เปิดฉากความท้าทายครั้งใหม่ของนักแสดงหนุ่มฝีมือดี “ปั้นจั่น-ปรมะ อิ่มอโนทัย” ในภาพยนตร์โรแมนติก ดราม่า สยองขวัญ “เกจิคนฆ่าผี” (The Spirit Hunter) โดย CUP ID เรื่องราวไสยศาสตร์ความรักที่นำพาไปสู่โศกนาฏกรรม ร่วมด้วยนักแสดง เดียร์-สุภาวดี กิติโสภากุล, โจอี้-ชัยยุทธ กิติชัยวัฒน์ ผลงานจากผู้กำกับ เมษ ยิ้มสมบูรณ์ และผู้กำกับหน้าใหม่ ต้อม-พลดลพัฒน์ ธัชทัณฑิมารัชต์ ที่มีความรู้เชี่ยวชาญด้านพิธีกรรมทางไสยศาสตร์โดย ฉายแสง แอด.เวนเจอร์ เป็นผู้จัดจำหน่าย กำลังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ เลยชวน “ปั้นจั่น” มาเล่า
เริ่มจากบทบาทความเป็น “เกจิ” ในเรื่องนี้?
“ผมรับบทเป็นหมอผีชื่อแก้ว ชอบฝึกวิชาอาคมในการปราบผี มีความมุทะลุ เชื่อมั่นในตัวเอง อยากรู้อยากเห็น เรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับขนบประเพณี วัฒนธรรม พิธีกรรมต่างๆ เรื่องนี้ตัวละครในเรื่องจะไม่กลัวผี ต้องสื่อกับวิญญาณตลอดจนเกิดเรื่องราวต่างๆ ผีในเรื่องก็เหมือนเป็นบุคคลบุคลนึงที่มาถูกร้อยเรียงเป็นเรื่องราว คนกับคนมีปัญหากัน ผีในเรื่องนี้ก็เหมือนกันเค้าก็ต้องการในสิ่งที่เค้าอยากได้ อยากแก้ปมของเค้า เราก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เข้ามาช่วยเหลือ รวมถึงเอาเค้ามาเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาของเรา ในเรื่องจะนำพาไปสู่เรื่องราวทั้งผิด ทั้งถูกจนกลายเป็นปัญหา เล่าเรื่องความดีชนะความชั่ว อยากได้ อยากมี มีเรื่องความรักมาเกี่ยวข้อง ความเห็น แก่ตัวที่เราใช้วิญญาณ ใช้พิธีกรรมในการแก้ปัญหา เรื่องนี้เราเลือกสื่อสารไปในทางพิธีกรรมต่างๆ เจาะลึก มากขึ้น ซึ่ง อาจารย์ต้อมเป็นที่ปรึกษา แกมีความรู้ด้านนี้เยอะ เราก็ทำพิธีเหมือนของจริง 90% บทสวดก็เอามาจริงๆแต่อาจจะบิดเลี่ยงคำประโยคท้าย มีอาจารย์ต้อมมาดูภาพรวม เรื่องนี้มีผีหลายตัว ทั้งปราบ ทั้งไปเรียกขึ้นมา ไปจัดการฆ่าผี ความเป็นเกจิก็คือคนที่รอบรู้ในการทำพิธีไสยศาสตร์ เกจิในที่นี้มันก็คือคำเรียก เหมือนอาจารย์ที่เราเคารพนับถือชี้แนะแนวทางปฏิบัติคนนำก็มีหลายแบบทั้งดีและไม่ดี อยู่ที่เราจะเลือกรับ”
...
ตัวเราทำการบ้านศึกษาเรื่องนี้แค่ไหน?
“หลังจากได้บท ผมก็ได้ไปคุยกับอาจารย์ต้อมที่เป็นที่ปรึกษา มีการไปรีเสิร์ชบทสวด พิธีกรรม อัญเชิญวิญญาณ หลักๆเรื่องพิธีกรรม เราถูกถ่ายทอดมาใช้วิถีชีวิตคนไทยอยู่แล้ว เราไปไหนก็มูกัน บ้านก็มีศาล แต่ในเรื่องจะหาวิธีมาใช้ในการครอบครองผี มีพิธีล้างป่าช้า ขุดผีที่ป่าช้า ผีตายทั้งกลม เซตสถานที่จริง เรื่องพวกนี้ผมค่อนข้างเชื่อแต่ยืนอยู่บนพื้นฐานความจริง สิ่งที่เราไม่เห็นก็ใช่ว่าจะไม่มี ทำให้ผมมีความคิดว่าอยากจะเจอผีจริงๆสักครั้งนึง มันอาจจะเปลี่ยนความคิดเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตเราก็ได้ การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าเราไม่เชื่อเรื่องพวกนี้คงทำตามใจตัวเองเพราะไม่ได้มีผลที่จะตามมา ผมเลยยังเชื่อเสมอว่าเราไม่ได้ตายจากโลกนี้โดยไม่หลงเหลืออะไรไว้”
ความยากในการถ่ายทำ?
“ความยากสำหรับผมคงเป็นเรื่องคาถาที่ต้องสื่อสารออกไปให้เหมือนเราเป็นคนทำพิธีกรรมนี้มานาน และการปรับเวลาเพราะหนังเรื่องนี้เราทำงานกลางคืนเยอะ บางวันก็มีเบลอบ้างแต่พอเข้าซีนมันก็สดขึ้นมาเพราะบรรยากาศมันได้ ตอนถ่ายทำผมว่าโลเกชันมีส่วนสำคัญที่ทำให้เข้าถึงบทบาท มีมวลพลังงานตรงนั้น แต่ผมยังไม่เคยเจอตัวเป็นๆนะ จริงๆผมก็กลัวผีนะ แต่พอโตมาแล้วกลัวน้อยลงเพราะปั้นว่าคนน่ากลัวกว่าผี ถ้าผมเจอมันคง ตอบโจทย์ได้หลายอย่างว่าเวทมนตร์คาถามีจริง”
ตอนนั้นที่รับเล่นเรื่องนี้ อะไรที่ทำให้รับ? “ผมคิดถึงการเล่นภาพยนตร์ ก่อนหน้ารับเรื่องนี้ก็ไม่ได้เล่นมา 7 ปี จริงๆผมถ่ายหนังอีกเรื่องของผู้กำกับชาวสวิสแต่ยังไม่มีคิวออนแอร์ เล่นกับสายป่าน-อภิญญา พอบอกว่าเป็นภาพยนตร์ ผมก็รับ ผมคิดถึงกลิ่นของการถ่ายทำภาพยนตร์ การทำงานกับผู้กำกับหนัง ผมก็ดีใจนะที่ได้เล่น แฮปปี้กับทีมงานผู้กำกับ นักแสดง”
ช่วงที่ผ่านมากระแสหนังผีไทยมาแรง แล้วเรื่องนี้น่าดึงดูดยังไง?
“ตลาดหนังผีไทยมีให้เลือกเยอะและถูกพิสูจน์มาแล้วว่าไม่ตายจากสังคมไทย ซึ่งเรื่องนี้ในมุมมองของผมเราทำแล้วคนทำงานตั้งใจทำ ทำแล้วอยากให้คนดูมีความสุข ส่วนเรื่องรายได้ ในมุมมองผม ผมตอบไม่ได้แต่อยากให้มันคุ้มค่ากับผู้สร้าง ให้คนทำงานมีกำลังใจทำงานต่อไปได้ อยากให้ดูให้สนุกว่าผีในเรื่องนี้เป็นยังไง เพราะคนในเรื่องไม่กลัวผี ผีเหมือนตัวละครนึงที่มีปัญหาที่เราช่วยกันแก้ และเราทำให้เห็นพิธีกรรมโดยละเอียด ยกตัวอย่างเช่น น้ำมันพรายขวดหนึ่ง ความน่ากลัวพิธีกรรมหรือความลำบากในการได้มามันยากกว่านั้น”
...
ถึงตอนนี้มองความเป็นนักแสดงของตัวเองที่เติบโตในแต่ละช่วงเวลายังไง?
“ผมก็เรียนรู้จากความผิดพลาดนะ จริงอย่างที่เค้าบอกมันไม่ผิดว่าชีวิตก็เหมือนละคร ถ้าใครมาดูชีวิตผมเป็นหนังเรื่องนึง ตัวละครตัวนี้ก็เติบโตตามวัย เรียนรู้จากข้อผิดพลาด เรียนรู้จากความสำเร็จและความไม่สำเร็จ ความผิดพลาดในอดีตมันก็หล่อหลอมเราให้เป็นคนในปัจจุบันที่แข็งแรงขึ้น มองโลกกว้างขึ้น มองโลกอย่างเข้าใจขึ้น ความเข้าใจและการตกผลึกที่มันมากขึ้นจริง แต่เราก็ไม่รู้ว่าเราจะผิดพลาดอีกเมื่อไหร่ เพราะการเรียนรู้มันไม่มีที่สิ้นสุด แต่แค่เรารู้เท่าทันตัวของเราเอง มุมมองเราก็เปลี่ยนไปในทุกๆปี วันนี้ผมอายุ 37 มีวิธีมองโลกและจัดการตัวเองกับสังคมในแบบของผม ซึ่งไม่รู้ว่ามันถูกต้องหรือผิดมั้ยแต่มันเหมาะกับเรา ดีกับเราตอนนี้”
เจอดราม่าผ่านอะไรมาเยอะเราแข็งแกร่งขึ้นมั้ย? “ต้องบอกว่าทุกคนต้องแข็งแกร่ง ไม่เช่นนั้นเราจะมูฟออนเติบโตไม่ได้ ผมคิดว่าผมอ่อนแอเท่าเดิมแต่รู้วิธีการจัดการปัญหามากขึ้น รู้ว่าเราต้องเอาใจตัวเองไปวางไว้ที่ไหน เพื่อให้เราสบายใจมีความสุข มีสมาธิและก้าวเดินได้อย่างมีสติ ผมเลยรู้สึกว่าการรู้เท่าทันตัวเอง อยู่กับตัวเอง นั่นคือสิ่งหนึ่งที่ตอนนี้ผมยึดไว้เป็นหลักในการดำเนินชีวิต อยู่ด้วยความไม่คาดหวังเราก็ไม่ผิดหวัง อดีตเป็นเรื่องที่เกิดไปแล้วเราจัดการไม่ได้ อนาคตเป็นเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ไม่ไปกลัว ก็กลับมาที่ธรรมะคืออยู่กับปัจจุบัน มีความสุขกับปัจจุบัน ได้ตื่นเช้ามาสูดอากาศเต็มปอด ดื่มกาแฟหาความสุขง่ายๆ ทุกอย่างมันเป็นเรื่องที่มีคนพูดมาหมดแล้ว อยู่ที่ว่าใครเข้าใจมันจริงๆ ผมอาจจะไม่ได้เข้าใจมันจริงๆ อาจจะสู้กับสิ่งที่คิดตลอดเวลา ความกลัวเกิดขึ้นได้ตลอด แต่เราพยายามฝึกกับมัน และเอนจอยกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า”
...
เมื่อก่อนเคยเป็นหนึ่งในหนุ่มติสต์ห่าม? “ทุกคนเคยผ่านช่วงเวลานี้ ทุกคนเป็นแบบทุกคนอยากเป็นไลฟ์โค้ช มันไม่มีใครหรอกที่เข้าใจโลกทั้งหมด ก็เลยต้องบอกว่าไม่กล้าไปไลฟ์โค้ชสอนใครไปบอกใคร สิ่งที่ทำให้เป็นตัวอย่างคนได้คือการเป็นคนที่มีความสุขกับตัวเอง ส่งพลังงานดีๆ ส่งไวบ์ดีๆให้คนอื่น ถ้าคนมาติดตามแล้วเห็นว่าเค้าดูมีความสุขจัง โดยที่เราไม่ต้องพูดด้วยซ้ำ เค้าก็จะเจอวิธีในแบบของเค้า สำหรับตัวผมเองนะพอผมสนใจอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งแค่นี้ชีวิตผมก็ดีขึ้นแล้ว อย่างตอนนี้ผมสนใจ กอล์ฟแล้วอยากทำต่อไป ฉะนั้นมันก็เลยตีกรอบชีวิตแล้วว่าต้องตื่นเช้า ไปดื่มดึกไม่ได้ ทำให้ตัวเองมีแรงในการทำงานในการซ้อม ดูแลสุขภาพร่างกายตัวเอง”
มุมมองความรักตอนนี้ การมีครอบครัว ณ ตอนนี้?
“ก็เป็นเรื่องนึงที่ไม่ได้รู้สึกว่าโตขึ้น เพราะรู้สึกว่าเราก็ยังมีความเห็นแก่ตัวค่อนข้างเยอะ ยังรักตัวเอง รักในความฝันของตัวเอง รักในการที่จะประสบความสำเร็จ ฉะนั้นคนที่จะมาอยู่กับเราได้มันคือคนที่จะต้องเดินข้างเราจริงๆ มีลูกเนี่ยก็อยากมีแต่ว่ามันยังไม่ได้คิด ถึงขั้นนั้นเพราะว่าถ้ามีลูกชีวิตก็เปลี่ยน ก็ต้องทุ่มเทให้ลูก ตอนนี้ผมมีความฝัน แต่ความรักตอนนี้ก็มีครับ มีคนที่อยู่ข้างๆ ก็คิดเสมอว่าเค้าจะเข้าใจและอยู่กับเราได้ แต่ถามว่ามันโรยด้วยกลีบกุหลาบมั้ย มันไม่มีหรอก มันก็มีปัญหาแก้กันไป เป็นความรักที่เป็นเพื่อนเป็นพาร์ตเนอร์กัน ตอบยากว่าอนาคตจะเป็นยังไงแต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่จริงจัง แค่อย่าคาดหวัง ผมไม่ได้ตอบหวาน ไม่ได้ตอบอะไรเยอะ ผมคิดว่าอยู่เงียบๆให้ประโยชน์และปลอดภัยกว่า ในที่นี้หมายถึงว่ายิ่งมีคนมายุ่งกับเราน้อยตัวแปรมันก็ยิ่งน้อย จะได้ไม่มีอะไรมารบกวน การตัดสินใจบางทีไม่ได้มีปัญหากันหรอก แต่พอคนมาคอมเมนต์บางคนจิตอ่อน เลยไม่สนใจมันดีกว่า ผมไม่พยายามเลี่ยงตอบเรื่องความรักนะ แค่อยากเป็นคนนึงที่สื่อสารว่าอยากให้สนใจเรื่องนี้น้อยลงนิดนึงแต่อยากให้สนใจที่ตัวของชิ้นงานและความสำคัญที่จะสื่อออกไปดีกว่า”
...
การมีความรัก คนเคียงข้างที่ดีสำคัญกับชีวิตปั้นจั่นขนาดไหน?
“สำคัญ มันเป็นเรื่องของความสบายใจ ผมยังยืนยันว่าสุดท้ายแล้วคนอยู่ด้วยกัน ณ ตรงนี้ มันต้องอยู่ด้วยกันให้ได้เหมือนเพื่อน เป็นพาร์ตเนอร์กัน ซัพพอร์ตกันในพื้นที่ของกัน เข้าใจ ไว้ใจกัน อยู่ด้วยความสบายใจเป็นอะไรที่ดีที่สุด ปั้นก็เคยเป็นคนที่เกเรคนนึงแหละแล้วมันก็มองย้อนกลับไปตัวเองเคยมีความรักที่ดีและเราปล่อยมันไป กลายเป็นว่าตอนนี้ก็คือมันเริ่มสอนแล้วว่า ถ้าเรายังเป็นคนโลเลเราก็ไม่ควรไปผูกติดกับใคร มันเป็นการไม่เอาเปรียบคนอื่น ตอนนี้สิ่งที่เรายึดหลักๆของเรามันเป็นเรื่องของกีฬา การยังมีความฝันที่อยากทำพิสูจน์ตัวเองในหลายๆเรื่อง ทุกการทำมักมีคนสบประมาท กอล์ฟนี่ก็คนสบประมาทเยอะ ยิ่งบอกเราทำไม่ได้แล้วเรายิ่งอยากทำให้ได้ ตัวผมเองผมก็เป็นคนสู้มาตลอด ผมก็รู้สึกว่าผมไม่เคยเป็นคนของที่ไหนเลย เลยมองว่าผมเป็นปั้นจั่นที่อยู่ที่ไหนก็ได้ ก็คือถ้ามีความสุขที่จะทำมีใจที่จะทำ ทำเต็มที่ทุกงาน”
แต่หลายคนตกใจที่เราลบรูปคู่สาวโจมิ หวานใจหมด คนเดิมเหมือนเดิม แต่เพียงแค่ลบรูปไป?
“ใช่ครับ รูปหายไปหลายเป็นพันรูป เพราะว่าผม archive รูป ซ่อนเป็นพันรูปเลย นั่งทำอยู่ 3 วัน ถามว่าเค้าตกใจมั้ย เค้าไม่ตกใจเพราะผมบอกความต้องการของผมไป ผมทำก่อนปีใหม่ ตั้งใจว่าปีนี้ผมจะลดบทบาทหรือว่าเสพโซเชียลน้อยลง คือยังไงเราก็ต้องเปิด Facebook IG มันก็ต้องเด้งขึ้นมา เพียงแค่เราเข้าไปในหน้าโปรไฟล์ของเรา เราไม่อยากให้ใครมาเห็นว่าผ่านอะไรมาบ้าง เพราะสิ่งที่สื่อสารออกไปทางโซเชียลคำคมอะไรก็แล้วแต่มันไม่ได้เกิดประโยชน์กับคนที่เข้ามาดู ผมเคยทำตัวเป็นคนที่พยายามเข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับโลกใบนี้ สุดท้ายแล้วเราไม่ได้เข้าใจจริงๆ มันเรียนรู้ว่า ณ วันนั้นเราไม่ได้เข้าใจเลย เราพอมองย้อนกลับไปเราอายตัวเองเราเขิน ทำตัวเหมือนเจ๋ง เห็นแล้วนอยด์ตัวเอง จริงๆไม่ได้ลบแต่เก็บไว้สอนตัวเองว่าเราคิดอะไร”
มีใครทักมั้ย? “มีคนเดินมาถามว่าพี่ปั้นโอเคมั้ย ผมก็ไม่ได้อธิบาย ตอนนี้คำว่าคอนเทนต์เป็นดาบสองคมมากๆ แล้วมันมีทั้งดีและไม่ดี ก็ไม่ได้ทำตัวเป็นฮีโร่นะแต่ว่าผมคงไปจัดการอะไรไม่ได้นอกจากทำตัวของผมเองก่อน เป็นวิธีจัดการความสุขของตัวเอง”
รู้สึกเบาลงมั้ย? “เบาลงเพราะพอมันเสพน้อยลง เราก็ต้องทันโลกไม่ใช่ปิดกั้นตัวเองไปซะทั้งหมดแต่เพียงแค่อะไรที่มันไม่เป็นประโยชน์ก็เสพน้อยลงหน่อย ความไร้สาระในตัวมันก็ต้องมีกันทุกคน คอนเทนต์ตลกๆ ผมก็ยังดู อะไรที่ไม่ชอบเลยเนี่ยก็เลือกที่จะปิดช่องทางไปเลย เท่าทันความคิดอยู่กับตัวเองครับ ทางใครทางมัน วิธีการจัดการประสบการณ์จะสอนเอง”.
เรื่อง: สุภลัคน์ วุฒิกรีธาชัย