ในยามที่สังคมไทยกำลังเผชิญกับภาวะ “เศรษฐกิจตกต่ำ...ถดถอย” ผู้คนต่างพากันโหยหาพึ่งพาแต่ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์ พิธีกรรมไสยศาสตร์” เพื่อหวังใช้อำนาจเหนือธรรมชาตินั้น “ดลบันดาลให้ได้สมดังปรารถนา” ในช่วงที่ชีวิตกำลังเจอวิกฤติ
ที่ผ่านมาจะเห็นข่าว...“พิธีกรรมไสยศาสตร์แปลกๆหลายเวอร์ชันโผล่ขึ้นมาบนสื่อโซเชียลมากมาย” แต่ก็ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับ “สังคมไทย” ที่มีความเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติ ภูตผีปิศาจ และเทวดา เกิดขึ้นควบคู่มาช้านานแล้ว
แม้ว่า “ประเทศไทย” จะเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีทันสมัยก็ตาม แต่ “สิ่งลี้ลับ” ก็ยังคงวนเวียนอยู่ตลอดเช่นเดิม ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี ม.ศิลปากร กล่าวไว้ว่า การประกอบพิธีกรรมไสยศาสตร์สืบทอดกันมาแต่บรรพชนมักเกิดจากความเชื่อว่า...
“สิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ ภูตผีปิศาจ และเทพเทวดา” จะสามารถช่วยขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย หรือบันดาลให้ร่ำรวยได้ในเวลารวดเร็วสั้นๆ
...
นอกจากนี้แล้วความเชื่อ “ไสยศาสตร์” ที่อยู่คู่ทุกยุคสมัย มีหลักฐานถูกบันทึกไว้...เกิดขึ้นมาตั้งแต่ 1,000 กว่าปีที่แล้ว ตามศิลาจารึกระบุไว้ถึง...พราหมณ์ชั้นผู้ใหญ่ ประจำราชสำนัก ต้องเรียนคัมภีร์อาถรรพเวทของศาสนาพราหมณ์ ในการประกอบพิธีตามความเชื่อของเขมรโบราณสมัยนั้น
เดิมตัวอักษรคัมภีร์อาถรรพเวทของศาสนาพราหมณ์นี้ถูกจารึกเป็นภาษาสันสกฤต...ปัจจุบันตัวอักษรในคัมภีร์กลับถูกเขียนเป็น “ภาษาบาลี” หรือ “ภาษาเขมร” กลายเป็นว่า...ตัวคาถาอาคมมีการดัดแปลง...เปลี่ยนใหม่หรือเพิ่มเติมแตกต่างจากเดิมด้วย
ถามว่า...“อักขระ” และ “คาถาอาคม” ยังมีความขลังเช่นเดิมหรือไม่ ผศ.ดร.กังวล ได้ทำวิจัยไสยศาสตร์เบื้องต้นบอกว่า ในตัว “ไสยศาสตร์” หรือ “คาถาอาคม” มีความหมายเพียง “ตัวจับหรือสื่อ” การสร้างกระบวนการให้เกิดเป็นความเชื่อในอำนาจนอกตัวหรืออำนาจเหนือธรรมชาติเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์
ในอดีต...คนโบราณมีจุดอ่อนเรื่องความกลัว ไม่ว่าจะกลัวความมืด กลัวฟ้า ต้องมี “วัตถุคุ้มครองภัย” หรือวิชาอาคม ยึดเหนี่ยวใจ...บางเหตุการณ์ไม่สบายใจ ทุกข์กังวลใจก็ใช้ไสยศาสตร์ช่วยเหลือได้
สิ่งที่นิยมมาก...เครื่องป้องกันอันตราย ทั้งตะกรุด ผ้ายันต์ เสื้อยันต์ กลุ่มนี้เป็นไสยศาสตร์ความดีงาม เพราะการปลุกเสกศัสตราวุธทั้งหมดนี้ให้เกิดความขลังได้ ต้องเป็นผู้ปฏิบัติศีลธรรมเคร่งครัด
แต่ก็มี “ไสยศาสตร์มนตร์ดำ”...คือการเรียนวิชาอาคมทางลัด มีเรื่องความชั่วร้ายแฝงอยู่ในตัว มักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายให้ผู้อื่นได้รับความทุกข์จนอาจถึงแก่ความตาย เช่น เสกกรรไกรเงิน กรรไกรทอง หรือหนังสัตว์เข้าท้องใช้วัวธนูทำร้ายคนอื่น ฯลฯ...ทำให้มีความน่าสนใจอย่างมาก
O O O O
“ครูกายแก้ว”...ชื่อนี้อยู่ในกระแสร้อนกำลังเป็นที่รู้จักในวงกว้างของเหล่าสายมู ลูกศิษย์ลูกหา ผู้มีจิตศรัทธา ผู้นับถือ เนื่องจากเชื่อกันว่าสามารถประทานพรให้สมดั่งใจปรารถนาได้
...
กระนั้นก็ยังมีกระแสต้านทัดทานในประเด็นความเชื่อเกี่ยวกับการนับถือรูปปั้น “ผี” ที่มีตำนานไร้ที่มามากกว่าพระธรรมนั้นควรหรือไม่? เหมาะสมแล้วหรือเปล่า?
ศรัทธาความเชื่อเป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ ลองไปพลิกแฟ้มประวัติกันดูในโลกออนไลน์พบว่า “ครูกายแก้ว” ถูกเล่าสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปี เล่ากันว่า มีพระธุดงค์รูปหนึ่งเดินทางไปทำสมาธิที่ปราสาทนครวัด นครธม ประเทศกัมพูชา ระหว่างที่เดินทางกลับผ่าน จ.ลำปาง ได้พบกับ อาจารย์ถวิล มิลินทจินดา นักร้องเพลงไทยเดิมของกองดุริยางค์ทหาร จึงมอบองค์ครูกายแก้วขนาดประมาณ 2 นิ้วไว้ให้
อาจารย์ถวิลได้นำองค์ครูกายแก้วมาบูชาจนเริ่มมีชื่อเสียงเงินทอง ต่อมาจึงได้มอบองค์กายแก้วไว้ให้กับอาจารย์สุชาติ รัตนสุข ซึ่งก็ได้นำไปหล่อขึ้นรูปองค์ใหญ่ เพื่อบูชาครูเป็นองค์กายแก้วที่รู้จักกัน
รูปลักษณ์ขององค์ ครูกายแก้ว คือมีรูปลักษณ์คล้ายกับผู้บำเพ็ญตน นั่งขัดสมาธิ หน้าตาน่าเกรงขาม เนื่องจากด้านหลังมีปีก ตามีสีแดงฉาน เล็บยาวงุ้ม ส่วนบริเวณใบหน้ามีเขี้ยวคล้ายนกการเวก ซึ่งเป็นสัตว์โบราณในป่าหิมพานต์ จึงเชื่อกันว่า...“ครูกายแก้ว” เป็น “ครึ่งมนุษย์ครึ่งนก”
...
O O O O
ตามความเชื่อของผู้ที่นับถือและศรัทธาเชื่อกันว่าองค์ครูกายแก้ว หรือบรมครูผู้เรืองเวท ช่วยเรื่องการประทานพรให้ประสบความสำเร็จ เงินทองไหลมาไม่ขาดสาย
อีกทั้งองค์ครูยังมีลักษณะคล้ายนกการเวกสัตว์ในตำนานป่าหิมพานต์ที่มีเสียงอันไพเราะจึงเชื่อกันว่าหากบูชาจะช่วยให้โน้มน้าวใจคนได้ เจรจาค้าขายสำเร็จลุล่วง ค้าขายสิ่งใดก็ได้กำไร ร่ำรวยเงินทอง คาถาบทสวดขอพรให้สมหวัง...
“นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธ ธัสสะ” (ตั้งนะโม 3 จบ) “มะอะอุ ครูกายแก้ว เมตตา จะมหาราชา สัพพะสเน่หา มะมะจิตตัง ปิยังมะมะ” (สวด 9 จบ)
อีกข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับวิธีขอพรอย่างไรให้สมหวังดั่งใจคิด
...
เริ่มแรกให้ตั้งนะโม 3 จบ จากนั้นสวด คาถาบูชาครูกายแก้ว ในข้างต้น ตั้งจิตอธิษฐานอย่าง แน่วแน่ ระบุชื่อ...นามสกุลจริง วันเดือนปีเกิดให้ชัดเจน ก่อนจะขอพรตามต้องการ
โดยอาจจะนำของบูชามาถวาย ได้แก่ ธูป 5 ดอก เทียน 1 เล่ม ทองคำเปลว หมากพลู มะพร้าวน้ำหอมเผา น้ำหอม หรือน้ำปรุงผลไม้ 3-5 อย่าง เช่น มะพร้าว แอปเปิ้ล กล้วย สาลี่ หรือตามสะดวก และของหวาน 3-5 อย่าง เช่น มะพร้าวแก้ว ขนมถั่วแปบ ขนมชั้น หรือตามสะดวก
นอกจากการจุดธูปขอพรพร้อมถวายของบูชา ผู้ที่มาขอพรบางคนยังเคยมาขอเลขเด็ดให้แตะที่องค์ครูกายแก้วแล้วขอก็สมหวังเช่นกัน ถึงตรงนี้ให้รู้ไว้ว่าการบูชา “ครูกายแก้ว” นั้น ขึ้นอยู่กับความเชื่อ ความศรัทธา และวิจารณญาณของแต่ละบุคคล
ว่ากันว่า...ในปัจจุบันนั้นครูกายแก้วนอกจากจะได้รับความนิยมในประเทศไทยแล้ว ยังได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในต่างประเทศ เช่น จีน ไต้หวันหรือฮ่องกง ในฐานะบรมครูผู้ประทานพรให้สมหวัง
“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.
รัก–ยม