ภาคตะวันออก ประเทศไทย เตรียมตัวเปิดประตูเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวคุณภาพสูง ซึ่งเชื่อมโยงกันทางชายฝั่งทะเลทั้ง 3 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย เวียดนาม และกัมพูชา ในเส้นทางการเดินเรือ
ภาคตะวันออก ประเทศไทย เป็นหนึ่งในเส้นทางที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวทางทะเลของประเทศไทยเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็น ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ยาวไปจนถึงจังหวัดตราด และเป็นจุดเชื่อมต่อไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งสร้างรายได้ให้กับพื้นที่หลายเท่าตัวใน 2 ปีที่ผ่านมา
สถิตินักเดินทางในการท่องเที่ยวไมซ์ และรายได้ในพื้นที่ภาคตะวันออก ที่น่าสนใจ โดยในปี 2565 มีนักเดินทางไมซ์ในพื้นที่ภาคตะวันออก จำนวน 209,337 คน สร้างรายได้ทั้งสิ้น 6,362 ล้านบาท (นักเดินทางไมซ์ต่างประเทศ จำนวน 125,812 คน รายได้ 6,192.87 ล้านบาท และนักเดินทางไมซ์ในประเทศ จำนวน 83,525 คน สร้างรายได้ 169.14 ล้านบาท)
...
ในปี 2566 มีนักเดินทางไมซ์ในพื้นที่ภาคตะวันออก จำนวน 432,815 คน สร้างรายได้ทั้งสิ้น 11,115 ล้านบาท (นักเดินทางไมซ์ต่างประเทศ จำนวน 140,728 คน รายได้ 10,183 ล้านบาท และนักเดินทางไมซ์ในประเทศ จำนวน 292,087 คน สร้างรายได้ 933.12 ล้านบาท)
ศักยภาพนี้ทำให้ทางทีเส็บ หรือสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทย ที่มีบทบาทหลักในการส่งเสริม และพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ในทุกมิติ (Thailand Convention & Exhibition Bureau) มองเห็นถึงศักยภาพ และโอกาสในเส้นทางเดินทางแห่งนี้ ในการนำมาเป็นพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจของไทย ด้วยการผลักดันการท่องเที่ยวคุณภาพสูง หรือ การท่องเที่ยวเพื่อธุรกิจไมซ์ (MICE Business Travel)
โดยเส้นทางแรก ที่คาดว่าจะเปิดให้เกิดการเดินทางภายในปี 2568 จะเป็นเส้นทาง ตราด (ประเทศไทย)-สีหนุวิลล์ (ประเทศกัมพูชา)-ฟู้โกว๊ก (ประเทศเวียดนาม) ที่จะมารองรับนักเดินทางไมซ์คุณภาพ
จังหวัดตราด และหมู่เกาะเชื่อมโยงเกาะช้าง ถือเป็นพื้นที่สำคัญภายใต้แผนบูรณาการท่องเที่ยวของรัฐบาลในการส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวสำราญทางน้ำเชื่อมโยงพื้นที่โดยรอบ ซึ่งภาครัฐ และเอกชนในพื้นที่ต่างเล็งเห็นถึงโอกาสและศักยภาพของเส้นทางในการเชื่อมโยง โดยเฉพาะเส้นทางแรก ที่คาดว่าจะเปิดให้เกิดการเดินทางภายในปี 2568 จะเป็นเส้นทางตราด (ประเทศไทย)-สีหนุวิลล์ (ประเทศกัมพูชา)-ฟู้โกว๊ก (ประเทศเวียดนาม) ที่จะมารองรับนักเดินทางไมซ์คุณภาพ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 20 (One Belt One Road) Southern Coastal Economic Corridor ภายใต้แผนการผลักดันของรัฐบาลจีน โดยเชื่อมผ่านจังหวัดของ 3 ประเทศ
โดยทุกจังหวัดบนเส้นทางทะเลของทั้ง 3 ประเทศ ล้วนเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ มีแหล่งท่องเที่ยวสําคัญ สามารถเชื่อมโยงการเดินทางได้อย่างสะดวกทั้งทางรถและทางเรือ มีจุดขายของสินค้า และบริการที่มีความแข็งแกร่ง เป็นอัตลักษณ์ นอกจากนี้ ยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่ได้มาตรฐานในการรองรับนักเดินทางคุณภาพสูง มีเครือข่ายภาคธุรกิจในพื้นที่ที่แข็งแกร่ง เส้นทางดังกล่าว จึงถือเป็นเส้นทางแห่งโอกาส ในการทำการตลาดในรูปแบบ 1 Marketing 3 Destination รองรับนักเดินทางคุณภาพและนักธุรกิจไมซ์จากทั้งในประเทศและต่างประเทศ
...
นอกจากนี้ทางทีเส็บ และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยพันธมิตรภาครัฐ และเอกชนภายในจังหวัดตราด ได้จัดกิจกรรม CVTEC MICE BUSINESS ROADSHOW 2024 ขึ้น เป็นกิจกรรมที่รวมหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนจากกัมพูชา และเวียดนามที่มีศักยภาพ ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เพื่อการมองเห็นโอกาสในการทำตลาดไมซ์บนเส้นทาง CVTEC (Cambodia Vietnam Thailand Economic Corridor) ได้ร่วมเดินทางโดยเรือโดยสารจากท่าเรือสีหนุวิลล์-มายังท่าเทียบเรือคลองใหญ่ในการประเดิมเส้นทางนำร่องสู่การเดินเรือเชื่อมโยงเส้นทางตราด สีหนุวิลล์ และฟู้โกว๊ก มีการร่วมทำกิจกรรมสร้างเครือข่าย และเจรจาจับคู่ทางธุรกิจกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวและไมซ์บนเกาะช้าง และหมู่เกาะเชื่อมโยงอย่างเกาะหมาก และเกาะกูด เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการได้เชื่อมโยงเครือข่ายการทำตลาดร่วมกัน
...
ทั้งนี้ยังมีผู้บริหารระดับสูงหน่วยงานภาครัฐกัมพูชาและเวียดนาม เข้าร่วมประชุมนานาชาติ CVTEC ในการหารือขอตกลงร่วมในการเดินเรือเชื่อมโยงชายฝั่งทะเล 3 ประเทศด้วย
...
ภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ สสปน. หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า “การจัดกิจกรรม CVTEC MICE BUSINESS ROADSHOW 2024 ในครั้งนี้ ทีเส็บได้เรียนเชิญ Potential Buyer จากกัมพูชาและเวียดนามที่มองเห็นโอกาสในการทำตลาดนักเดินทางคุณภาพและนักเดินทางไมซ์บนเส้นทางระเบียงชายฝั่งทะเล 3 ประเทศหรือ CVTEC กว่า 35 ราย ร่วมกิจกรรมเจรจาจับคู่ทางธุรกิจและสร้างเครือข่ายกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวและไมซ์บนเกาะช้างและหมู่เกาะเชื่อมโยง นอกจากนี้กิจกรรมดังกล่าวยังเป็นเวทีการประชุมนานาชาติ CVTEC (Cambodia Vietnam Thailand Economic Corridor Cooperation Conference) เพื่อนำไปสู่ข้อตกลงร่วมในการเดินเรือเชื่อมโยงชายฝั่งทะเล 3 ประเทศ”
“นอกจากนี้ยังมีผู้บริหารระดับสูงของจังหวัด และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของภาครัฐจากกัมพูชาเวียดนาม เข้าร่วมงานประชุมในครั้งนี้ ณ โรงแรมอัยยะปุระ เกาะช้าง ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยได้รับเกียรติในการเป็นเจ้าภาพ และมั่นใจว่าการประชุมครั้งนี้ จะนำไปสู่ข้อตกลงในการเดินเรือเชื่อมโยงร่วมกันได้สำเร็จอย่างแน่นอน ทั้งนี้ คาดว่าหากเกิดการเปิดเส้นทางเดินเรือดังกล่าวได้อย่างเต็มรูปแบบ จะมีรายได้เข้าจังหวัดตราดเพิ่มขึ้น ไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท ต่อปี” รองผู้อำนวยการทีเส็บ กล่าว
ชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “เส้นทางท่องเที่ยวทางเรือ ถือเป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์ และเชื่อมันว่าหากเส้นทางนี้เปิด จะได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม ปัจจุบันเรามีท่าเทียบเรือคลองใหญ่ที่สร้างเสร็จมานาน หากเรานำท่าเรือตรงนี้มาต่อยอดทางการท่องเที่ยวก่อนในเบื้องต้น ถือเป็นเรื่องดี และควรเร่งดำเนินการ นอกจากนี้สำหรับการทำตลาดในรูปแบบ 1 Marketing 3 Destination บนเส้นทาง CVTEC นั้น นอกจากจะทำให้เกิดความร่วมมือในด้านการท่องเที่ยวร่วมกันของ 3 ประเทศแล้ว ยังนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศ ทำให้เกิดโอกาสในการต่อยอดทางธุรกิจอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันในอนาคตอีกด้วย”
"ในอนาคตเราอาจได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ 3 ประเทศในหนึ่งวัน เช่น ทานอาหารเช้าดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ตราด ทานกลางวันที่สีหนุวิลล์ และมื้อเย็นดูพระอาทิตย์ตกดินที่ฟู้โกว๊ก” คุณชำนาญกล่าวทิ้งท้าย
ณัฐพงษ์ สงวนจิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด กล่าวว่า “จังหวัดตราด ถือเป็นจังหวัดที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอันดับต้นๆ ของไทยอยู่แล้ว การที่จังหวัดยกระดับการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชื่อมโยงหมู่เกาะช้างกับจังหวัดสีหนุวิลล์และฟู้โกว๊ก ผ่านเส้นทางเดินเรือเส้นทาง CVTEC นั้นถือเป็นโอกาสในการเพิ่มยอดนักเดินทาง โดยคาดว่าหากการตกลงร่วมกันสำเร็จ และสามารถเปิดเส้นทางเชื่อมโยง 3 ประเทศได้ จะทำรายได้จากการท่องเที่ยวของจังหวัดตราดเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 30%”
ภาพ : istock