เดินเรื่องเข้มข้นชวนติดตามไปกับซีรีส์ “ปาฏิหาริย์รักร้อยปี (Century of Love)” ทางช่องวัน 31 ที่คว้าสองหนุ่มคู่จิ้นคู่ซี้ “ต้าห์อู๋– พิทยา แซ่ฉั่ว” และ “ออฟโรด–กันตภณ จินดาทวีผล” โคจรมาเจอกันอีกครั้ง ถ่ายทอดเรื่องราวของ ซาน (ต้าห์อู๋) ชายหนุ่มผู้มั่นคงในความรัก มีชีวิตเป็นอมตะ จากพลังของศิลาห้าสี รอการกลับชาติมาเกิดใหม่ ของวาด คนรักที่ตายไปเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน จนมาได้พบ กับ วี (ออฟโรด) เด็กหนุ่มที่ก้าวเข้ามาในชีวิต ที่กำลังลุ้นปมที่ใกล้คลี่คลาย เรื่องนี้ทั้งคู่ได้พลิกบทบาทพิสูจน์ฝีมือการแสดงที่เข้มข้นและลงลึก แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ก็ผ่านช่วงเวลาสุดท้อ ที่เกือบเลิกแสดงไปแล้ว
ทั้ง ต้าห์อู๋ และ ออฟโรด ชวนกันเปิดใจ เริ่มจากเล่าความกดดัน ต้าห์อู๋ “จริงๆไม่ได้กดดันจากคนรอบข้าง อย่างผมเริ่มจากตัวเองมากกว่า ที่รู้สึกว่าเราอยู่ในช่องวัน 31 ณ วันหนึ่งที่เราได้โอกาส เราอยากเป็นนักแสดงที่ไม่ใช่แค่มีชื่อเสียงแล้วได้เข้ามาในโปรเจกต์ ตอนแรกๆได้ยินมาบ้างว่า เด็กสองคนนี้มาจากบอยแบนด์ จะแสดงได้เหรอ พอได้ยินแบบนี้ก็อยากทำให้เต็มที่ ไม่ต้องเอาชนะใครแต่เรามาตั้งคำถามกับตัวเองว่าวันนี้เราเรียกตัวเองว่านักแสดงได้หรือยัง ต้องขอบคุณพี่หวอ-วรวิทย์ ผู้กำกับที่ทำให้เราเข้าใจและรักงานแสดง”
...
ทำไมถึงจะยอมแพ้? ต้าห์อู๋ “มันกดดันหลายอย่าง ระหว่างเรียนจะได้ยินประมาณว่าถ้าโปรเจกต์นี้ไม่ดีเนี่ยลำบาก เราจะไปต่อยาก ทีมเขียนบทดีมาก ต้องออกมาดีแน่ๆ ได้ผู้กำกับดีมากๆ เค้าพูดเพื่อซัพพอร์ต แต่สุดท้ายเป็นสิ่งที่บอกว่าเราต้องทำให้ดีนะ มันเลยกดดัน เครียดมาก ไม่มีความสุข นั่งร้องไห้ตอนเรียนการแสดง มันแบลงก์ไปหมด ทำอะไรไม่ถูกทั้งที่ยังไม่เริ่ม มันคือการแสดงในห้องสี่เหลี่ยม ก็เลยโทษตัวเองว่าคงทำได้ไม่ดี คงไม่ใช่ สิ่งที่ถนัด ทั้งที่พยายามมาก ซึ่งแอ็กติ้งมันหวังผลไม่ได้ มันพยายามไม่ได้ จนเปิดกองวันแรกถึงเพิ่งเข้าใจว่าเราไม่ต้องคาดหวัง ไม่ต้องพยายาม ปล่อยอยู่กับปัจจุบันขณะ ต้องขอบคุณพี่หวอ เค้าคือครูชั้นดีที่ทำให้เราเข้าใจและรักการแสดง หลังคิว 2 คิว 3 เริ่มชอบ รู้สึกสบายใจที่พี่หวอเดินเข้ามากำกับ คิดตาม ทำได้ ผ่าน จบ มันเริ่มแบบแค่นี้เองอะ แค่เคลียร์สติตัวเองให้ดี”
ขณะที่ต้าห์อู๋เครียดอยู่ ออฟโรดที่เป็นพาร์ตเนอร์ ได้รับรู้หรือซึมซับกับสิ่งที่เค้าเผชิญมั้ย? ออฟโรด “รับรู้ตลอด ก็ให้กำลังใจ ลงเรือลำเดียวกันแล้ว อยู่ในโปรเจกต์ที่ก็ใหม่ทั้งคู่และมีแรงกดดันเยอะ แต่เชื่อมั่นว่าเค้าทำได้ เพราะเชื่อมาตลอด จริงๆผมกับพี่อู๋เป็นเหมือนกัน แต่ช่วงเวลาต่างกันช่วงแรกๆผมจะชิลมาก แต่พอไปเจอสถานการณ์จริง เป็นช่วงที่กองเริ่มถ่ายทำไปแล้ว มันทำไม่ได้ซักที เหมือนทำการบ้านมาแต่สิ่งที่ทำมาไม่ใช่ แล้วเราตั้งใจทำมากและคิดว่าสิ่งนี้ใช่ กลายเป็นเราเปลี่ยนไม่ได้ ความมั่นใจหายไปเลย กลัวทำแค่เฉพาะบทที่มี กลัวผิดอีก เลยเล่นแค่นั้นพอ บางทีเค้าก็บอกทำไมเล่นเป็นหุ่นยนต์ จริงๆไม่ใช่เราไม่สู้ เราทำทุกวิถีทาง อ่านบท ทำการบ้าน เรียนแอ็กติ้ง แต่บางทีทฤษฎีเยอะไปก็ไม่ดี แล้วความสุข มันหายไป แต่เรารู้สึกอยากทำให้ดี เพราะบอกเค้าว่าจะเดินไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นผมจะไม่ทิ้ง มันคือความรับผิดชอบของนักแสดง พี่อู๋ก็ช่วยรับฟังเรา จนทำให้เราผ่านตรงนั้นมาได้ กว่าผมจะปรับตัวเข้ากับกองได้ก็หลังๆเลย”
ผ่านช่วงปัญหาอะไรโชคดียังไงที่ข้างๆมีอีกคน? ออฟโรด “เค้าอยู่กับ ผมทุกช่วงเวลาและมีวิธีการจัดการที่ดีกับผมหลายวิธี ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดที่จะปลอบเราได้ มีวันนึงที่เราไปถ่ายซีรีส์ด้วยกันแล้วไปนอนต่างจังหวัด ถ่ายเสร็จได้นอนคุยกัน เค้าเข้าใจเราอยากให้คนอื่นเข้าใจเรา พอพูดแล้วจะร้องไห้ เค้าสงสารเรา การที่มีเค้าในวันที่เรารู้สึกอยากยอมแพ้มันกลายเป็นเอาวะ สู้ ผมรู้สึกว่าเค้าเป็นที่พึ่งเราได้ เราไม่ได้อยู่คนเดียว เค้าเป็นที่ระบาย”
ต้าห์อู๋ “เราอยู่กับเค้ามาตลอด เรารู้ วิธีว่าแค่ไม่ใช่แค่ปลอบ แต่ทำยังไงที่ช่วยเค้าแก้ปัญหา เราผ่านวิธีการเรียนรู้มาเยอะ มีทั้งงอน น้อยใจกันอาจจะพูดตรงแรง ทั้งหมดมันคือความหวังดี”
แสดงว่าเราแคร์เค้า? ต้าห์อู๋ “ผมพูดตรงๆว่าสิ่งที่คิดมาตลอดคือ จะทำยังไงก็ได้ไม่ให้ใครมองออฟโรดไม่ดี”
ออฟโรด “สิ่งที่ผมพยายามตั้งใจทำทุกอย่างให้ดีไม่ใช่แค่เพื่อแฟนคลับแต่เพราะเค้าเลย ชอบถามเค้าว่าผมเก่งขึ้นมั้ย”
ต้าห์อู๋ “จากเรื่องนี้ผมก็ชมเค้านะว่าเก่งขึ้น รับมือกับปัญหาได้ดีขึ้นจริงๆ”
ทุกวันนี้มีความสุขกับการแสดงแล้วหรือยัง? ออฟโรด “ผมรู้สึกผมโตขึ้น การจัดการอะไรหลายๆอย่าง อย่างน้อยไม่ได้กระโดดจาก 1 ไป 2 แต่โดดจาก 1 ไป 7 ไป 8 เหมือนได้เจอของยากแล้วมีภูมิคุ้มกันพี่หวอทำให้ผมรู้จักตัวเองมากขึ้น บางทีผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่านี่คือสิ่งไม่ดี คือข้อบกพร่อง ได้มารู้ในเรื่องนี้และเค้ามาแก้ให้ อาจจะยังแก้ไม่ได้หมด แต่ทำให้เราเห็นปัญหา นอกจากผลงานรู้สึกได้คำสอน ได้อะไรหลายๆอย่างมากๆครับ”
...
ต้าห์อู๋ “ผมมีความสุขกับการแสดงในหลายๆเรื่อง เราไม่รู้ตัว เพราะเราโตมาด้วยการคิดก่อนทำ แต่ ณ วันนี้ทำให้เข้าใจว่ายังมีอะไรรอเราอยู่ข้างหน้าอีกเยอะให้เราเรียนรู้ เราคิดว่าแค่เราทำให้ดี”
ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็นพาร์ตเนอร์ของกันและกันคงไม่ได้มาถึงวันนี้ใช่มั้ย? ต้าห์อู๋ “ใช่”
ออฟโรด “ผมว่าเราต้องขอบคุณที่ทุกครั้งเวลาเราหันหน้าออกจากกันเราไม่เคยไปเลย เราจะเลี้ยวกลับมาทุกรอบเลย แม้เราจะน้อยใจกัน แต่เราก็ยังไปด้วยกัน ผมไม่ต้องการที่จะไปเปลี่ยนเค้า แต่เราจะทำยังไงให้เราอยู่กับเค้าและโตไปด้วยกัน นี่คือความรักของผม นี่คือสิ่งที่พยายามทำมาตลอด วิธีการบอกรักของผมเป็นแบบนี้ ผมอาจจะไม่ได้เป็นคนปากหวาน”
วันหนึ่งถ้าต้าห์อู๋ไม่มีออฟโรด และออฟโรดไม่มีต้าห์อู๋ มันจะเป็นอย่างไร? ต้าห์อู๋ “ไม่เคยคิดนะ เพราะว่าต่อให้สักวันหนึ่งเราจะต้องแยกทำงาน ก็ยังใช้ชีวิตได้ต่อไปด้วยกันได้เรื่อยๆ เราไม่ได้ทำงานไป 30 50 ปี อยู่แล้ว ผมว่ายังไงสุดท้าย แล้ว เราก็โตไปด้วยกันอยู่ดี และเราก็จะไม่หายไปจากชีวิตของกันและกันแน่นอน เค้าบอกว่าจะเลี้ยงผม (ยิ้ม)”
ออฟโรด “เป็นที่พึ่งพา เป็นบ้านพักให้เค้า เราก็รักกันนี่แหละ”
ต้าห์อู๋ “ชีวิตเรามีช่วงที่ ยากลำบากหลายช่วงมาก เค้าเป็นกำลังใจให้เราที่ดี เพราะว่าเค้าเป็นคนที่รู้ทุกเรื่องในชีวิตเรา เราเป็นคนที่จัดการปัญหาทุกอย่างได้ คนเลยชอบมองว่าผมเก่งมาตลอด มันกลายเป็นว่าเราต้องการคนที่รับฟังเราได้ ไม่ต้องมาช่วยแก้ปัญหาแต่อย่างน้อยก็เข้าใจเรา โชคดีที่มีออฟโรด เค้าไม่ได้แค่ฟังเฉยๆ แต่เค้าจะ ให้กำลังใจ”
...
ออฟโรด “คนอาจมองว่า พี่อู๋แก้ปัญหาทุกอย่างได้ แต่จริงๆเค้าต้องการความชัวร์บางอย่าง ผมจะไม่ค่อยถามรอให้เค้าโทร.มาหาเอง และเค้าก็โทร.มาบ่อยอยู่ (ยิ้ม) เราก็คุยกันตลอดอยู่แล้ว”.
เม้าท์ชัด จัดทุกตอน ติดตามได้ที่ www.thairath.co.th/novel และ Facebook Fanpage : นิยายไทยรัฐ