สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ ได้บันทึกเรื่องความเชื่อ “ชาวเขา” ในประเทศไทยว่า ปัจจุบันมีราว 5 แสนคน อาศัยตามรอยตะเข็บชายแดนไทย-พม่า ทางภาคเหนือลงไปถึงกาญจนบุรี เพชรบุรี

...กับส่วนหนึ่งติดชายแดน สปป.ลาว กระจายยังจังหวัดเพชรบูรณ์ อุทัยธานี กำแพงเพชร หากย้อนเวลาไปในอดีต...บรรพบุรุษเดิมทีอาศัยอยู่บนภูเขาสูงมณฑลยูนนานจีนตอนใต้ติดพม่า แต่อดีตที่นั่นสู้รบกันมาตลอด เช่น การปฏิวัติซินไฮ่ โค่นล้มราชวงศ์ชิงราชวงศ์สุดท้ายเมื่อ ค.ศ.1911 ก่อนสถาปนาเป็นสาธารณรัฐ

กับอีกครั้งในปี ค.ศ.1946 หรือ พ.ศ.2489 เหมา เจ๋อตง ประธานกลางพรรคคอมมิวนิสต์ เพื่อนเลิฟ เจียง ไคเชก ขุนพลคู่ใจ ดร.ซุน ยัดเซ็น ผู้นิยมปกครองระบอบประชาธิปไตย เกิดขัดแย้งอุดมการณ์การเมือง

เจียง ไคเชก จำต้องลี้ภัยไปตั้งประเทศใหม่ได้แก่ “ไต้หวัน” ทำให้โลกมี 2 จีน

กลับมาที่กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเขา...เริ่มแรกคนกลุ่มนี้ทำไร่ทำนาอยู่แถบภูเขาสูงยูนนาน โดยแยกเป็นชนเผ่ามากมายมีวัฒนธรรมที่คล้ายกันต่างกันตามวิถีตนเอง

...

และ...ด้วยเหตุที่จีนเกิดสงครามบ่อยครั้ง จึงผลักดันให้ชนเผ่ากะเหรี่ยงหรือปกาเกอะญอ ลาฮู หรือลาหู่มูเซอ อีก้อ อาข่า แม้วหรือม้ง เย้า ลีซอหรือลีซู

...จำต้องทิ้งที่นาพลัดที่ไร่ไปตายดาบหน้าเมื่อ 100-200 ปีก่อน

แผ่นดินแรกที่เลือกทำกินบนเขาสูงคือ “พม่า” ต่อมาถูกขับไสเพราะลำพังเจ้าของแผ่นดินก็มีปัญหาชนกลุ่มน้อยที่รบกันไม่รู้จบจนเดี๋ยวนี้ ถึงต้องเลือกแผ่นดินผืนใหม่ภาคเหนือของไทยเป็นหลัก

อีกกลุ่มเข้ามาทางแขวงไชยะบุรี สปป.ลาว สู่น่าน เพชรบูรณ์ พิษณุโลก กำแพงเพชร โค่นป่าทำกินจนดินเสื่อมสภาพจึงย้ายถิ่นฐานไม่รู้จบ ซ้ำร้าย...ปลูกพืชที่ถนัดคือ “ฝิ่น” สกัดเป็น “เฮโรอีน” สารเสพติดต้องห้ามที่คนทั้งโลกรังเกียจ...จนในหลวง ร.9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับเป็นธุระเปลี่ยน แปลงพฤติกรรมให้

โดยหยุดการทำลายป่าหันมาปลูกพืชผักเมืองหนาว พร้อมทรงหาตลาดเพื่อระบายผลผลิต และเลิกเบียดเบียนธรรมชาติเสียที

“ชาวเขา” จึงเป็นเช่น “ชาวเรา” อยู่กลางสังคมคุณภาพลูกหลานได้ศึกษากลับมาพัฒนาท้องถิ่นตนเอง...แต่น่าเสียใจตรงที่มีชาวเขานอกกรอบหันไปค้ายาเสพติดทรยศต่อแผ่นดินอาศัย

@@@@@@

จากวันเวลาที่ผ่าน...สังคมชนเผ่าแม้จะมีวิวัฒนาการตามสมัย แต่ต่างยังยึดมั่นรากเหง้าวัฒนธรรมตนเอง โดยบูชา “ผี” ทั้งผีป่า ผีเขา ผีเรือน ผีบรรพบุรุษเหนืออื่นใดในภพนี้ จึงไม่แปลก...ที่ทุกหมู่บ้านบนเขาสูงเสียดฟ้าปานใด จะต้องมีผู้อาวุโสสืบทอดฐานะ “หมอผี” ประจำเผ่าพันธุ์ ซึ่งได้จากผู้มากมีประสบการณ์วิชาอาคม

...สามารถปัดเป่าสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับชุมชนได้

ที่น่าเชิดชูคือการตกผลึกรักษาวัฒนธรรมประเพณี แม้สังคมยุคนี้จะถูกแทรกแซงมากแล้วก็ตาม อย่างหนุ่มสาวม้งจะนิยมโยนม้วนผ้าเกี้ยวกันวันขึ้นปีใหม่ อันจะนำไปสู่การครองคู่ประเพณีนิยม “แย้ ขู่ อ่า เผ่ว”...โล้ชิงช้าอาข่าช่วงปลายสิงหาคมถึงต้นกันยายน เพื่อขอผีป่าผีเรือนให้พืชไร่อุดมสมบูรณ์

อีกทั้งประเพณี “คะ ท๊อง อ่าเผ่ว” หมายถึง “ปีใหม่ลูกข่าง” ของอาข่าที่จะเปลี่ยนวิถีทำกินช่วงปลายปี ขณะมูเซอจะฉลองปีใหม่ด้วยเทศกาล “กินวอ” รวมญาติกินหมูดำประจำปี

...

ลาหู่หรือมูเซอรวมถึงลีซอหรือลีซูบางกลุ่ม มีความเชื่อเรื่องพิธีกรรมเซ่นบวงสรวงผีผู้คุ้มครองหมู่บ้าน แล้วรื่นเริงตามประสาโดยการเต้น “จะคึ” ตรงลานกลางหมู่บ้าน จะกระทำเมื่อเทศกาลกินวอ วันปีใหม่ พิธีกินข้าวใหม่ และรับผู้มาเยือน หรือขอบคุณต่อผลผลิตที่ได้ตามฤดูกาล

รวมถึง “พิธีเรียกขวัญ” ในยามที่มีผู้เจ็บไข้ได้ป่วยเหล่านี้ เป็นต้น

@@@@@@

ครั้งหนึ่ง...เมื่อเดือนสิงหาคม พุทธศักราช 2520 ที่ดอยมูเซอ ตรงศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ ชาวเขา จ.ตาก กิโลเมตรที่ 27 บนเทือกเขาถนนธงชัยห่างตัวเมือง 33 กิโลเมตร ที่นั่นเป็นแหล่งเกษตรกรรมทำกินของเหล่ามูเซอกับค้าขาย คนเดินทางผ่านบ้างเล็กๆน้อยๆ

ครั้งนั้น...มีทีมนักเขียนสารคดีท่องเที่ยวไปบันทึกเรื่องราวเพื่อจะนำมาเผยแพร่ โดยได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่และลูกจ้างมูเซอชื่อ “จะมู” บริการในช่วงตกเย็นเป็นการจัดเลี้ยงอาหารมื้อพิเศษให้มีต้มจืดหน่อไม้สด ลาบเนื้อกวางสดๆที่จะมูบอกว่าเพิ่งล่ามา...ได้กินกับข้าวเหนียวนึ่งปั้นจิ้มร้อนๆ

...

เสร็จแล้วเป็นธรรมเนียมมูเซอรับคนต่างถิ่น เชิญชวนทุกคนไปชมการเต้นจะคึกลางลานบ้านส้มป่อย ซึ่งมีผู้เฒ่ากับหนุ่มสาวรออยู่ในคืนเดือนแรมที่มีเพียงดาวกับแสงสลัวจากกองไฟ

จะมูเล่า “การเต้นจะเริ่มจากบวงสรวงผีก่อนพิธีรื่นเริงสนุกสนาน โดยตรงกลางถูกสมมติเป็นฐานประทับหมอผีอือซา ที่มูเซอส้มป่อยอัญเชิญมารับเครื่องเซ่นไหว้และชมการแสดง”

เสียงดนตรีซือปือหรือ “หน่อเนาะ” จากลมปากผู้เฒ่าดังขึ้นโหยหวน ขณะมูเซอสาวที่ล้อมวงเริ่มขยับกระทืบเท้าเป็นจังหวะพร้อมกัน โดยมีมูเซอหนุ่มล้อมรอบอีกทีหนึ่งที่ขยับตามลีลาซือปือในความมืดคืนแรมนั้น มันช่างเหมือนมนต์สะกดร่างกายจิตใจให้สงบนิ่งอยู่กับที่พักใหญ่

จนเมื่อสิ้นเสียงดนตรีสลับเสียงฝีเท้าบดขยี้ธุลีดิน นักเขียนสาวรายหนึ่งกลับแหงนหน้ามองท้องฟ้าอย่างนิ่งเฉยไม่ยอมไหวติง คงมีประกายตาเบิกโพลงค้างอยู่นานครัน

...

...ทำเอาทุกคนสับสนว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น?

นางถูกนำส่งโรงพยาบาลในตัวจังหวัดให้หมอวินิจฉัยอาการทันที...สุดท้ายหมอถึงฉีดกลูโคสให้หลับถึงเช้า แล้วนางถึงตื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนเดือนแรมที่ผ่านมา นอกจากข้อสันนิษฐาน... ที่อาจเกิดจากลาบเนื้อกวางจานนั้นมีส่วนผสมใบกัญชาปนอยู่ด้วยเท่านั้นเอง

นี่จึงเป็นเหตุอัศจรรย์ที่เคยเกิดคล้ายมนต์ปาฏิหาริย์ในความเชื่อของมนุษย์ ไม่ว่ายุคนี้หรือยุคไหนๆ...ดังนั้นจึงไม่ควรลบหลู่หรือดูแคลนด้วยสำนึกมิจฉาทิฐิใดๆในโลกอนิจจัง

“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.

รัก-ยม

คลิกอ่านคอลัมน์ "เหนือฟ้าใต้บาดาล" เพิมเติม