ตั๊ก ศิริพร รับจะทำงานถึงอายุ 48 ปี และเฟดตัวออกวงการ ตอนนี้ 45 ปีแล้วจะไปอยู่กับแม่ ไปกลับนครสวรรค์ พิษณุโลก อยากดูแลแม่ให้เต็มที่ บอกไม่ชอบทำอะไรหลายอย่าง ขอบคุณผู้ใหญ่ให้งาน อยากเห็นดาวดวงใหม่ยันไม่ได้อิจฉา บอกเด็กใหม่เข้าวงการให้เข้มแข็ง ยันไม่เสียดายเงินทองที่ได้มาจากงานในวงการ ปัดปลง โต้มีเงินเก็บรวย 100 ล้าน...

ทำเอาฮือฮาไม่น้อยเมื่อนักร้องนักแสดงตลกสาวผิวเข้ม ตั๊ก ศิริพร อยู่ยอด ประกาศว่าเตรียมจะออกจากวงการบันเทิงและจะกลับไปอยู่ที่ จ.พิษณุโลก พอได้เจอ ตั๊ก มาร่วมงานแถลงข่าว "3 สาว 3 วัย ขวัญใจมวลชน" ณ บริเวณ Lifestyle Hall ชั้น 1 ศูนย์การค้าเดอะมอลล์บางแค จึงถามถึงเรื่องนี้ว่าเป็นยังไงกันแน่ งานนี้เจ้าตัวจะว่าไงต้องไปฟัง

เห็นว่าเราไปออกรายการนึง แล้วคนฮือฮาว่าเราจะออกจากวงการ?
"คือไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้ว เดี๋ยวคนด่าอีกอะ ถามว่าจะลดบทบาทลงไปกว่านี้ไหม คือพี่จะทำงานจนอายุ 47 พออายุ 48 พี่จะออกเลย ตอนนี้พี่อายุ 45 ย่าง 46 แล้ว ปีใหม่ปีหน้าก็อายุ 46 คือพูดง่ายๆ อีก 2 ปีค่ะ"

...

ทางนุ้ย เชิญยิ้ม เขาโอเคแล้วใช่มั้ย?
"อ๋อ พี่นุ้ยบังคับพี่ แต่ตัวพี่นุ้ยเขายังทำอยู่นะ"

เห็นว่าจะย้ายไปอยู่ จ.พิษณุโลก เลย?
"คุณแม่พี่อยู่พิษณุโลก บ้านพี่อยู่นครสวรรค์ แต่แม่ไปปลูกบ้านอีกหลังนึงที่พิษณุโลก ก็เลยต้องไปๆ มาๆ ระหว่างพิษณุโลกกับนครสวรรค์ พี่รู้สึกว่าพี่ทำงานตั้งแต่เด็กแล้วไง ตอนนี้พี่อายุ 45 ย่าง 46 แล้วพี่รู้สึกว่ามันเหนื่อยจังเลย อยากพักบ้าง แล้วอีกอย่างพี่อยากพาแม่ไปโน่นไปนี่ อยากอยู่ใกล้ชิดท่าน คนเราอายุมันสั้น จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พี่ก็อยากอยู่ใกล้ชิดแม่ อยากพาแม่ไปโน่นไปนี่บ้างค่ะ"

ไปอยู่โน่นเรามีอาชีพสำรองไหม?
"ให้ผัวหาเลี้ยง (หัวเราะ) เพราะพี่นุ้ยยังทำอยู่ แต่พี่ตั๊กเป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรทั้งสองอย่าง จะเห็นว่าพี่ตั๊กทำแต่วงการบันเทิง ไม่ได้ทำธุรกิจเลยนะ เพราะพี่ทำหลายอย่างไม่เป็นน่ะ พี่ไม่สามารถแบ่งพาร์ตตัวเองได้เพราะรู้สึกว่างานที่ทำอยู่เนี่ยพี่อยากทุ่มให้กับมันเต็มที่ เพราะฉะนั้นถ้าเราทำหลายอย่างเดี๋ยวมันไม่ดีสักอย่าง ไม่เอาดีกว่า"

ตอนนี้มีงานทุกวันเลยไหม?
"พี่ก็ต้องขอขอบคุณเพราะว่าพี่เข้าวงการมาจนเดี๋ยวนี้ก็ยังสม่ำเสมอเนอะ ขอบคุณเจ้าของงานที่ยังเรียกใช้พี่อยู่ พี่ว่าเป็นเพราะเขาคงเห็นความทุ่มเทในการทำงานของพี่ เพราะพี่รู้สึกว่าถ้าเขาจ้างเราไปแล้ว เขาก็ต้องเห็นอะไรในตัวเราแล้วแหละ ก่อนที่จะทำงานอะไรสักอัน พี่ต้องทำการบ้านก่อนทุกครั้ง พี่ทุ่มเท เราอยู่ในวงการได้จนถึงเดี๋ยวนี้เพราะคุณภาพงานของเรา"

ไม่เสียดายงานในวงการใช่ไหม?
"พี่อยากเห็นดาวดวงใหม่จริงๆ นะ พี่ไม่เคยนึกอิจฉาเลย ถามว่าเสียดายโอกาสไหม พี่บอกได้เลยว่าไม่มีอาชีพไหนเงินดีเท่าอาชีพวงการบันเทิง แต่ก็ไม่มีอาชีพไหนที่ทำให้เราหลงระเริงไป แต่คนที่เข้ามาในวงการเสียคนก็เยอะ เพราะฉะนั้นน้องคนใหม่ๆ จะเข้ามาสู่วงการนี้ต้องเข้มแข็ง ต้องเป็นคนที่จิตใจเข้มแข็ง

อย่าให้มายาพาเราไปในทางที่ไม่ดี สำหรับพี่ตั๊กเอง น้องถามพี่ว่าถ้าออกไปเสียดายไหม คือพี่ตั๊กรู้สึกว่าตัวพี่เองมีบุญอะไรอย่างนึงก็ไม่รู้ คือมีวันนึงพี่เข้าไปในยูทูบ แล้วพี่ไปเจอคลิปอาจารย์ยอด แกมีนิทานกฎแห่งกรรม ธรรมะ พี่ก็ลองเข้าไปฟังแล้วกลายเป็นว่าพี่ติดลม พี่ไม่ดูทีวีมานานมาก ดูแต่นิทานธรรมะ แล้วกลายเป็นคนกลัวเรื่องบาปกรรม เท่ากับว่าธรรมะซึมเข้าไปในตัวพี่แล้ว เลยรู้สึกว่าความสุขจริงๆ ของคนไม่ได้อยู่ที่การมีชื่อเสียงเงินทองหรอก"

เหมือนเราปลง?
"อุ๊ย ถ้าปลงต้องไปบวชแล้วล่ะ แต่พี่ไม่ถึงขนาดต้องไปบวชไง เขาบอกว่าคนเราเนี่ยไม่จำเป็นต้องเข้าวัดหรอก ถือศีลอยู่บ้านหรือที่ไหนก็ได้ พระบางองค์เป็นพระอรหันต์แต่ไม่เคยเข้าวัดเลย แต่เป็นพระอรหันต์อยู่ในป่าได้ค่ะ"

หลายคนก็เสียดายความสามารถ?
"แหม พี่อยากบอกว่ามันไม่ใช่แค่พี่เก่งคนเดียว คลื่นลูกใหม่มาเขาก็เก่ง ถึงบอกว่าอย่ามองว่าเราเก่ง คนอื่นเขาก็เก่งเหมือนกัน ตัวพี่ตั๊กที่อยู่วงการนี้และคนจ้างไปหลายรายการ พี่ว่าเกิดจากหนึ่งพี่ได้ครูดีก็คือผัวพี่นั่นเอง (ยิ้ม) พี่นุ้ยจะเป็นคนคอยตามเช็กพี่ คอยสอนมุก พี่โชคดี และคนรอบข้างน่ะดี"

...

ก่อนจะปลดระวาง เราจะรับงานให้น้อยลงหรือแน่นไปเลย?
"แน่นซิคะคุณขา (ยิ้ม) เป็นการทิ้งทวน"

แล้วน้องภูล่ะ เราวางทิศทางยังไงให้ลูกบ้าง?
"พี่ไม่บังคับลูกเลย ภูจะชอบอะไร เรียนอะไร หรืออยากเป็นอะไร ในตามข่าวที่ออกไป พี่บอกทุกคนเลยนะ ตัวพี่เป็นแม่ พี่ไม่ได้ต้องการอะไรจากลูก พี่มีหน้าที่ให้กำเนิดชีวิตเขา แต่ชีวิตก็คือของเขา เราไม่ได้เป็นเจ้าของเขา แต่พี่ขอลูกไว้แค่ 3 อย่าง หนึ่งภูต้องเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่ภูจะทำได้ สองภูจะต้องมีหน้าที่การงานที่ดี และสามภูต้องเป็นคนดี พี่ขอจากลูกแค่นั้นเอง แต่อย่างอื่นแล้วแต่ภูเลย"

ถ้าเราเฟดจากวงการ น้องภูต้องย้ายตามไปกับเราไหม?
"ภูก็อยู่กับพี่นุ้ยไง เพราะพี่นุ้ยไม่ได้ตามพี่ไป แต่พี่ไม่ใช่ว่าไปอยู่พิษณุโลกแล้วจะไม่มาดูแลสามีกับลูก ก็ไปๆ มาๆ ค่ะ แต่พี่บอกตรงๆ ว่าอยู่กรุงเทพฯ มา 20-30 ปี พี่ไม่มีวันไหนที่ชอบกรุงเทพฯ สักวันเลยค่ะ"

เรียกว่าตอนนี้เรามีความสุขกับการทำงาน?
"ตอนนี้พี่รู้สึกว่าดีใจจังเลย เราเข้าวงการตั้งแต่อายุ 17 จนตอนนี้อายุ 45 แล้ว งานการพี่ยังสม่ำเสมอ ต้องขอบคุณทุกท่านที่จ้างงานพี่ไป อย่างที่บอกว่าพี่ไปทำงาน พี่ก็ทำงานให้เต็มที่คุ้มค่ากับเงินที่จ้างพี่ไป"

...

พออายุ 48 แล้วจะไปทำอะไรต่อ?
"พี่อยากนั่งเฉยๆ อยู่บ้าน อ่านหนังสือ ตื่นเช้าไปทำบุญที่วัด พี่ทำงานมาเยอะแล้วตั้งแต่เด็ก พี่รู้สึกว่าเหนื่อยจังเลย อยากพักบ้าง พอแล้ว"

ถ้าหลังจากอายุ 48 และได้พักสักปีแล้ว ถ้าคิดถึงวงการจะมีมาแจมแบบแวบๆ ไหม?
"โอ๊ย ไม่ได้สิ พี่ว่าเราต้องมีสัจจะนะ เพราะเราไม่ใช่คนบางคนที่จะออกแล้วไม่ออก (ยิ้ม) ถ้าเราไม่มีสัจจะอย่าไปพูด ถามว่าถ้าแฟนๆ คิดถึงจะทำไง โอ๊ย เดี๋ยวเขาก็ลืม เชื่อพี่สิ คนไทยลืมง่าย (หัวเราะ)"

ทำไมต้องเฟดตอนอายุ 48 ปี?
"คือตอนแรกว่าจะอายุ 50 แต่ก็คิดว่าอายุ 50 จะแก่ไปไหม พี่เลยตั้งใจว่าจะเกษียณตัวเองก่อนอายุ 50 ดีกว่าค่ะ"

คนก็คิดว่าเรารวย 100 ล้านแล้ว?
"แหม...อยากให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ สาธุ (ยิ้ม) แต่พี่พูดตรงๆ สาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลย พี่ไม่มีเงินขนาดนั้น อย่างที่บอกว่าพี่ไม่เคยทำธุรกิจ พี่ทำแต่งานในวงการ ถ้าพี่มีเงิน 100 ล้าน เออ...ถ้าพี่ทำธุรกิจด้วยสิจะไม่เถียงเลย แต่พี่ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย ได้มาก็ใช้ไป เหลือแบ่งเก็บบ้างนิดหน่อย พี่ไม่ได้มีเงินเยอะเลยค่ะ มีเงินเก็บแค่นิดๆ หน่อยๆ ที่ผ่านมาอะไรที่พลาดไปเราก็มีนะที่ฟุ่มเฟือย ใช้เงินไปอย่างไม่ควรใช้ก็เยอะนะ แต่โชคดีที่เรากลับตัวทันค่ะ".

...