หญิงใส่แล้วรู้สึกปิ๊ง มีความเชียร์ฟูล
และโพสิทีฟเข้ามาในชีวิตประจำวัน แฟชั่นไม่ใช่ความฟู่ฟ่าฟุ่มเฟือย แต่เป็นสิ่งจำเป็นของมนุษย์ หนึ่งในปัจจัยสี่ หน้าที่ของดีไซเนอร์คือการดีไซน์มันออกมาให้เหมาะกับวิถีชีวิตในยุคปัจจุบัน สิ่งที่ SRETSIS พยายามทำมาตลอดคือ การให้คำจำกัดความคำว่าลักชัวรี่ใหม่ ความลักชัวรี่ไม่ได้หมายถึงการใช้ของแบรนด์เนมแพงๆ แต่มันคือมุมมองความคิด หรือไอเดีย และอิสระอย่างที่เราอยากเป็น เสื้อผ้าของเรามีความเป็นกวี มีความโรแมนติก ขณะเดียวกัน ก็มีความขบถในตัวเอง ไอเดียที่ใส่ในเสื้อผ้าจะมีแฟนตาซีซ่อนอยู่เสมอ แต่สุดท้ายก็ต้องเป็นเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้จริง นี่คือตัวตนจริงๆของ SRETSIS.
ทีมข่าวหน้าสตรี