ต้องบริหารดุลอำนาจ รับมือสงครามการค้า
หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ยักษ์ใหญ่สารพัดสี จำหน่ายมากที่สุดของประเทศ ฉบับประจำวันเสาร์ที่ 5 เมษายน 2568

...
“ธนูเทพ” ประจำการรับใช้ท่านผู้อ่าน...สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นยิ่งกว่าแผ่นดินไหวขนาด 8.2 เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 3 เม.ย. ว่าจะจัดเก็บ ภาษีศุลกากรสินค้านำเข้า จากประเทศคู่ค้า ที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐอเมริกา ทุกประเภท 10% และเก็บภาษีเพิ่มเติมกับหลายประเทศ อาทิ ประเทศจีน 34% ไต้หวัน 32% เวียดนาม 46% รวมทั้ง ประเทศไทย 36% ที่โดนตั้งกำแพงภาษีสูงเป็นลำดับต้นๆในรอบนี้ ส่งผลกระทบต่อ ระบบเศรษฐกิจกระเทือนกันไปทั่วโลก

ในส่วนของ ประเทศไทย ที่โดน สหรัฐอเมริกา จัดเก็บภาษีเพิ่ม 36% แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกแถลงการณ์แสดงท่าทีของ ประเทศไทย ต่อ นโยบายการค้าสหรัฐ อเมริกา ในครั้งนี้ว่า รัฐบาลไทยตระหนักและเข้าใจถึงความจำเป็นของสหรัฐฯ ที่จะต้องปรับสมดุลทางการค้ากับประเทศคู่ค้าจำนวนมาก ผ่านนโยบายอัตราภาษีต่างตอบแทน ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆ ที่เป็นคู่ค้าของ สหรัฐฯ โดยได้ประกาศขึ้นภาษีกับการนำเข้าจากทุกประเทศ ขั้นต่ำ ร้อยละ 10 ประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ และสหรัฐฯ มองว่าเอาเปรียบ ตั้งแต่อัตราภาษีนำเข้า มาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษี รวมถึงค่าธรรมเนียมต่างๆจะถูกจัดเก็บ โดยแต่ละประเทศจะถูกปรับในอัตราที่แตกต่างกัน ในอัตราหารครึ่งจากอัตราที่สหรัฐฯคำนวณว่าสินค้าของสหรัฐฯถูกจัดเก็บจากประเทศนั้นๆ สำหรับประเทศไทย สหรัฐฯกำหนดอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทนไว้ที่ ร้อยละ 36 โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย.68 เป็นต้นไป การประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าทุกรายอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ดังนั้น ในระยะยาวผู้ประกอบการส่งออกไทยควรมองหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดเดียว

...
ทั้งนี้ ทางรัฐบาลได้ส่งสัญญาณความพร้อมที่จะหารือกับ รัฐบาลสหรัฐฯ ในโอกาสแรก เพื่อ ปรับดุลการค้าให้เกิดความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย โดยส่งผลกระทบต่อภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด โดยได้มอบหมายให้ คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา จัดเตรียม ข้อเสนอเพื่อปรับดุลการค้ากับสหรัฐฯ ที่มีสาระสำคัญเพียงพอให้สหรัฐฯมีแรงจูงใจที่จะเข้าสู่ กระบวนการเจรจากับไทยที่เหมาะสมและส่งผลกระทบต่อเกษตรกร ผู้บริโภค และผู้ประกอบการในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องน้อยที่สุด และ รัฐบาลไทย หวังเป็นอย่างยิ่งว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ ประธานาธิบดีทรัมป์ จะมองถึงเป้าหมายการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจร่วมกันในระยะยาว

งานนี้ก็คงต้องรอดูผลว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ จะมีมิตรจิตมิตรใจเห็นแก่ ความสัมพันธ์ยาวนาน ระหว่าง ไทย กับ สหรัฐฯ มากน้อยแค่ไหน หรือเน้นใช้เป็น มาตรการตอบโต้ ที่ช่วงหลัง ประเทศไทย ให้ความร่วมมือใกล้ชิดกับ ประเทศจีน ในหลายๆด้าน เพื่อบีบให้ไทยต้องปรับสมดุลมหาอำนาจใหม่

...
อืม...จากกรณีเหตุการณ์ แผ่นดินไหวรุนแรง ส่งผลให้ อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ความสูง 30 ชั้น ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างพังถล่มทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก...ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ออกมาระบุถึงการส่งทหารเข้าไปช่วยสนับสนุนกรณี ตึก สตง. พังถล่มว่า หลังเกิดเหตุ นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ตั้ง ศูนย์บัญชาการการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และทำให้เป็น Single Command โดยให้มีศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ส่วนหน้า และในต่างจังหวัดก็ได้ให้ทหารเข้าไปช่วยดูแล โดยให้ ผู้ว่าราชการจังหวัด สั่งการได้เลย ทั้งนี้ ส่วนใหญ่เน้นไปที่ สถานศึกษา และ โรงพยาบาล ถือเป็นเป้าหมายหลักที่จะต้องดูแล ส่วนในพื้นที่ ตึก สตง. จะเป็น หัวหน้าสำนักป้องกันภัยพิบัติของ กทม. ทำงานร่วมกับ ผอ.เขตจตุจักร

นอกจากนี้ รองนายกฯภูมิธรรม ยังได้เน้นย้ำถึงเรื่องรูปคดีที่เกี่ยวกับ โครงสร้างอาคาร สตง.ที่พังถล่ม ว่าจะต้องตรวจสอบหมดทุกอย่างที่เป็นเงื่อนไขที่จะทำให้ทราบว่ามันเป็นปัญหา ตอนนี้ทำงานประสานกันทุกส่วน ทาง กระทรวงอุตสาหกรรม จะเข้าไปตรวจสอบให้ลึกขึ้นอีก เนื่องจากรอบแรกเป็นการตรวจสอบเฉพาะหน้าเกี่ยวกับ เหล็กเส้น ซึ่งพบ เหล็กเส้นที่ไม่ได้มาตรฐาน และเข้าใจว่ากำลังเตรียมการเข้าไปพิสูจน์ทราบในจุดที่เป็นปัญหาทั้งหมด ส่วนทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็กำลังทำคดี ตอนนี้ทุกฝ่ายพยายามทำอย่างเต็มที่...สำหรับกรณี บริษัทจีน ที่เป็นคู่สัญญาก่อสร้าง ตึก สตง. ที่พังถล่ม มีการรับงานของ หน่วยราชการ ถึง 11 แห่ง ยังไม่อยากลงรายละเอียด แต่ตอนนี้ทุกฝ่ายกำลังพยายามทำอยู่ทุกเรื่อง เพราะ นายกฯ ได้สั่งการชัดเจนว่าต้องเอาข้อเท็จจริงออกมาให้ได้ ใครเป็นคนผิดต้องดำเนินการอย่างเต็มที่ และให้พิสูจน์ทราบโดยเร็ว เรื่องนี้คิดว่าต้องใช้ ความเป็นวิทยาศาสตร์ และ ใช้ความละเอียดรอบคอบ ไม่ใช่เรื่องการยื้อเวลา ต้องสรุปให้ชัดเจนและสามารถเอาผิดได้ ซึ่งทุกคนกำลังทำหน้าที่อยู่

งานนี้ต้องยอมรับว่าสังคมอยากได้รับคำตอบว่าการที่ ตึก สตง.พังถล่ม เกิดจาก สาเหตุอะไร และ ใครกันบ้าง ที่จะต้องรับผิดชอบต่อ ความเสียหาย และ ความสูญเสีย ที่เกิดขึ้น เป็นความผิดของ บริษัทผู้รับเหมา อย่างเดียว หรือโยงใยไปถึงผู้เกี่ยวข้อง ระดับผู้บริหาร สตง. ที่รับผิดชอบดูแลเรื่องการก่อสร้างด้วยหรือไม่ รัฐบาล ในฐานะเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินและกำกับดูแลการใช้จ่าย งบประมาณแผ่นดิน จะต้องหาคำตอบออกมาให้ ประชาชนเจ้าของเงินภาษี ทั่วประเทศได้รับรู้ข้อเท็จจริง อย่างตรงไปตรงมา และต้องดำเนินคดีกับ บุคคลที่เกี่ยวข้อง อันเป็นต้นเหตุให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งนี้ อย่างเด็ดขาดตามโทษสูงสุด เพื่อ ทวงคืนความเป็นธรรม ให้แก่ บรรดาผู้เสียชีวิต และ ผู้ได้รับบาดเจ็บ จากเหตุการณ์ ตึก สตง.พังถล่ม หากมีการปกปิด หมกเม็ด รัฐบาล อาจโดนสังคมรุมถล่มซะเอง เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือนนะจ๊ะ

"ธนูเทพ"
คลิกอ่านคอลัมน์ “บุคคลในข่าว” เพิ่มเติม