“คนเราโดนมาอย่างไรก็ไปทำกับคนอื่นอย่างนั้น...น้อยนักที่โดนมาอย่างไรแล้วคิดจะไม่ทำอย่างนั้นกับคนอื่นเด็ดขาด!” ....การโตมาบนเส้นทางขรุขระทางอารมณ์ ไม่ว่าจะจากพ่อแม่ ครู หรือเจ้านาย ถึงจุดหนึ่งคุณจะรู้สึกเหมือนมีหุ่นยนต์ตัวหนึ่งซ้อนอยู่ในร่างของคุณ
...เป็นหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมไว้ให้มีอำนาจเหนือความรู้สึกนึกคิดคุณ เคยโดนคนอื่นระบาย อารมณ์ใส่ไว้อย่างไรมีโอกาสก็ระบายอารมณ์ใส่คนอื่นอย่างนั้น เช่น เคยโดนเจ้านายทำร้ายจิตใจหรือโดนกดดันมาท่าไหนก็มีแนวโน้มจะทำกับผู้ใต้บังคับบัญชาท่านั้น อันที่จริงไม่จำเป็นที่จะต้องโดนเจ้านายเล่นงานเสมอไป
“การสืบทอดทายาทกระสือ...อาจมีต้นตอมาจากผู้ใหญ่ที่เลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออกก็ได้ แม้ไม่เจอเจ้านายแย่ๆเลยก็อาจทำตัวแย่ๆกับลูกน้อง เหมือนตอนตัวเองเป็นลูกน้องได้...พอลูกน้องหรือใครที่ด้อยกว่าทำเรื่องไม่สบอารมณ์ขึ้นมาแม้ใจคุณจะไม่อยากด่าแต่หุ่นยนต์ข้างในมันก็จะทำงาน
...สั่งให้คุณทำตาปูดโปน บังคับให้คุณอ้าปากกว้างๆ...แยกเขี้ยว ล้งเล้ง ด่าเช็ดแบบอัตโนมัติ เช่น เคยโดนทำร้ายจิตใจ หรือถ้าคุณเป็นฝ่ายผิด แม้ใจคุณจะรู้สึกผิดและเสียใจ แต่หุ่นยนต์ข้างในมันจะชิงพื้นที่ทางอารมณ์สร้างตัวตนด้านๆขึ้นมา ทำปากแข็งหาเรื่องคน โยนบาปให้แพะตัวน้อยๆรับผิดไปแทน”
...
ถ้ารู้ตัวว่ามีหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมไว้ให้เป็นเจ้านายผีๆ เพี้ยนๆ...อย่าอ้างกับตัวเองว่าไม่รู้จะทำยังไงในเมื่อมันกำหัวใจคุณไว้อย่างนี้ ที่ถูกคือ...คุณต้องตกลงกับตัวเองว่าจะไม่ปล่อยให้มันยืนถ่างขาคร่อมหัวคุณไปอย่างนั้น ต้องเชื่อมั่นว่าถ้าคิดสู้ในที่สุดคุณจะชนะ ต้องมองว่าถ้าพยายามใส่โปรแกรมใหม่เข้าไปวันละนิด
พอเดือนปีผ่านไป ในที่สุดคุณจะคิดต่างไปเป็นคนละคน
เริ่มต้นจากอะไรที่ยากน้อยๆ เช่น เรื่องหยุมหยิม ผิดเล็กผิดน้อยของลูกน้อง แค่ตินิดติหน่อยด้วยเสียงเย็นๆก็พอไม่ต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า ฟาดงวงฟาดงาใส่มันทุกเรื่องราวกับกลัวเขาจะกลายเป็นผู้ก่อการร้ายถ้าไม่ด่า...เมื่อใส่โปรแกรมง่ายๆได้ ก็เขยิบมาใส่โปรแกรมยากขึ้นเรื่อยๆ เช่น เรื่องที่ตัวเองผิด ก็รู้จักรับผิด
เพื่อมีชัยอยู่เหนืออัตตาของหุ่นยนต์ข้างใน...แรกๆคุณจะพบอาถรรพณ์ของอัตตา ที่ห้ามไม่ให้แตะต้องมัน กะเกณฑ์ให้นึกอยากถวายหัวปกป้องมัน...แต่เมื่อทำได้ครั้งหนึ่งคุณจะรู้สึกเป็นอิสระจากมันอย่างประหลาด แล้วเกิดความติดใจ อยากเป็นอิสระจากมันมากขึ้น รู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นอักโขมโหฬาร
เช่น ที่นึกว่าขอโทษลูกน้องเป็นเรื่องเสียฟอร์มก็กลายเป็นเห็นว่ามีวิธีขอโทษที่งามสง่าสบายๆ ยิ้มๆได้ นิ่งๆได้ ดูเป็นมนุษย์กว่าเคยด้วยซ้ำ... ประมาณนั้นแหละ หลักฐานว่าหุ่นข้างในเริ่มพัง
“คุณรื้อชีวิตตัวเองใหม่ได้ ไม่ใช่จะต้องจมปลักอยู่กับโปรแกรมเดิมๆตลอดไป!” Cr.เฟซบุ๊ก “Dungtrin” บันทึกบอกเล่าธรรมะเรื่องนี้เอาไว้ เมื่อเนิ่นนานมาแล้ว
“ครูบาศรีวิชัย”...นักบุญแห่งล้านนาไทย ชื่อที่ลูกหลานชาวเชียงใหม่รู้จักกันเป็นอย่างดี แม้เวลาจะผ่านไปเกือบร้อยปีแล้วก็ตาม ความเลื่อมใสศรัทธาไม่เคยลดลง ยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ ศรัทธายิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกที...ทุกที ดูได้จากการที่มีผู้คนมาสักการบูชา “อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย” อย่างไม่เคยขาดสาย
นับว่า...เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจชาวล้านนาที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งเลยทีเดียว เทศบาลตำบลสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ บันทึกไว้ว่า ตลอดชั่วชีวิตของครูบาศรีวิชัย ท่านสร้างความดีและสร้างสาธารณประโยชน์ต่อผู้คนมากมาย วีรกรรมของท่านยังเป็นที่จดจำอย่างไม่ลืมเลือน ทั้งยังเป็นแบบอย่างที่ดีให้ได้ยึดถือปฏิบัติกันสืบมา
...
“คุณงามความดีของท่านประเสริฐเลิศล้ำสมกับที่ใครๆต่างเรียกท่านว่านักบุญแห่งล้านนาไทย”
“อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย” ตั้งอยู่ตรงทางขึ้นดอยสุเทพ ก่อนถึงน้ำตกห้วยแก้ว ผู้ที่จะขึ้นไปดอยสุเทพมักจะแวะนมัสการเพื่อความเป็นสวัสดิมงคล ปูมประวัติบันทึกไว้ว่าครูบาศรีวิชัยเป็นผู้ริเริ่มชักชวนให้ประชาชนชาวเหนือร่วมแรงร่วมใจกันสร้างถนนจากเชิงดอยขึ้นไปสู่วัดพระบรม ธาตุดอยสุเทพ
โดยเริ่มลงมือ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2477 และแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ.2478 รวมระยะทาง 10 กิโลเมตร
เรื่องเล่าสืบต่อๆกันมาอย่างแจ่มชัดมีอีกว่า “ทางขึ้นดอยสุเทพ” จังหวัดเชียงใหม่ สาธารณ ประโยชน์ในครั้งนั้นสำเร็จด้วยพลังแห่งบารมี ศรัทธาจากผู้เลื่อมใสแต่ละวันไม่ต่ำกว่า 5,000 คน ด้วยจิตเปี่ยมกุศลต่างมาร่วมกิจกรรมโยธา...โดยจะนำขอบก (จอบ) เสียม ปุ้งกี๋ เครื่องมือในการขุดถม ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีเครื่องจักรกลทุ่นแรงใดๆ ที่สำคัญคือไม่ต้องใช้อามิสสินจ้างแต่อย่างใด บางราย...ก็ออกมาจากบ้านเป็นแรมเดือน สร้างกระท่อมเพิงพักตามรายทาง หุงหาอาหาร จ่ายแจกเพื่อนร่วมโยธาด้วยศรัทธาพลัง
...
และที่สำคัญ...แล้วเสร็จใช้เวลาเพียง 6 เดือนตามสัจวาจาที่ครูบาศรีวิชัยได้ตั้งไว้
หลายคนเชื่อศรัทธากันว่า...เพียงได้มาไหว้ “ครูบาศรีวิชัย” ก็เสมือนได้กราบสักการะพระบรม ธาตุเลยทีเดียว ด้วยว่าตลอดชีวิตท่านนั้นเดินทางไปหนใดด้วยแรงแห่งบุญบารมีจะได้รับศรัทธาสาธุชนในการบูรณปฏิสังขรณ์ โบราณสถานต่างๆ แห่งแผ่นดินล้านนา สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา...
นามธรรมนี้จึงสามารถจับต้องให้เป็นรูปธรรมได้ ส่วนจะยั่งยืนและยาวนานแค่ไหนนั้นก็แล้วแต่ ความเลื่อมใสและศรัทธา...บารมีพลังของครูบาศรีวิชัยได้รับความสำเร็จเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง
ใช่เฉพาะคนในเมืองเท่านั้น หากแต่คนตามป่าตามเขา ชนกลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่ ชาวแม้ว ชาวยาง ก็พากันมากราบนมัสการ...นับเป็นอริยสงฆ์ที่เข้าถึงประชาชน ได้รับแรงศรัทธาแม้ว่าจะละสังขารไปแล้ว...คนรุ่นหลังก็ไม่ยอมให้ตาย
“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.
รัก-ยม
คลิกอ่านคอลัมน์ “เหนือฟ้าใต้บาดาล” เพิ่มเติม
...