จากการให้ข้อมูลของคุณหมอ (14.39 น. วันที่ 14 ต.ค.) ซึ่งได้รับทุน 2,300 ล้านบาท พัฒนาวัคซีนโควิดจุฬา mRNA ซึ่งก๊อบปี้รูปแบบจากไฟเซอร์ ได้อธิบายว่าใช้จริง 600 ล้านบาท และได้ทดสอบอาสาสมัคร และคืนเงินที่เหลือไปแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน ยังไม่ได้อธิบายว่าวัคซีนที่พัฒนาใหม่มีการปิดข้อบกพร่องของวัคซีนไฟเซอร์ mRNA ที่ทำให้เกิดผลกระทบถึงชีวิตและพิการอีกทั้งสามารถส่งผลระยะยาวได้ และเวลา 07.08 น. วันที่ 15 ตุลาคม ได้อธิบายว่า “ไม่ได้ก๊อบปี้ทุกอย่างจากไฟเซอร์” โดยใช้เปลือกหุ้มไขมันที่มี “คนอื่นที่จดสิทธิบัตรแล้ว” แบบส่งตรงไปที่ตับ (ที่เกี่ยวข้องกับ transthyretin mediated amyloidosis)

โดยไม่ได้ตอบข้อสังเกตที่ถามไปว่า วัคซีนที่พัฒนาและใช้เงินไป 600 ล้านบาทนั้น สามารถลดอันตรายไปได้อย่างไร ทั้งนี้ โดยเพียงอธิบายว่าอาสาสมัคร 600 คนนั้นไม่มีใครตายหรือพิการ และในขณะเดียวกันได้ย้ำว่าสถาบันโรคหัวใจของสหรัฐฯในปี 2023 ยังแนะนำให้ฉีดวัคซีนโควิด ในคนเปราะบาง รวมทั้งคนที่มีเส้นเลือดหัวใจตีบอยู่แล้ว ทั้งนี้ ได้มี คุณหมอหัวใจซึ่งเป็นกรรมการพิจารณาผู้เสียชีวิตและพิการจากวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุขอยู่ด้วย ย้ำว่าผู้เสียชีวิตในประเทศไทยจากวัคซีนมีตามที่ประกาศคือห้ารายเท่านั้น โดยที่ยังยืนยันเช่นนั้น แม้ว่าจะได้รับข้อมูลผู้เสียชีวิตจริงจากวัคซีนที่ไม่ได้นับรวมอยู่ในห้ารายนั้นก็ตาม และสนับสนุนให้ฉีดต่อในกลุ่มเปราะบาง โดยที่โอไมครอนยังทำให้เกิดคนไข้ติดเชื้ออยู่ที่ห้องฉุกเฉินประมาณวันละหนึ่งถึงสามราย

การสนับสนุนให้ฉีดต่อโดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางและสูงอายุดูจะ ค้านกับหลักฐานข้อมูลทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ในปี 2024 ที่มาจากการศึกษาหลายชิ้น รวมทั้งรายงานนี้ในวารสาร BMC Immunity&Ageing 14 กันยายน 2024 ที่พิสูจน์ว่ายิ่งฉีดมากเข็มทั้งในอายุน้อยและโดยเฉพาะผู้สูงอายุเปราะบางจะทำให้มีระดับของ IgG4 สูงขึ้นอย่างมากมาย โดยไม่สามารถป้องกันโควิดและยังก่อให้เกิดผลร้ายในการลดประสิทธิภาพของการต่อสู้เชื้อโรคต่างๆในร่างกายของมนุษย์อีกด้วย และยังเป็นที่น่าสังเกตว่าทำไมสมาคมโรคติดเชื้อ โรคหัวใจ และราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ยังได้ออกประกาศ วันที่ 11 ตุลาคม สนับสนุนให้ฉีดวัคซีนโควิดต่อในกลุ่มเปราะบางและสูงอายุ โดยให้เหตุผลว่าประเทศไทยมีการติดโควิดและการตายสูงที่สุดในประเทศอาเซียน ดังนั้นสมควรที่ต้องฉีดต่อ ซึ่งดูจะค้านกับสิ่งที่คนไทยได้รับก็คือ คนไทยน่าจะได้รับการฉีดวัคซีนสูงที่สุดในอาเซียนแล้ว แต่ทำไมยิ่งฉีดยิ่งติดเชื้อเยอะและตายเยอะสุดในอาเซียน อีกทั้งสามสมาคมยังยืนยันว่าวัคซีนโควิดที่ใช้มีความปลอดภัยสูงและไม่พบอันตรายต่อหัวใจอย่างที่กังวล และไม่เกี่ยวข้อง กับมะเร็ง เรื่องโควิดและมาตรการการรักษา จนกระทั่งไปถึงเรื่องวัคซีน คนไทยตายและพิการและยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่ยังมีความทรมานจากวัคซีน จนกระทั่งถึงปัจจุบันในปี 2024 เป็นสิ่งที่ ควรต้องได้รับการแก้ไขอย่างฉับพลัน ให้มีการยุติการฉีดทันที และพิจารณาความบกพร่องของวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA นี้ ซึ่งกำลังนำไปใช้กับวัคซีนทุกชนิดในมนุษย์และสัตว์ โดยที่ความสามารถของอนุภาคนาโนไขมันจะทำให้ฝังตัวอยู่ในร่างกายมนุษย์ตลอดไม่ใช่เป็นเดือนแต่เป็น 10 ปี และมีการปรับเปลี่ยนเป็นดีเอ็นเอและแทรกตัวเข้ากับดีเอ็นเอหรือโครโมโซมของมนุษย์ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างโปรตีนที่ผิดเพี้ยนออกมาได้ตลอด และสิ่งที่น่ากังวลก็คือ การนำไปฉีดในเด็กตั้งแต่อายุหกเดือนขึ้นไปและคนท้อง ปรากฏว่าเด็กที่คลอดออกมามีความผิดปกติหรือมีการคลอดก่อนกำหนด แท้ง ตายคลอดและความผิดปกติอื่นๆ อีกมากมาย.

...

หมอดื้อ

คลิกอ่านคอลัมน์ "สุขภาพหรรษา" เพิ่มเติม