แซม ยุรนันท์ อดีตพระเอกชื่อดังของวงการบันเทิงไทย เผยเคยหนีออกจากบ้านเพราะทะเลาะกับพ่อจนทิ้งชีวิตคุณหนูเพราะอยากลองทำงานในวงการบันเทิงสักครั้ง บอกในอดีตฮอตมากเคยรับงานเล่นหนัง 1 วัน ถ่าย 3 เรื่อง ตอนนี้ชีวิตแฮปปี้กับการทำธุรกิจส่วนตัว รับยังคิดถึงวงการบันเทิงแต่ไม่พร้อมกลับมารับงาน
ถ้าจะเอ่ยถึงชื่อของ แซม ยุรนันท์ ภมรมนตรี เชื่อว่าหลายคนยังคงจดจำพระเอกมากความสามารถคนนี้ได้อย่างแน่นอน แซม ยุรนันท์ ฝากผลงานเอาไว้มากมายในวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นนายแบบ พระเอกภาพยนตร์ พระเอกละคร นักร้อง หรือแม้กระทั่งพิธีกร ก่อนจะผันตัวเองไปเล่นการเมือง และหลังจากนั้น แซม ยุรนันท์ ก็หายหน้าไป
วันนี้บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ได้มีโอกาสพูดคุยกับอดีตพระเอกเบอร์ต้นของวงการบันเทิงอีกครั้ง เลยไม่พลาดที่จะอัพเดตชีวิตของผู้ชายคนนี้ว่าปัจจุบันทำอะไร และให้เล่าถึงความโด่งดังในอดีตเมื่อครั้งเป็นพระเอกให้แฟนๆ ฟังกันอีกครั้งหนึ่ง ถ้าพร้อมแล้วไปอัพเดตเรื่องของผู้ชายคนนี้กันเลย
จุดเริ่มต้นของการเข้าวงการบันเทิง?
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตผมมันไม่ได้ถูกวางไว้ก่อนสักเรื่อง มันมาจากโอกาสที่มาถึงแล้วก็เลือกที่จะหยิบโอกาสนั้น แล้วก็ทำ และพัฒนา อย่างผมไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะเป็นนักแสดง เพราะไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนหน้าตาดี และไม่เคยมีใครมองว่าหน้าตาดีเลย อยู่ที่โรงเรียนก็ไม่เคยทำกิจกรรมอะไร
จนกระทั่งตอนอายุ 16 มีคนบอกว่าผมหล่อ คือรูปพรรณสัณฐานตอนเด็กๆ คำจำกัดความที่แม่บอกคือ ผมเหมือนฝรั่งแก่ๆ คนหนึ่ง (หัวเราะ) ไม่ใช่ฝรั่งปกตินะ คือฝรั่งแก่ๆ คุณลุงเชยๆ ไม่มีความโดดเด่นอะไรเลย
...
แล้วก็คิดว่าอายุ 16 ตัวเองจะตาย ซึ่งไม่รู้มีความคิดอย่างนั้นได้ไง ใครถามโตขึ้นจะเป็นอะไร ก็ไม่ได้แพลนว่าตัวเองจะเป็นนู้นเป็นนี้ แต่รู้สึกว่าฉันมีความรู้สึกว่า 16 ฉันจะตาย รู้สึกเหมือนเราจะมีอายุอยู่แค่ 16 เอง (หัวเราะ)
พออายุ 16 กลับเป็นคนดูมีชีวิตชีวาขึ้น แล้วเวลาไปนอกบ้านคนชอบชวนไปถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา บางทีขับรถอยู่ สาวๆ ขับรถปาดหน้าแล้วชวนขึ้นรถ เฮ้ย มันมีแบบนี้ด้วย (หัวเราะ) หนักสุดคือเดินอยู่ข้างถนนกับเพื่อนแถวราชเทวีก็มีคนตะโกนเรียกจากบนรถเมล์ แล้วชวนไปเล่นหนัง ตกใจมากว่าเขาชวนเล่นหนังแบบนี้เหรอ
เราก็ถามเขาว่าเล่นหนังอะไร เขาบอกมีนางเอกเป็น จารุณี สุขสวัสดิ์ นะ ก็เลยไปขอพ่อ พ่อไม่ให้กลัวจะไม่เรียนหนังสือ กลัวจะหลงระเริง พ่อไม่อยากให้อยู่บันเทิง แต่แม่เป็นอดีตนางสาวไทย มันไม่บันเทิงตรงไหน (ยิ้ม)
แต่เราอยากทำแค่อยากไปลองดู เพราะมันเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับเรา แต่เหตุผลของพ่อก็ไม่ผิดนะเพราะพ่อเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการศึกษา ก็มองว่าการไปเต้นกินรำกินอย่างนี้มันไม่ใช่
สมัยนั้นเราเป็นเด็กที่อาจจะไม่ได้หัวรุนแรงมากแต่จะต้องชัดเจนในเหตุและผล เมื่อพ่อไม่ชัดเจนแบบนี้เลยออกจากบ้านไป ไปทั้งๆ ที่ทำอะไรไม่เป็นเลย ขึ้นรถเมล์ก็ไม่เป็น (หัวเราะ)
พอออกจากบ้านก็ไปอาศัยอยู่กับคุณป้าอยู่แถวปากเกร็ด ที่เมื่อ 40 ปีก่อนมันคือไกลมาก เป็นถนนลูกรัง ต้องนั่งรถเมล์ ฝนตกก็เปียกฝน ตอนนั้นก็เศร้าเหมือนกันนะ แต่ท้อไม่ได้ มันมีแรงบันดาลใจว่าต้องทำให้ได้นะ
ก็เริ่มไปเล่นหนัง ตอนนั้นอายุ 17 ก็ไปเล่นหนังทั้งๆ ที่ไม่มีผู้จัดการ ไม่มีคนสอนการแสดง ไปที่กองคนเดียว แต่ก่อนหนังจะออกถ่ายแม็กกาซีนเยอะมาก มานั่งคิดๆ ดูก็เหมือนเราตายไปแล้วจริงๆ นะ การออกมาจากบ้านเป็นเหมือนการเริ่มชีวิตใหม่จริงๆ"
จากชีวิตคุณหนูออกมาทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเอง เป็นอย่างไรบ้าง?
"ชีวิตมันเปลี่ยนไปเลย เงินที่ได้มาต้องทำอะไรบ้าง จัดการอะไรบ้าง ทำงานสมัยก่อนลำบากเรื่องการนัดคิวกัน มันไม่ได้ง่ายเหมือนสมัยนี้นะ ต้องนัดกันล่วงหน้า และเราก็ไม่มีผู้จัดการคอยรับงานให้ ถ่ายแม็กกาซีนเยอะมาก ถ่ายโฆษณาไปเรื่อยๆ หนังก็ยังไม่ออกฉาย
ก็คิดว่าพ่อยังไม่รู้ผลลัพธ์ว่าที่เราทำมันจะเป็นยังไง แล้ววันหนึ่งด้วยความบังเอิญ หม่อมเจ้าทิพยฉัตร ฉัตรชัย กำลังจะสร้างหนังใหม่ ปั้นพระเอกใหม่ ซึ่งหลายคนใฝ่ฝันอยากจะเล่นหนังกับท่านเยอะ และเราได้รับโอกาสนั้นแบบฟลุกๆ เลยได้มาเล่นหนังเรื่องค่าแห่งความรักครับ
...
ซึ่งพอรู้ว่าตัวเองได้เป็นพระเอก ก็ตกใจว่าคนนี้คือท่านทิพย์เหรอ คือสมัยก่อนไม่มีโลกออนไลน์แบบนี้ เราไม่รู้หรอกว่าหน้าตาท่านเป็นยังไง แต่เคยได้ยินชื่อ ใครจะคิดแค่เข้าห้องน้ำแล้วเจอกันจะได้เป็นพระเอกหนัง ใครจะคิดว่าเดินอยู่ข้างถนนแล้วคนมาชวนเป็นพระเอก (หัวเราะ)
ถึงได้บอกว่ามันเป็นโอกาสของคนที่มันเข้ามาแล้วจะหยิบเอาโอกาสนั้นมั้ย พยายามทำให้ดีมั้ย ตอนนั้นความพยายามของผม มันเป็นการพยายามที่ไม่ได้มีใครมาต่อยอดให้เรา มันไม่ได้มีโรงเรียนการแสดง พยายามด้วยตัวเอง มันก็ได้ประมาณหนึ่ง เราก็เลยต่อยอดจากวงการบันเทิงมาเรื่อยๆ เล่นนู้นเล่นนี้จากที่แค่จะเล่นเรื่องเดียว
ก็คิดนะถ้าวันนั้นพ่อยอมให้เล่นหนังอาจจะจบแค่เรื่องนั้นเรื่องเดียว และก็เป็นไปตามแพลนที่พ่อวางไว้ก็ได้ แต่วันนั้นมันทำให้เห็นว่าจริงๆ สิ่งที่พ่อพูดมันก็ไม่ผิดนะ แต่สิ่งที่เราพูดมันก็ไม่ผิดด้วย เพราะวัยที่มันห่างกันมาก ตอนที่พ่อมีผม พ่ออายุ 60 แล้ว อายุมันห่างกัน
คือพ่อมีลูกโตแล้วหลายคนแต่ผมเป็นลูกคนเล็ก ท่านอาจจะผ่านการสอนการเห็นว่าอะไรผิด อะไรถูกมาเยอะ ก็ไม่ได้ผิดนะ เพราะพ่อหวังดี แต่ตอนนั้นผมกำลังเป็นเด็กวัยรุ่น มีความคิดของตัวเอง พ่อไม่มีสิทธิ์มาปิดกั้นความคิดเรา ตอนนั้นคิดแค่นั้น"
...
พอผลงานเริ่มออกคุณพ่อว่าอย่างไรบ้าง?
"คุณพ่อเสียตอนผมอายุ 19 ครับ เพิ่งเริ่มต้นเอง ตอนนั้นก็มีผลงานออกมาแรกๆ แล้วแหละ จริงๆ แม่รู้นะ แม่ก็แอบซัพพอร์ตบ้าง แต่แม่ก็รู้ว่าลูกหัวดื้อตั้งแต่สมัยเด็กๆ ถ้างอนกับแม่คือไม่พูด จนพ่อต้องมาบอกผมว่าให้พูดกับแม่หน่อยนะ จะเอาอะไรเดี๋ยวพ่อให้ เป็นถึงขั้นนั้นเลย
คือผมเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง แม่ก็จะรู้ว่าไม่มีประโยชน์หรอกก็ปล่อยผมให้ทำ ไม่ได้เกลี้ยกล่อมให้กลับบ้านแม่เคยเอารูปที่ผมถ่ายโฆษณาให้พ่อดู แล้วถามว่าคนนี้หน้าตาดีมั้ย พ่อก็บอกว่าหน้ามันฝรั่งเลย (หัวเราะ)
พ่อจำผมไม่ได้เพราะภาพลักษณ์มันไม่ใช่ เพราะรูปเด็กที่เขาเห็นคือใส่เชิ้ตผูกไทด์ ท่าแอ็กชั่นต่างๆ มันดูโตเกินตัวเราจริงๆ สมัยนั้นผมต้องเรียน รด. ไม่มีผม แต่เวลาไปทำงานต้องใส่วิกเอา เพราะสมัยก่อนถ้าเป็นเด็กมากเขาไม่รับนะ ต้องบอกเขาว่าตอนนั้นเราอายุ 20-21 แล้วถึงจะได้ทำงาน (หัวเราะ)”
...
ผลงานชิ้นไหนที่สร้างชื่อเสียงให้ แซม ยุรนันท์ โด่งดัง?
คือผมมีสองยุค ยุคหนังกับยุคละคร ยุคหนังนี้เล่นเป็นร้อยเรื่องเลย เล่นจนปวดหัว คือตอนนั้นเริ่มมีผู้จัดการดูคิวให้ ก็รับเยอะมาก หนังยุคนั้นจะเรียกว่าหนังขายสาย คือเป็นการขายแบบคู่ขวัญ
ถ้าสมัยก่อนเป็น มิตร ชัยบัญชา ต้องเล่นคู่กับ เพชรา เพราะมันการันตีได้ว่าหนังมันต้องฮิต ขายได้ แล้วก็มีตกลงกันว่าภาคเหนือจะซื้อเท่าไร มีกี่จังหวัด เอาหนังเรื่องนี้ไปฉายเอง จะจัดฉายเดี่ยวหรือฉายควบก็เป็นเรื่องของเขา ภาคอีสานซื้อเท่าไร ภาคใต้ซื้อเท่าไร ภาคกลางซื้อเท่าไร
แต่ยุคผมมันเป็นยุคขายสายยุคสุดท้ายแล้ว ของผมจะเป็นคู่ขวัญ แซม-นาถยา แจ้งเกิดในเรื่องแดงบุหงา เป็นเรื่องแบบผัวเมียตีกันฟันแทง และมีเรื่อง ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ปีกมาร ผมจะเล่นหนังแนวตาต่อตาฟันต่อฟัน ลูกพี่ผมคือคุณพิศาล อัครเศรณี หนังที่ผมเล่นเลยเป็นแนวแบบโหด
แต่ถ้าเป็น แซม-จินตหรา ก็จะเป็นอีกแนวหนึ่ง ลดดีกรีลงมาหน่อย เป็นกุ๊กกิ๊กสนุกสนาน แนวผัวเมียเบาๆ แต่ถ้าเป็น แซม-สินจัย ก็เป็นอีกแบบ แซม-มาช่า ก็จะอีกแบบหนึ่ง ถ้าเป็นสมัยนี้ก็จะเป็นคู่จิ้น
ความฮอตในตอนนั้นมันฮอตแค่ไหนคะ
"อย่างตอนนั้นเป็นวัยรุ่น วัยรุ่นตอนนั้นคือถ่ายแม็กกาซีน ไม่ค่อยมีนายแบบ พอขึ้นปกทีเล่มนี้ได้ ก็ได้ขึ้นติดๆ กัน ขึ้นแผงตลอดจนเรารู้สึกอาย (ยิ้ม) เพราะขึ้นหนังสือหมดทุกประเภทแม้กระทั่งปกขายหัวเราะ เป็นหน้าผมถ่ายกับการ์ตูนแวดล้อม
แม้กระทั่งเพลย์เกิร์ลทุกวันนี้ก็ยังโดนด่า แค่ไปถ่ายเฉยๆ ถามว่าฮอตแบบเป็นณเดชน์หรือเปล่า ผมไม่กล้าเทียบกับรุ่นน้องๆ หรอกเพราะน้องเขาก็ดังมากเป็นดาราในยุคนี้ เราก็ตอบไม่ได้หรอกว่าเราดังเท่าน้องเขาหรือเปล่า แต่ก็เป็นที่สนใจ สมัยก่อนดารามันน้อยไงครับ
พอตอนแต่งงานแล้ว มีลูก ผมก็อยากจะพาลูกไปเที่ยวเขาดินเหมือนพ่อคนอื่นๆ แต่ตอนนั้นยังเป็นดาราดังอยู่ พาลูกไปเดินเขาดินไม่ได้เดินเลย คนขอถ่ายรูปจนลูกพูดว่าผมเหมือนลิงในกรงเลย เพราะคนมารุมถ่ายรูปเยอะมาก ซึ่งเราปฏิเสธไม่ได้ คือเห็นแฟนๆ เขารักเรา เราก็โอเคนะ
แต่พอหันมาเห็นหน้าลูกหน้าเมียแล้ว ก็ต้องปฏิเสธแฟนๆ ไปว่าวันนี้ผมขอนะ ซึ่งผมก็เสียใจนะที่ต้องปฏิเสธเขาไป ต้องบอกว่าในช่วงนั้นลูกไม่มีความสุขเลยที่มีผมไปไหนด้วย เขาชอบบอกให้รอในรถ ผมไม่รู้จะพูดยังไงแต่ทุกคนก็ซึมซับเรื่องนี้มา ทุกคนอดทนกันมากจริงๆ ครับ"
เป็นพระเอกเนื้อหอมที่ใครๆ ก็ต้องการตัว?
"ผมเรียกตัวเองว่าเป็นสินค้าดีกว่า มันเหมือนเราเป็นสินค้าที่ถูกหยิบไปอยู่ตรงไหน สมัยก่อนบางวันถ่ายสามเรื่อง จนไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องเล่นเป็นใคร มันแย่มาก เป็นการจัดคิวให้เพราะบางเรื่องแค่อยากได้เราไปเป็นพระเอก จะให้คิวยังไงก็ยอม ค่าตัวเท่าไรก็ต้องให้ คิวทั้งเรื่องให้สามวัน เขาก็ต้องจบทั้งเรื่องเพราะพระเอกมีให้แค่นี้ไม่งั้นก็ต้องรอไปอีก 6-8 เดือน
แต่เอาจริงๆ ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทำงานตามใบนัด ถ่ายสามเรื่องเช้าถึงบ่าย บ่ายถึงค่ำ ค่ำถึงเช้า จนเราเหนื่อย บางครั้งเรายังเด็ก ยืนมองกระจกน้ำตาไหลเลย คือเราเป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง บางครั้งก็อยากใช้ชีวิต อยากไปเที่ยว อยากเจอแฟน เรามาหาเงินไปทำไม
คือตอนนั้นกลับบ้านแล้ว เพราะคุณพ่อเสีย ผมกลับไปอยู่กับแม่ ในความคิดตอนนั้นมีบ้านมีรถมีทุกอย่างแล้ว (หัวเราะ) แต่ทำไมต้องทำ ทำเพื่ออะไรก็ไม่รู้ ตอนนั้นเริ่มถามตัวเองว่ามันเยอะไปแล้ว คุณภาพก็ไม่ได้
เพราะว่าสมัยก่อนเล่นหนังผมไม่เคยใช้เสียงตัวเองเลยนะ มันเป็นหนังพากย์ แต่ผมไม่มีเวลาไปพากย์เสียง ก็เป็นเสียงคนอื่นพากย์แทนตลอดทุกเรื่อง ผมไม่เคยต้องรู้ว่าจะพูดอะไร มีหน้าที่แค่ตื่นไปเป็นหุ่นยนต์ให้ทำอะไรก็บอกมา มีคนบอกบทอยู่ข้างๆ ขาเรา จะให้พูดว่าอะไรผมก็พูดตามงานคุณภาพที่ออกมาก็ด้อย
มันก็มีงานสองเกรดนะ งานที่คุณภาพดีๆ ก็มีคนมาติดต่ออยู่ แต่บางทีก็ติดคิวงานขายสาย ซึ่งก็จำเป็นต้องมี เขาก็จะได้ไปเพราะคนเหล่านี้ก็จะให้หมด บริษัทติดต่อเรียกร้องอะไรเขาจะให้หมดเพียงแค่ขอให้ได้เราไป เราก็กลายเป็นว่าต้องทำงานเพื่ออะไรไม่รู้ คุณภาพก็ลดลงทุกวัน วันหนึ่งก็เลยขอว่าผมไม่เล่นหนังแล้ว ตอนนั้นอายุแค่ 20 ต้นๆ เอง
ในการทำงานวงการบันเทิงชอบอะไรมากที่สุด ถ่ายแบบ เล่นหนัง เล่นละคร เป็นนักร้อง?
"ผมโชคดีนะ เวลาที่เบื่อแล้วได้ไปทำอีกอย่าง มันเป็นคนละศาสตร์เลย การเล่นหนังคุณต้องอิมโพรไวส์ให้ได้ในการเล่นคนเดียวต้องรู้สึกว่ามีแวดล้อมหมด ต้องจินตนาการต้องเยอะ
ส่วนละครมันก็เป็นช็อตธรรมชาติที่สุดเพราะว่ากล้องเขาก็ถ่ายเราไปตามจังหวะ ส่วนการร้องเพลงมันเป็นเรื่องของคนเดียวถ่ายทอดเนื้อหาที่เราเข้าใจในเพลง มาทำพิธีกรก็ชอบ ที่ได้ทำงานหลากหลายทั้งหมดเพราะมีโอกาสมาก็คว้ามันแล้วทำให้ดีที่สุดในทุกเรื่อง
อย่างที่บอกว่าโชคดีเป็นนักแสดงผมได้รางวัลมาสิบกว่ารางวัล บางปีได้ 3 ปีติดจนอาย แรกๆ ก็ตื่นเต้นหลังๆ เริ่มอาย (หัวเราะ) ร้องเพลงก็ได้รางวัลจากการร้องเพลงมากมาย ไปเป็นพิธีกรก็ได้รางวัลพิธีกรยอดเยี่ยมเช่นกัน
ในวงการบันเทิงผมถือว่าทำมันสุดทุกเรื่องแล้ว วันหนึ่งก็คิดว่าพอ จากแต่ก่อนตอนเป็นเด็กเราต้องแข่งกับรุ่นพี่ไต่ไปให้ถึง พอโตขึ้นมาเริ่มแข่งกับรุ่นเดียวกัน ใครเป็นเบอร์หนึ่งเล่นเรื่องไหนจะได้รางวัล โตขึ้นไปอีกแข่งกับรุ่นน้อง น้องลงเรื่อยๆ ก็ถือว่ายังเป็นการแข่งขัน
ยากที่สุดคือขั้นตอนเริ่มแข่งกับตัวเอง ตื่นมาเล่นบทนี้อีกแล้วเหรอ ก็เคยเล่นบทแบบนี้ไปแล้วนะ เราจะเล่นมันให้ฉีกไปจากเดิมเล่นดีไปกว่าเดิมยังไง เล่นเพื่อให้ได้รางวัลจะฉีกไปแบบไหนในเมื่อเล่นไปเกือบทุกแนวแล้ว
แล้ววันหนึ่งเราต้องหล่อเท่าเดิมหรือหล่อกว่าเดิม มันก็เป็นไปได้ยากเหมือนคนมันเคยอยู่จุดสูง ถ้าเรารู้สึกว่ามันสูงแล้วพอแล้วก็ต้องหาทางหยุด อย่ารอมันลงเพราะกราฟมันจะไปแค่ไหนมันก็ต้องมีวันลง การยากที่สุดคือการแข่งกับตัวเองทำยังไงให้เก่งกว่าเก่า หล่อกว่าเก่า เป็นที่นิยมเท่าเก่ามันยากมันกดดัน
ถึงสอนน้องๆ อีกหลายคนว่าการเป็นดาราการเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงไม่ง่าย แต่ที่ยากกว่าคือรักษามันยากมาก เกือบ 30 ปีที่ผมต้องรักษามัน เราต้องเป็นตัวอย่างที่ดีของคน ต้องเป็นหลายอย่างมาก ไม่เหมือนสมัยนี้ที่จะทำอะไรก็ได้
ดาราสมัยก่อนเป็นไอดอลเป็นตัวอย่างที่ดีในหลายๆ เรื่อง หลายๆ ครั้งเราเล่นละครในเรื่องเป็นหมอ ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กที่กำลังเรียนหนังสือ สมัยก่อนอาชีพนี้มันมีคุณค่าต่อสังคมขนาดนั้น เราต้องวางตัวเองเพื่อเดินไปยังไง รักษาทั้งงานให้ดีภาพลักษณ์ให้ดีมันไม่ง่ายครับ"
ถึงจุดอิ่มตัว?
"คือมันรู้สึกว่าไม่รู้จะทำทำไม ถามว่าอิ่มมั้ย คือหนังที่ผมเล่นก็ยังเล่นได้ไม่ดีมาก ตอนที่อยู่วงการหนังผมแทบไม่ได้รางวัลอะไรเลยเพราะเราเล่นมันเป็นพาณิชย์มากเลย มันไม่มีเวลาตั้งหลัก ไม่เคยได้มาอ่านทบทวนบทว่าต้องเล่นเป็นอะไร ไม่มีใครมาสั่งมาสอนว่าจริงๆ ต้องทำยังไง และวันหนึ่งก็ตัดสินใจมาเล่นละคร
สมัยก่อนไม่มีพระเอกหนังคนไหนมาเล่นละครนะ หนังกับละครมันต่างกัน คือหนังคนต้องเสียตังค์ไปดู คนต้องอยากดูเราจริงๆ ถึงจะไป ไม่ให้หาเจอง่ายๆ แบบเปิดทีวีแล้วก็เจอ ทีวีมันเป็นเรื่องที่กระจอกในสมัยก่อนนะครับ เป็นตัวรองในหนังมาเป็นพระเอกละครได้สบายๆ แต่พระเอกละครไม่สามารถขึ้นไปเป็นพระเอกหนังได้
มันต่างกันนะในสมัยก่อน ถ้ายุคสมัยก่อนพระเอกนางเอกดังไม่มีมาเล่นละครนะ เป็นไปไม่ได้ เพราะละครมันดูฟรี เป็นบันเทิงที่ดูฟรี แต่ก็ตัดสินใจมาเล่นละคร
แต่เอาจริงๆ ผมเกิดมากับละครก่อนนะ มันเป็นสองช่วงระหว่างที่ผมเล่นหนังไปสองเรื่อง แล้วก็หยุดไปเพราะตอนนั้นยังเด็กมากไม่รู้จะเล่นเป็นตัวอะไรต่อไป เด็กมากก็ถูกฝืนให้เล่นบทผู้ใหญ่ ตอนนั้นอายุยังไม่ 20 ก็ได้เล่นหนังของท่านทิพย์ เล่นเป็นเศรษฐีพันล้าน สูบซิการ์ สูบไปป์ เราก็ทำไม่เป็น (หัวเราะ)
ทำไม่ได้เล่นห่วยแตกมาก ก็เลยมาเล่นละครเป็นพระเอกช่อง 3 เรื่องเก้าอี้ขาวในห้องแดง ตอนนั้นมีพระเอกหลายคนนะ ก็ได้บทที่สมวัยหน่อย เรื่องต่อมาก็เล่นเรื่อง ทัดดาวบุษยา เป็นเจ้ายอดขวัญ คือยังไม่ 20 ปีเลยแต่หน้าคงแก่แล้ว (หัวเราะ) ผมไม่เคยเซ็นสัญญากับช่องไหนเลยนะ อย่างมาเล่นละครที่ช่อง 9 เป็นพระเอก โดยมีคุณเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ เป็นพระรอง (หัวเราะ)"
บางคนยังเสียดายเพราะถ้าแซม ยุรนันท์ ยังทำงานในวงการต่อ ก็เป็นพระเอกได้สบาย?
"ไม่พระเอกแล้ววัยนี้ มันเป็นไปไม่ได้ เราต้องเข้าใจสภาพโลก เมืองไทยไม่เหมือนเมืองนอกนะครับ เมืองนอกเขาให้คุณค่าของคนในความเป็นสิ่งนั้นๆ แต่ของเรากลับมองดาราเป็นสินค้า เขาก็มองเราเป็นสินค้าตัวหนึ่ง
เราจะอยู่ร้านสะดวกซื้อให้เขาจับเอาเราไปวางตรงไหน เรามีแพ็กเกจอะไรให้เขา เราคือสินค้าในชั้นให้เขาเลือก วันหนึ่งก็ต้องทำใจว่าไม่มีคนซื้อมันก็ถูกเอาลง เอามาลดราคา แล้วก็หายไป และมีสินค้าอื่นมาแทนมันเป็นสัจธรรม
แต่สิ่งที่ผ่านมาตลอด 30 ปีในวงการบันเทิงที่ยังเหลือและพิสูจน์ให้เห็นคือ ยังมีคนรัก ไม่ได้หายไปอย่างที่เราคิด มันยังเหลือคนที่ยังรักและประทับใจในตัวเรา การที่ไปไหนแล้วคนยังคิดถึงมันเป็นสิ่งดีมากๆ ครับ"
ออกมาจากวงการบันเทิงแล้วมาเป็นนักการเมือง?
"มาเป็นนักการเมืองก็พอกันนะ เป็นอีกอย่างหนึ่งนะ เราจะได้ใกล้กับผู้คนมากเลยแบบประชิดตัวเพราะทุกความรักที่เขาให้เราคือคะแนน คะแนนส่วนหนึ่งที่ได้เพราะเขาชอบที่เราเป็นแซม คือชีวิตก็ยังคงหนีไม่พ้นการเป็นคนของประชาชน
แต่เลิกเป็นเพราะภรรยาขอให้เลิก เพราะตอนเป็นพระเอกกลับบ้านมาแล้วยังได้สามีได้พ่อคืน แต่พอมาเป็นนักการเมืองไม่ได้พ่อคืน เป็นคนของประชาชนอยู่ทุกเวลา เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นพ่อของทุกคน เป็นสามีของทุกคนไปหมดเลย (หัวเราะ)
เพราะทุกคนหวังพึ่งเรา ภรรยาบอกเลยว่าตอนเป็นนักแสดงกลับบ้านเขาได้เราคืน เป็นนักการเมืองกลับบ้านยังมีเรื่องราวในหัวเต็มไปหมด แล้วยิ่งตอนหลังบ้านเมืองมีความขัดแย้ง ถ้าทำแล้วมันนำความเครียด นำความขัดแย้งมาถึงในครอบครัว ผมว่ามันไม่แฟร์ ผมทำอย่างอื่นได้อีกเยอะแยะ การช่วยเหลือชาติบ้านเมืองมีตั้งหลายวิธีก็เลยตัดสินใจยุติบทบาททางการเมืองของตัวเอง
หลังจากนั้นก็กลับมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ ตอนนี้คนก็ไปชื่นชมลูกหล่อจังเลย ซึ่งผมก็โอเคนะ เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่เราว่าจะวางตัวเองยังไง ถ้าวางตัวเองเป็นซุป'ตาร์มันก็ซุป'ตาร์อยู่นั่นแหละ ตอนที่ผมดังๆ ผมแทบไม่ได้ทำอะไรเลย
แต่วันนี้ผมสามารถขึ้นรถไฟฟ้าได้ ก็มีคนมองนะ บางทีก็ทำตัวไม่ถูก เพราะไม่เคยอยู่ในรถสาธารณะแบบนี้ พอได้มาทำมันสนุกดีนะ ได้เห็นชีวิตคนอยู่เรื่อยๆ มันก็เป็นชีวิตที่ดีเลยละ บางคนก็ถามทำไมมาขึ้นรถไฟฟ้า ก็บอกว่าเราไม่ใช่ดาราแล้ว (หัวเราะ)
บางคนก็มาถ่ายรูปคู่ ผมก็อายนะ เพราะว่าไม่ได้เป็นดาราแล้ว แต่สมัยเป็นดารานี่เดินห้างไม่ได้เลยนะ เพราะมันไม่สะดวก คนเขาไม่ค่อยได้เจอเรา บางทีไปโชว์ตัวที่ต่างจังหวัดมีแฟนๆ เหยียบกันบาดเจ็บก็มีนะ คือทุกคนอยากมาเจอเรา เขารักเรา มันชื่นใจนะ แต่ถ้าการที่เราจะไปเดินห้างแล้วมันเกิดความวุ่นวายกับคนรอบข้างก็ขอไม่ทำ
หลังจากที่เลิกเล่นการเมืองผมก็ไม่เล่นโซเชียลเลย เพราะเป็นคนแคร์เรื่องส่วนตัวมาก ยังมีความเป็นดารารุ่นเก่า ชีวิตส่วนตัวคือชีวิตส่วนตัวมาก แต่หลังๆ ก็เล่นไอจีแฟนๆ ที่รู้ก็มาตาม เขาบอกเราใจจืดใจดำมากเลยหายไปจากโลกเลย (หัวเราะ)
เราก็ไม่รู้ว่าแรงคิดถึงของเขามันจะเยอะ ผมเล่นเน็ต คนก็เริ่มแชร์เรื่องเก่าๆ อ่านบางทีร้องไห้เลย ขอบคุณมาก เพราะผมคิดเดี๋ยวก็มีคนใหม่ขึ้นมาแทนที่ เราก็ไร้คุณค่าไปในที่สุด เหมือนคลื่นกระทบฝั่งมองมันเป็นสัจธรรม ไม่ได้ไปยึดติดกับชื่อเสียง
แต่พอวันหนึ่งรู้ว่ายังมีคนรักและคิดถึงเราอยู่มันก็รู้สึกดีนะ แต่ไม่คิดว่าเขายังรักผูกพันกับอะไร พออ่านที่เขาโพสต์ในยูทูบบางทีน้ำตาไหล รู้สึกว่าแฟนๆ ก็รักเราขนาดนี้เลยเหรอ เขาจำได้หมด เขาแชร์ละครเรื่องนู้นเรื่องนี้ ชอบเวอร์ชั่นนี้นะ รู้สึกดี ยิ่งตอนนี้มีไอจีก็หยุดโพสต์ไม่ได้ เพราะมีคนรอเราอยู่ ไม่กล้าทิ้งเขา เราหายไปสองวัน เขาก็มาถามว่าหายไปไหน (หัวเราะ) ก็เลยต้องทำเพื่อแฟนๆ"
คิดถึงงานในวงการบันเทิงมั้ย?
"คิดถึงนะ แต่ก็บอกตัวเองว่าจะไปทำอะไร เราเลยจุดนั้นแล้ว ทฤษฎีของผมคือเราปีนเขาลูกนี้ไปแล้ว ถ้ามันใช่ที่เราจะยืนอยู่สักพัก เอาความสำเร็จแค่นี้ ไม่ทะเยอทะยานอะไรต่อ บอกแล้วสิ่งที่ยากที่สุดคือรักษาการซอยเท้า ซึ่งการรักษามันไว้มันเหนื่อยมาก ผมหยุดความทรงจำดีๆ ทั้งฝ่ายผมและฝ่ายคนดู
ความทรงจำของผมในวงการมีแต่เรื่องดีๆ เล่าแล้วก็มีความสุขเสมอที่พูดถึงมัน (ยิ้ม) กลัวว่าถ้ากลับไปจะไปเปลี่ยนความทรงจำของแฟนๆ เราอีก และในระหว่างนี้ผมก็มีภูเขาลูกอื่นๆ ให้ปีนต่อ ตอนนี้มาปีนภูเขาอีกลูกนึงคือการทำธุรกิจที่ไม่คิดว่าจะทำเหมือนกันทั้งตอนนี้ทำสายสุขภาพ ไปเรียนจนจบทั้งไทยบอร์ดและอเมริกันบอร์ดเพื่อจะเอามาบริหารคลินิก
ตอนนี้กำลังสนุกกับการปีนเขายอดนี้อยู่ อยากโฟกัสที่ตรงนี้ เรื่องงานแสดงก็ต้องปล่อยมันไป แต่ไม่ใช่ว่าไม่คิดถึงนะ ยังคิดถึงทุกวันเลย และขอบคุณทุกคน
ทุกวันนี้ก็ยังมีคนติดต่ออยู่เรื่อยๆ ก็ขอบคุณมากที่อุตส่าห์คิดถึง แต่ผมกลัวทำได้ไม่ดีเท่าไร เพราะเวลาผมมันไม่ได้มีเหมือนเมื่อก่อน ผมมีลูกน้องต้องรับผิดชอบมากมาย ลงทุนธุรกิจไปมากมายมันก็ต้องการการดูแล"
เคล็ดลับการดูแลตัวเองให้ดูดี ดูไม่แก่?
"ผมมีคลินิกเป็นของตัวเอง ร่ำเรียนเรื่องนี้มาจนจบบอร์ด ผมทำอะไรผมก็ใส่ใจนะ ผมไปเรียนด้านสายแพทย์เพื่อมาบริหารคลินิก ซึ่งมีหมอมากมาย องค์ความรู้เหล่านี้เรามีไว้ดูตัวเองดูคนรอบข้าง แล้วก็เผยแพร่ไปยังลูกค้าของเรา
สิ่งเหล่านี้ถูกนำมาใช้กับตัวเอง อย่างน้อยร่างกายต้องแข็งแรงก่อน ออกกำลังกาย ทำยังไงให้ตัวเองโอเคกระฉับกระเฉงทะมัดทะแมง หน้าตาเน้นเลยว่าพ่อแม่สร้างมาแล้วไม่ต้องไปทำให้ เป็นคนอื่น เป็นเราอย่างที่เราเป็นตามวัย ไม่ต้องอยากเด็กไปกว่า แค่ทำให้สุขภาพมันดีสุขภาพจิตมันดี คิดโลกบวกมองโลกในแง่ดี กินอาหารดีๆ เท่านั้นเอง"