วิธีการขับรถลุยน้ำท่วม หรือน้ำขัง บนเส้นทางที่ระบายน้ำไม่ทัน เป็นเรื่องที่คนใช้รถต้องเตรียมการไว้เฉพาะหน้า เพราะหากเกิดขึ้นกับรถยนต์คู่ใจของคุณ จะได้รู้วิธีการหลบเลี่ยงปัญหาใหญ่ได้ทัน วันนี้ไทยรัฐออนไลน์รวบรวมวิธีการขับรถลุยน้ำท่วม และวิธีการดูแลรักษารถผ่านน้ำท่วมมาฝากกัน

วิธีขับรถลุยน้ำท่วม และดูแลรถหลังลุยน้ำมา เพื่อประหยัดค่าซ่อม

1. ชะลอความเร็ว

บทเรียนแรกของการขับรถท่ามกลางฝนตก น้ำเริ่มขัง วิธีขับรถลุยฝนของผู้ขับรถต้องชะลอความเร็ว เพื่อป้องกันอุบัติเหตุหลายๆ อย่าง น้ำที่เริ่มท่วมขังถนนจะปกคลุมผิวถนนจนมองไม่ออกว่าส่วนไหนเป็นแอ่ง เป็นร่อง หรือโคลน ดังนั้นควรลดความเร็วลงเพื่อให้มีมุมมองสังเกตเส้นทางว่าควรไปต่อหรือไม่ ไปไม่ได้อย่าฝืน

2. ปิดแอร์

เมื่อเห็นเส้นทางตรงหน้า น้ำท่วม รถครึ่งคัน ไม่ควรเปิดแอร์ เพราะจะทำให้พัดลมพัดเอาน้ำเข้าไปยังส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์ อาจทำให้น้ำซัดเข้าไส้กรอง รถดับได้

3. ใช้เกียร์ต่ำ

...

เมื่อฝนตกหนัก น้ำเริ่มขัง ขับรถลุยน้ำให้ระวังรถดับ ด้วยการใช้เกียร์ต่ำ เพื่อรักษาอัตราเร่ง ป้องกันการดูดน้ำเข้าเครื่องยนต์

4. ขับรถลุยน้ำท่วม รถควันขึ้น ควรหยุดหรือไปต่อ

ในบางครั้งการขับรถลุยน้ำท่วมไม่มาก มีควันขึ้น แล้วเราไม่สามารถหยุดรถได้ ต้องไปต่อ เกิดจากเครื่องร้อน เมื่อโดนน้ำจะกลายเป็นควันไอน้ำขึ้นมา ถือเป็นปัญหาที่ไม่น่าเป็นห่วง หลังจากผ่านน้ำท่วมมาแล้วควรเช็กระบบต่างๆ ในรถ ทำรถให้แห้งโดยไว แต่ถ้าเป็นควันสีเทาที่เกิดจากการเผาไหม้ ควรนำรถเข้าอู่ไปเช็กท่อไอเสียและห้องเครื่อง

5. รถดับ ไม่พยายามสตาร์ตเพิ่ม

การสตาร์ตเครื่องหลังรถดับเมื่อขับรถลุยฝนเป็นพฤติกรรมแรกที่ผู้ขับขี่มักปฏิบัติ เพราะคาดหวังว่ารถจะติดและเข็นไปจอดหลบๆ ได้ แต่เมื่อยิ่งสตาร์ต น้ำก็ยิ่งเข้าเครื่องยนต์ วิธีการย้ายรถคือ เข็นไปหลบไว้ข้างทาง และใช้แม่แรงยกรถขึ้น โดยไม่ดึงเบรกมือ ป้องกันเบรกมือค้าง และโทรเรียกอู่มายก

6. ขับรถตามรถคันใหญ่ที่ล้อยกสูงกว่า

อีกวิธีที่ทำให้รถคันเล็กโหลดต่ำ ไปต่อในระดับน้ำที่ท่วมขังหลังฝนตกได้ คือการขับรถตามรถคันใหญ่ยกสูง โดยกระแสน้ำจะพัดออกจากส่วนที่เป็นห้องเครื่อง เบิกทางให้รถของเราไปต่อได้

7. ขับรถเข้าไปจอดที่สูง

เมื่อฝนตกหนัก น้ำเริ่มท่วมสูงแล้ว หากไม่ชินเส้นทาง ไม่รู้ว่าทางข้างหน้าอันตรายหรือไม่ ควรขับรถไปจอดที่เนินสูงๆ รอฝนหยุดตก ให้ระดับน้ำที่ขังอยู่ลดลง ระบายลงบ้าง จึงค่อยไปต่อ

เมื่อรถดับขณะขับลุยน้ำท่วม สตาร์ตไม่ติดแล้ว สาเหตุอาจมาจาก ระบบไฟฟ้าช็อต หรือน้ำเข้าเครื่องยนต์ แล้วไม่สามารถแก้ไขปัญหาเบื้องต้นด้วยตัวเองได้ ก็ส่งรถเข้าอู่ พยายามทำให้รถแห้งให้เร็วที่สุด บางชิ้นส่วนต้องลงสเปรย์กันชื้น รถยนต์ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน จากอุทกภัยจะได้รับการคุ้มครองจากประกันรถยนต์ชั้น 1 หรือประกันชั้น 2 พลัส แบบซื้อความคุ้มครองเพิ่ม เพราะฉะนั้นหากอยู่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม ก็ควรหาประกันไว้คุ้มครองรถยนต์แสนรักของคุณ