พระสมเด็จ พิมพ์ฐานแซม สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังฯ ของ มร.อึ๊ง ก๊อก เส็ง.
เปิด สนามพระวิภาวดี มาพร้อมข้อคิดง่ายๆจาก พระไพศาล วิสาโล ว่า “ทำดี ก็ดีแล้ว แต่อย่าไปยึดว่า กูเป็นคนดี”--เห็นด้วยกับท่าน เพราะการจะบอก เราเป็นคนดี ต้องเป็นคนอื่นพูด หลังได้เห็นการกระทำ หรือความคิดที่เป็นกุศลจิต แล้วชื่นชม--ไม่ใช่พูดเอง เออเอง ตามวิสัยมนุษย์ที่มักเข้าข้างตัวเอง
เวทีพระอาทิตย์นี้ ตรงกับ วันโลกไม่ลืม คือ ๙/๑๑ (ไนน์อีเลฟเว่น) เมื่อวันที่ ๑๑ เดือน ๙ ค.ศ.๒๐๐๑ ที่ทีมก่อการร้ายของ บิน ลาดิน จี้เครื่องบิน ๒ ลำ พุ่งชนตึกแฝด เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนิวยอร์ก จนถล่มลงมาช็อกคนทั้งโลก ส่วนอีกลำไปถล่มตึกเพนตากอน
ก็ขอเชิญชวนให้แฟนคลับสนามพระวิภาวดี ร่วมแผ่เมตตาส่งกุศลจิตต่อดวงวิญญาณผู้บริสุทธิ์ กว่า ๓ พันดวง ที่จากไป ซึ่งผ่านมา ๒๑ ปีแล้ว แต่ยังเศร้าสะเทือนใจทุกครั้ง ที่คิดถึงเหตุการณ์นี้
ไปดูพระเครื่องต่อเลย องค์แรกเป็น พระสมเด็จ พิมพ์ฐานแซม สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ ที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๙ โดยสร้างไปแจกไป เวลาพายเรือออกบิณฑบาตในคลองบางกอกน้อย
ตำราของท่าน เริ่มจากการเขียนลบ ผงวิเศษพุทธคุณ ๕ ประการ พุทธคุณ อิทธิเจ มหาราช ปถมัง ตรีนิสิงเห นำมาผสมผงปูนจากเปลือกหอยบดป่นละเอียด และมวลสารมงคล แล้วใช้ น้ำผึ้ง เนื้อกล้วย น้ำมันตังอิ๊ว เป็นตัวประสาน นวดจนเข้ากัน ก็ปั้นเป็นก้อนพอประมาณกับพิมพ์ แล้วกดลงในพิมพ์ ที่ช่างหลวงแกะ ออกมาเป็นองค์พระพิมพ์เนื้อผง รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า (ชิ้นฟัก) ตัดขอบ
ด้านหน้าเป็น องค์พระประธาน ประทับนั่งเหนือฐาน ๓ ชั้น ในเส้นซุ้มครอบแก้วนูนโค้ง แบบเส้นหวายผ่า ด้านหลังปาดเรียบ
...
แยกพิมพ์ตามรายละเอียดที่ต่างกันได้ ๕ พิมพ์คือ ๑.พิมพ์ใหญ่ ๒.พิมพ์เจดีย์ ๓.พิมพ์เกศบัวตูม ๔.พิมพ์ฐานแซม
และพิมพ์ปรกโพธิ์ ซึ่งพบน้อยมาก จนกลายเป็นพิมพ์ที่สูญหาย จึงเหลือพิมพ์พระ ๔ พิมพ์ รวมทั้งพิมพ์ฐานแชม แบบองค์นี้ ของ เสี่ยอึ๊ง ก๊อก เส็ง ซึ่งเป็นพิมพ์นิยมสุดท้าย ที่มีให้พบเห็นมากสุด และราคาเบาสุด จึงเป็นพิมพ์ซื้อง่ายขายคล่อง
โดยเฉพาะองค์สภาพสมบูรณ์พองาม พิมพ์พระติดชัด ผิวเนื้อผ่านการสัมผัสใช้ มีคราบไคลบอกอายุความเก่าดูเข้มขลัง อย่างเป็นธรรมชาติ เนื้อมวลสารเข้มข้น เนื้อจัด หน้า หลัง ข้าง ขอบ ส่องเห็นจุดตำหนิถูกต้องตามมาตรฐาน--ที่สำคัญคือ ราคายังไต่อยู่หลักล้านกลางๆถึงปลาย พอจ่ายสบาย
องค์ที่สองคือ พระรอด พิมพ์เล็ก กรุวัดมหาวัน จ.ลำพูน พิมพ์นิยมลำดับ ๓ ในสกุลพระรอด องค์นี้ เป็นพระสภาพสมบูรณ์สวยเดิม พิมพ์ชัด เนื้อใช่ ผิวเนื้อมีคราบฝ้ารากรุ จับแน่น ให้พิสูจน์อายุความเก่าถึงยุคอย่างเป็นธรรมชาติ ดูแล้วสบายตา สบายใจ
ปัจจุบันมีคนสนใจมาก เพราะพิมพ์ต้นๆที่หาได้ยาก ราคาก็สุดสอย จึงหันมาหาพระพิมพ์รอง สภาพงามๆที่ราคายังพอเป็นเจ้าของได้ ราวหลักล้านต้นๆ อย่างองค์นี้ ของ เสี่ยเบิ้ม นครพิงค์อาร์ต
ต่อไปคือพระกรุพระเก่ายอดนิยม อันดับ ๑ ของเมืองลำปาง พระยอดขุนพลเกศยาว กรุสันป่าเปา จ.ลำปาง โดยเฉพาะพิมพ์เกศยาว
พบทั้ง เนื้อชินเงิน เนื้อชินตะกั่ว ลักษณะเป็นพระพิมพ์พุทธศิลป์สมัยหริภุญชัยยุคปลาย รูปทรงกลีบบัว ด้านหน้าเป็นองค์พระนั่งปางสะดุ้งมาร อยู่เหนือฐานบัวหงาย
องค์นี้ ของ เสี่ยสุรพล คำป่าแลว ปัจจุบันเป็นพระกรุ พระเก่าราคาหลักแสน ของเมืองรถม้า
...
ต่อด้วย พระพิมพ์สมเด็จขาโต๊ะ หลังจารรุ่นแรก พ.ศ. ๒๔๖๘ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ ขุนพลพระพิมพ์เนื้อผง ยุคต้น ในสกุลพระเครื่อง “หลวงปู่โต๊ะ” ที่นิยมสูงสุด
เป็นพระพิมพ์เนื้อผงพุทธคุณ รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า แบบพระสมเด็จ ด้านหน้าเป็นองค์พระนั่งปางสมาธิเหนือฐาน ๓ ชั้น ที่มี เส้นสายลายศิลป์สวยโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์แบบขาโต๊ะ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “สมเด็จขาโต๊ะ” ด้านหลังปาดเรียบแบบองค์นี้ ของ เสี่ยเชาว์ เพชรเกษม ที่นอกจากจะเป็นพระแท้ดูง่ายสวยแชมป์ ยังมีพิเศษที่ ลายมือจารอักขระ--สภาพแบบนี้ ยุคหนึ่งเคยมีราคาทะลุหลักล้านต้น มาแล้ว
...
อีกสำนัก เป็น พระพิมพ์พระศาสดา โปรดแม่พระแม่ธรณีบีบมวยผม (เล็ก) เนื้อเทาดำ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) วัดท้ายตลาด เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
เป็นพระพิมพ์เนื้อผงพุทธคุณ ที่ยกย่องว่าเป็นพระกรุ ที่มีพุทธศิลป์ยุครัตนโกสินทร์ ที่งดงามสูงส่งด้วยฝีมือช่างหลวง
ค้นพบจากกรุพระฝั่งธนบุรี ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๐ ครั้งที่ ๒ ราวปี พ.ศ.๒๔๙๘ ที่กรุพระวัดนางชี ครั้งที่ ๓ ราวปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ที่กรุพระวัดตล่อม ได้พิมพ์พระ กว่า ๕๐ พิมพ์
องค์นี้ ของ เสี่ยอิทธิ ชวลิตธำรง เป็น ๑ ใน ๕๐ พิมพ์ ที่เป็นพิมพ์พิเศษ มีพิมพ์ใหญ่ กับพิมพ์เล็ก ที่มีพบน้อยหายาก โดยเฉพาะองค์สมบูรณ์ สวยกริ๊บแบบนี้
...
รายการต่อไปเป็น เหรียญเปิดโลก หลวงปู่ทวด เนื้อตะกั่ว พ.ศ.๒๕๓๒ พระพรหมปัญโญ (หลวงปู่ดู่) วัดสะแก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา
ท่านเป็นพระเกจิฯที่ได้รับการยกย่องเป็นพระอริยสงฆ์แห่งเมืองกรุงเก่า ยุคหลังปีกึ่งพุทธกาล ผู้มีเมตตาธรรมสูงส่ง พุทธาคมเข้มขลัง
ท่านสร้างพระเครื่องวัตถุมงคลไว้มากมายหลายรุ่น อาทิ พระพรหมเนื้อผง เหรียญรุ่นแรก เหรียญเปิดโลก เหรียญยันต์ดวง เหรียญรุ่นปฏิบัติธรรม
ในภาพนี้ เป็นเหรียญยอดนิยมเบอร์ต้นในสกุลเหรียญหลวงปู่ดู่ นิยมเรียกว่า “เหรียญเปิดโลก” ตามดำริหลวงปู่
สร้างเป็น เหรียญปั๊มทรงกลม ขนาดมาตรฐาน ด้านหน้าเป็นรูปจำลองหลวงปู่ทวด นั่งสมาธิ เหนือฐาน บัว ๒ ชั้น ในมือถือลูกแก้วด้านหลัง เป็นรูปแบบยันต์ ๕ มีอักษรบอกปีสร้าง พ.ศ.๒๕๓๒
เนื้อเหรียญมี ทองคำ เงิน ทองแดง และตะกั่ว แบบเหรียญนี้ ของ เสี่ยเพชร–อิทธิ ชวลิตธำรง ซึ่งนักนิยมสายตรงเชื่อว่า เป็น เนื้อเหรียญลองพิมพ์ เพราะพบน้อย ไม่กี่เหรียญ แต่มีผู้แสวงหามาก เพราะเชื่อว่าเป็น เนื้อที่หลวงปู่ลงยันต์จารอักขระบนแผ่นตะกั่ว ด้วยมือท่าน แต่ก็หาได้ยากสุดๆ โดยเฉพาะเหรียญงามๆสภาพสวยแชมป์แบบเหรียญนี้ ราคาสูงถึงหลักแสนปลาย เทียบได้กับเนื้อทองคำทีเดียว
ตามมาอีกองค์ด้วย พระพุทธชินสีห์ พิมพ์ใหญ่ พ.ศ.๒๕๓๓ เนื้อทองคำ วัดบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ พระดีพิธีใหญ่สร้างในสมัยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯพระองค์ที่แล้ว
จัดสร้างแบบลอยองค์ โดยจำลองจากพระพุทธชินสีห์ พระคู่บ้านคู่เมือง ที่ประดิษฐานเป็นองค์พระประธาน ณ วัดบวรฯ ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์ชนิดเชื่อกันว่า เพียงภาพถ่าย รูปจำลององค์ท่าน ก็มีอานุภาพปกป้องคุ้มครองให้แคล้วคลาดภัย บันดาลให้ประสบความสำเร็จ เจริญก้าวหน้าได้ ใช้บูชาประจำบ้านประจำตัว เป็นสิริมงคลยิ่ง--องค์นี้ ของ เฮียตี๋ วิคตอรี่ เบเกอรี--ร้านนี้ไปอุดหนุนกันเรื่อย แต่เพิ่งรู้ว่า เป็นนักนิยมพระ และเก็บพระดีทีเดียว
ไปดู ๔ เครื่องรางของขลัง ยอดนิยมคือ ปลัดขิก งาแกะ อาจารย์เฮง ไพรวัลย์ วัดสะแก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา พระอาจารย์ฆราวาสจอมขมังเวท ที่มีชื่อเสียงด้านสัก เสก ลงอักขระ เลขยันต์
ท่านเป็นชาวกรุงเก่า ตอนอุปสมบท เป็นศิษย์ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติฯ และมีพระสหธรรมิก คือ หลวงปู่สี วัดสะแก ได้เรียนวิชาตำรับวัดประดู่โรงธรรม ร่วมกัน แต่ท่านสึกออกมา แล้วเปิดสำนักแบบไม่เป็นหลักแหล่ง ขึ้นล่องเรือไปจอดอยู่หน้าวัดต่างๆ ตลอดลำน้ำเจ้าพระยา มีชื่อเสียงสูงมากด้านวิชาอาคม ยุคสงครามอินโดจีน ว่าสร้างวัตถุมงคลได้เข้มขลังสุดๆ
โดยเฉพาะวัตถุมงคล “พระพรหม” ที่ลงจารอักขระ ด้วยมือ อาทิ เหรียญ โลหะ เขี้ยว งา ผ้ายันต์เขียนสีเขียวแดง ซึ่งวัตถุมงคลส่วนใหญ่จะนำมาทำพิธีปลุกเสก ในช่วงเวลาเข้าพรรษา โดย หลวงปู่สี เป็นประธานที่วัดสะแก
และที่เป็นเครื่องรางสร้างน้อย หายากคือ ปลัดขิกงาแกะ ฝีมือประณีตเรียบร้อย ลงจารอักขระลายมือท่านถูกต้อง ครบตัว ที่สำคัญ มีเลี่ยมหุ้มท้ายจาร อักขระกำกับด้วยมือ แบบโบราณ อย่างตัวนี้ ของ เสี่ยเพชร อิทธิ ที่เห็นแล้วบอกได้ว่างามสุดเท่าที่เคยได้เห็นมา
ขอตอบ “คำถามสนามพระ” ซะเลย ที่ถามมานานแล้วว่า ทำไมถึงเรียกเครื่องรางแบบนี้ว่า ปลัดขิก
ก็ไปค้นไปถามมาจนได้ความว่า คำว่า ปลัด น่าจะเรียกตามฐานะผู้สร้าง ซึ่งอาจเป็นพระครูปลัด เหมือนที่เรียกว่า พระสมเด็จ เพราะผู้สร้างเป็นพระชั้นสมเด็จ
ส่วนคำว่า ขิก มีที่มาหลายอย่าง อย่างแรก เป็นความหมายตามพจนานุกรม หมายถึง เสียงหัวเราะคิกๆ ขิกๆ เมื่อเห็นวัตถุคล้ายอวัยวะเพศชาย ซึ่งสมัยโบราณนิยมผูกไว้ที่รอบเอวเด็กๆ หรือมาจากภาษาอีสาน ใช้เรียกเครื่องแขวนคอวัว ซึ่งลักษณะคล้ายอวัยวะเพศชาย
และก็มีคำถามตามมาว่า แล้วทำไมต้องสร้างเป็น ปลัดขิก ซึ่งก็ต้องอิงกับความเชื่อในการบูชา ศิวลึงค์ ของลัทธิพราหมณ์ ซึ่งบูชาเทพเจ้า โดยมีเทพเจ้าสูงสุด ๓ องค์ (ตรีมูรติ) คือ พระพรหม ผู้สร้างโลก พระนารายณ์ เป็นผู้พิทักษ์โลก (คงทำงานแบบซุปเปอร์ฮีโร่ของมาร์เวล) และพระศิวะ เป็นผู้ทำลาย
และในลัทธิไศวะ หรือไศวนิกาย ถือว่า พระศิวะ (หรือพระอิศวร) เป็นเทพเจ้าสูงสุด โดยมีสัญลักษณ์บูชาพระศิวะ เป็น “ศิวลึงค์” ซึ่งพบตามในเทวสถาน มีขนาดใหญ่ๆ
ต่อมาได้ปรับขนาดให้เล็กลง เพื่อใช้บูชาติดตัว จนกลายมาเป็นต้นแบบของ ปลัดขิก ซึ่งพระเกจิไทย จัดสร้างจากความเชื่อที่ผสมผสานกันระหว่างพราหมณ์และพุทธ--ก็เหมือน พระกริ่ง ที่ชาวพุทธทิเบต เนปาล ย่อจาก พระไภษัชคุรุ มาเป็นองค์พระไภษัชฯขนาดเล็ก เพื่อพกติดตัวสะดวก
และแล้วก็มาถึงเรื่องปิดท้าย ที่เกิดในร้านอาหารบนห้างย่านรังสิต ซึ่งมีนักนิยมพระเครื่องกลุ่มใหญ่ไปชุมนุมกัน เพื่อรับฟังเรื่องของ นายเสรี เซียนพระเดินสาย ที่มีเรื่องเครียดมาขอคำปรึกษาพรรคพวก
นายเสรี เล่าว่า เมื่อสองวันก่อน พาผู้ใหญ่ไปสู่ขอลูกสาวเซียนพระใหญ่ เขาก็ตกลงยกให้ แต่คงไม่ได้แต่ง เพื่อนๆเซียนพระก็สงสัย ถามทำไมล่ะ นายเสรี ส่ายหัว ตอบว่า ก็ว่าที่พ่อตาผมเรียกสินสอดเป็น พระสมเด็จวัดระฆังฯ ๑ องค์ อ่ะดิ ซึ่งก็พยายามต่อรองว่า พระสมเด็จฯโต วัดระฆังฯ ผมไม่มีปัญญาหาได้แน่ เอาเป็น พระเจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทร์ แทนได้ป่าว มีอยู่เท่านั้น แต่ว่าที่พ่อตาส่ายหน้า เชิญ (ไล่) ผมออกจากบ้านเลย
พรรคพวกฟังแล้ว ก็พร้อมใจส่ายหน้าหมดหวัง บอกว่า แบบนี้ นายต้องทำใจอ่ะนะ พวกเราก็อยากช่วยเพื่อนให้ได้เมียเป็นของตัวเอง แต่ก็มีแค่ พระชั้น แม่ชี (บุญเรือน) ถึงรวมกับ “พระระดับ เจ้าคุณ (นรฯ)” แร้ว ก็ยังต่างกันเยอะ กับ “พระชั้นสมเด็จ (วัดระฆัง)”--งานนี้ เสี่ยเสรี ก็มี ๒ ทางเลือกคือ ยอมอกหัก รักคุด หรือวางแผนฉุดลูกสาวฟรี พาหนีลูกปืนพ่อตา เจ้าค่ะ อามิตตพุทธ.
สีกาอ่าง