กลายเป็นประเด็นที่คนให้ความสนใจขึ้นมาทันที หลังจากเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ (23 กรกฎาคม 2567) นักร้อง-ดาราสาว เชอรีน ณัฐจารี หรเวชกุล น้องสาวของศิลปินชื่อดัง นิชคุณ หรเวชกุล หรือ นิชคุณ 2PM พร้อม ทนายแก้ว มนต์ชัย ได้เดินทางไปยัง สน.ทองหล่อ เพื่อเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับอดีตสามี ที่ทำร้ายร่างกาย จนต้องแยกทางกัน และทุกวันนี้ยังข่มขู่คุกคาม ให้คนตามรังควานไม่เลิก

โดยเธอเปิดใจว่า "ตั้งแต่แต่งงานและมีลูกด้วยกัน เราถูกทำร้ายมา 4 ครั้งแล้ว ครั้งแรกเริ่มจากการทะเลาะ มีอาการมึนเมา แล้วก็ถูกตบเข้าที่หน้า ซึ่งมีการตบหลายครั้งจนปากแตก แต่ว่าครั้งสุดท้ายเขาได้ตบเรา 10 ครั้ง ซึ่งเหตุการณ์นั้นเรานอนอยู่บนเตียง และเขานั่งอยู่ข้างๆ เขาก็มีการโน้มตัวลงมาหา พยายามจะให้เราตอบคำถามเขา และเขาก็ได้ตบเราเข้าที่หน้า เค้นให้เราตอบ ซึ่งเราก็ไม่ตอบโต้ เพราะรู้ว่า 3 ครั้งที่ผ่านมามันจะต้องรุนแรงขึ้น มันหนักขึ้น เราก็เลยอยู่เฉยๆ

สาเหตุที่ไม่แจ้งความตั้งแต่ครั้งแรก เพราะเราคุยกันว่าเราอยากประคับประคองครอบครัว เพราะไม่อยากให้เป็นข่าว ไม่อยากให้มีเรื่องมีราว กลัวมันจะกระทบถึงลูก (ร้องไห้) แต่ว่าตอนนี้เรารู้สึกไม่ปลอดภัยแล้ว ก็เลยต้องออกมาพูด

...

ซึ่งช่วงแรกๆ ที่เราถามเขาว่าทำไปทำไม เขาก็บอกว่าทำไปเพราะขาดสติ และบอกเราว่าจะไม่ทำอีก ซึ่งครั้งแรกที่เราโดนกระทำ เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ครั้งที่ 2 เดือนกรกฎาคม ครั้งที่ 3 เดือนเมษายน ปี 2566 และครั้งสุดท้ายคือเดือนกันยายน ซึ่งเรามีหลักฐานทั้งภาพนิ่งและคลิป รวมไปถึงแชตข้อความที่มีการพูดคุยกัน และคลิปเสียงต่างๆ

สาเหตุหลักๆ มาจากการหึงหวงจากการเข้าใจผิดกัน อย่างบางครั้งมีรุ่นน้องหรือเพื่อนทักมาหาก็ทำให้เขาเกิดอาการไม่พอใจที่คุยกัน ซึ่งเราก็อธิบาย เพราะเราไม่ได้ลบแชต และเราก็บริสุทธิ์ใจ แต่เขาก็เป็นคนที่เหมือนอารมณ์รุนแรง และเขาหึงค่อนข้างหนักอยู่แล้วด้วย ซึ่งในเวลาอื่นๆ ที่ไม่ได้มึนเมาเขาจะมีอาการหึงหวง โดยการใช้คำพูดที่รุนแรงอยู่แล้ว และพอไปบวกกับอาการมึนเมาขาดสติ หรืออะไรก็แล้วแต่ ทำให้เขาลงไม้ลงมือขึ้น

ซึ่งในการทำร้ายร่างกาย ลูกเราก็อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน แต่อยู่คนละห้อง แต่ลูกไม่เคยถูกทำร้ายร่างกายเพราะลูกยังเด็กมาก และยังพูดไม่ได้ ซึ่งน้องก็ยังไม่รู้เรื่อง

และที่ตัดสินใจแยกทางกับเขา เพราะคิดว่ามันถึงขั้นที่เราเป็นห่วงชีวิตตัวเองแล้ว ในที่เกิดเหตุวันนั้นที่โดนตบหน้าหลายๆ ครั้ง เริ่มรู้สึกได้ว่าเราถูกคุกคามและไม่รู้ถึงขั้นชีวิตไหม วันนั้นก็เลยวิ่งตัวเปล่าออกจากบ้านมา แล้วก็เลยโทรหาเพื่อนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเพื่อที่จะหนีออกมา เพราะรู้สึกว่าถูกคุกคามมากเกินไปแล้ว ส่วนตอนนี้ลูกก็อยู่กับเรา

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เรารู้สึกหวาดระแวง และชีวิตไม่ปลอดภัย กลัวไปหมด คือหลังจากที่เลิกกันช่วงแรกๆ เราก็ยังมีเจอกันบ้าง เพราะอยากให้ลูกกับพ่อได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน แต่ทุกครั้งที่เราเจอ เราก็จะกลัวเขามากๆ กลัวว่าวันนี้เขาจะไม่พอใจอะไรอีกไหม กลัวว่าจะไปถึงขั้นไหนอีก ซึ่งก็เป็นความกลัวและความหวาดระแวง และทุกวันนี้ก็ถูกติดตาม และถูกพูดจาแบบนี้ใส่ เลยคิดว่าชีวิตตัวเองไม่ปลอดภัยเลย

ก็ถ้าหากตัวเขาอยากจะไกล่เกลี่ยคงต้องให้ทนายเป็นคนคุย และดูว่าเขามีข้อเสนออะไรมา ส่วนตัวเราอยากให้เขาเลิกยุ่งกับชีวิต เพราะไม่ได้อยากได้อะไรจากเขาเลย อยากบอกเขาว่าให้หยุดแค่นี้ อยากให้พอเถอะ เพราะว่าสงสารลูก"