- เจมส์ จิรายุ 10 ปีกับการทำงานในวงการบันเทิงเริ่มมีเป้าหมายชัดขึ้น
- เคยท้อเพราะต้องทำงานหนัก ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร
- ยังคงเป็นพระเอกสุดฮอต ถูกมองเป็นลูกรัก แอน ทองประสม
จากเด็กหนุ่มวัย 19 ปีในวันวาน จนวันนี้ เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข เป็นหนุ่มเต็มตัว อายุ 29 ปีเต็มแล้ว เป็น 10 ปีของการทำงานในวงการบันเทิงที่ตัวเลขไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดูแล้วกำลังดีกับการทำงานในวงการนี้
และต้องยอมรับว่าความฮอตของหนุ่มเจมส์นั้นก็ยังไม่เคยตก มีงานละครและพรีเซ็นเตอร์อย่างต่อเนื่อง ส่วนฝีไม้ลายมือในการแสดงของหนุ่มเจมส์นั้นต้องยอมรับว่ามีการพัฒนาฝีมือให้ได้เห็นอยู่เสมอ ไม่ย่ำอยู่กับที่ หรือถอยหลังเข้าคลอง ซึ่งคนที่ติดตามผลงานละครของหนุ่มเจมส์ย่อมรู้ดีในข้อนี้
วันนี้ บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พระเอกหนุ่มหน้าหวาน เจมส์จิ อีกครั้ง เพื่ออัปเดตเรื่องราวชีวิตของผู้ชายคนนี้ให้แฟนๆ ได้รับรู้กันอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานนับปีเพราะสถานการณ์โควิดที่ระบาดอย่างหนักก่อนหน้านี้ ว่าเจมส์จิในวันนี้มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง
พอทักทายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบพอหอมปากหอมคอ เราก็ต้องรีบทำเวลา เพราะอย่างที่บอกความฮอตของเจมส์จินั้นไม่ได้ลดน้อยถอยลง หลังจากสัมภาษณ์เสร็จต้องมีไปทำงานต่อ เราจึงต้องเริ่มทำงานกันเลยจะดีกว่า
...
ลูกรัก แอน ทองประสม
เพราะตั้งแต่ได้ร่วมงานละครกับ แอน ทองประสม ในเรื่อง กะรัตรัก เลยทำให้ เจมส์ จิรายุ นั้นสนิทสนมกับแอนมากยิ่งขึ้น จนทั้งคู่มีกิจกรรมไปออกกำลังกายด้วยกันอยู่บ่อยๆ
และล่าสุด หนุ่มเจมส์ก็ได้เล่นละครเรื่องใหม่อย่างเรื่อง โลกหมุนรอบเธอ ของผู้จัด เอ ทินพันธ์ แฟนของ แอน ทองประสม ด้วย ยิ่งทำให้ตอกย้ำว่า พระเอกหนุ่มหน้าหวานกลายเป็นลูกรักอีกคนของผู้จัดคนเก่งไปแล้ว งานนี้เจมส์จิหัวเราะและตอบคำถามเรื่องนี้ว่า
"ผมอาจจะเป็นลูกชังด้วยครับ (หัวเราะ) เป็นเพราะเราชอบออกกำลังกายตอนเช้าเหมือนกัน ก็เลยมีโอกาสเจอกันเรื่อยๆ ก็เลยดูเหมือนว่าเป็นลูกรัก เราก็เข้าขากันอยู่นะครับ เวลาถ่ายคลิปก็ดูรับส่งกันได้ มีจังหวะโบ๊ะบ๊ะกันใช้ได้เลย (หัวเราะ)
หลังจากที่ได้รู้จักพี่แอน เขาไม่เหมือนอย่างที่ผมคิดไว้เลย ทุกคนจะบอกผมว่าพี่แอนเป็นคนที่เป๊ะมาก และค่อนข้างดุเวลาทำงาน แต่พอรู้จักไปสักระยะ ก็ได้รู้ว่าพี่แอนเป็นคนใจดีมาก และใจกว้าง แต่เขาก็ชอบเหน็บแรงๆ สนุกๆ นะครับ แต่ก็มีจังหวะที่เนี้ยบ
ถ้าพี่เขาจะเอาความเป๊ะ เขาก็ต้องเป๊ะให้ได้ และมันก็เป็นผลดีในเรื่องของการทำงาน เวลาทำงานผมก็พยายามจะทำให้เป๊ะให้เท่าพี่เขาครับ พยายามทำการบ้านให้เยอะๆ"
พัฒนาฝีมือไม่หยุด
และในทุกๆ ผลงานละครของเจมส์จิต้องยอมรับว่า แฟนละครจะได้เห็นพัฒนาการทางการแสดงของเจมส์จิอยู่เสมอ พระเอกหนุ่มไม่เคยย่ำอยู่กับที่ ซึ่งเรื่องนี้เจมส์จิยิ้มสุดเขิน ก่อนจะบอกถึงสกิลการแสดงของตัวเองว่า
"ผมว่ามันมาจากประสบการณ์ ถ้ามีคนที่เก่งกว่าผม เขาอาจจะพัฒนาแบบก้าวกระโดด แต่สำหรับผม ผมอาจจะไม่ได้เก่งมาก ก็เลยอาศัยประสบการณ์ไปเรื่อยๆ เวลาเจอใคร หรือว่าเล่นเรื่องอะไร บวกกับอายุที่เราโตขึ้นเรื่อยๆ
เพราะความเข้าใจมันจะเป็นต่างกัน การแสดงออกที่จะแสดงออกมันก็จะสามารถคิดได้หลากหลายขึ้น ผมไม่ได้ถ่อมตัวนะ (ยิ้ม) ผมรู้ตัวเองว่าเป็นคนที่เล่นละครไม่ค่อยดี และผมก็พยายามอย่างมากที่จะทำให้มันดีขึ้นมากๆ
ถามว่าเพราะผมเลือกบทดีๆ หรือเปล่า ไม่เลย ผมไม่เคยได้มีโอกาสเลือกบทเล่นเลย (ยิ้ม) ผู้ใหญ่ให้บทอะไรมาผมก็รับ แต่เป็นโชคดีของผมที่ผู้ใหญ่เลือกมาให้แล้ว และผมก็ไม่ค่อยปฏิเสธ"
เราจึงถาม เจมส์จิ ต่อว่า จากที่เมื่อก่อนเคยมีบทที่ยากสำหรับเจมส์จิ แต่เพราะมีประสบการณ์และชั่วโมงบินที่สูงขึ้นแล้ว ตอนนี้บทนั้นมันง่ายแล้วสำหรับเจมส์จิแล้วคือบทไหน พระเอกหนุ่มตอบไม่ต้องคิดนานว่า
"เป็นบทร้องไห้กับบทโมโหครับ ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมเล่นมันได้ง่ายขึ้นแล้วนะ คือสมัยก่อนผมจะค่อนข้างกังวลกับบทร้องไห้และโมโหมากเป็นพิเศษ ซึ่งตอนนี้ก็ยังกังวลอยู่นะ แต่อาจจะน้อยลง (ยิ้ม)
หลายคนคิดว่าพี่แอนจะสอนเทคนิคผมในเรื่องของการแสดง บอกเลยว่าไม่ค่อยมีนะครับ แต่เขาจะบอกว่าให้รู้สึกกับมันยังไง การแสดงมันมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะมาก
ถ้าเกิดจะลงดีเทลจริงๆ มันจะมีเรื่องที่เราดีไซน์มันออกมาได้เยอะ จะรู้สึกอย่างไร การเล่นกับนักแสดงคนอื่นจะเป็นยังไง ต้องอาศัยประสบการณ์ แต่การที่เจอแต่ละคน เราก็จะได้เก็บแนวทางของแต่ละคนมา
...
เพราะแต่ละคนก็จะเล่นไม่เหมือนกัน ก็เก็บเอามาไว้ใช้ถ้าวันหนึ่งต้องเจอซีนอารมณ์แบบนี้ๆ ถ้ามันเข้ากันได้ก็หยิบมันมาใช้ เป็นแนวครูพักลักจำจากการสังเกต"
จากนั้นเราถาม เจมส์ จิรายุ ต่อว่า เล่นละครมา 10 ปีแล้ว ยังมีบทไหนที่เจมส์จิยังอยากจะเล่นบ้าง หรือว่าเล่นมาครบทุกบทบาทแล้ว ซึ่งเราได้รับคำตอบในคำถามนี้ว่า
"ผมอยากจะลองเล่นบทคอเมดี้ดูครับ ซึ่ง 2 เรื่องที่กำลังถ่ายทำอยู่ก็ไม่ได้เล่นคอเมดี้เลย (หัวเราะ) แต่ 2 เรื่องนี้มันเจ๋งมาก ผมอ่านบทแล้วรู้สึกว่าทุกซีนเป็นไวรัลได้หมด และมันก็โหดมาก ตั้งแต่ผมเล่นมา ยังไม่เคยเจอบทแบบนี้มาก่อน
คือเรื่องของพี่เอจะเป็นการเติบโตของตัวละคร จากใสๆ จะเติบโตไปเรื่อยๆ เรื่องของพี่จ๋า ยศสินี จะเป็นการมองโลกใน 2 มุม ผ่านตัวนางเอกและตัวพระเอกที่เป็นโลกที่แตกต่างกัน
ทั้ง 2 เรื่องมีเสน่ห์มาก ผมรอดูมากๆ คิดว่าจะเป็นมาสเตอร์พีซอีกเรื่องของผม ความรู้สึกเหมือนตอนที่ผมเล่นกรงกรรมเลยครับ (ยิ้ม) มันมีอะไรเดือดๆ ให้ดูเยอะ และมีเซอร์ไพรส์ ผมต้องทำการบ้านหนักขึ้น และทำเยอะ เพราะยอมรับว่ามันมีความกดดันจากตัวเองเยอะอยู่ และเรื่องความเครียดด้วย"
...
10 ปีในวงการบันเทิง
อย่างที่หลายๆ คนรู้กันว่า เจมส์ จิรายุ จริงๆ ไม่ได้มีความฝันที่อยากจะเป็นนักแสดง แต่เพราะมีโอกาสเจ้าตัวจึงคว้ามันไว้และลองทำมัน และจากวันนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลา 10 ปีแล้วที่ เจมส์จิ ยังคงสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับแฟนๆ เราถามเจมส์จิตรงๆ ว่า เคยคิดมั้ยว่าตัวเองจะเดินมาไกลมากขนาดนี้ พระเอกหนุ่มยิ้มเขินอีกครั้ง และตอบคำถามเราว่า
"ผมเติบโตมา 10 ปีแล้วครับ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาไกลขนาดนี้ ผมไม่คิดว่าเวลามันจะเดินเร็วขนาดนี้ พอมีงานประจำวันมันก็มาเรื่อยๆ ของมัน และไม่คิดว่าตัวเองจะอยู่ได้ขนาดนี้ไง แต่มันก็ไปเรื่อยๆ ของมัน
และต้องบอกว่าการทำงานในวงการบันเทิงมันไม่ใช่ที่ที่ผมใฝ่ฝันเลย พอทำมาก็ยังหาทางออกไม่ได้ด้วยซ้ำ ในความรู้สึกของผมคือ ผมไม่ได้เป็นคนขับรถ ไม่ได้เป็นคนบังคับทิศทาง เหมือนเราไปตามในสิ่งที่มันเกิดขึ้นเรื่อยๆ ลืมตามาอีกทีก็ 10 ปีแล้ว (ยิ้ม)
จากวันนั้นจนตอนนี้ผมก็เริ่มมีเป้าหมายชัดขึ้น ก็ค่อยๆ เดินบนเส้นทางนี้ไปเรื่อยๆ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะไปทำสิ่งที่คิดไว้ได้มั้ย หรือมันจะเกิดขึ้นมั้ย เราก็มุ่งไปตามสิ่งที่ทำอยู่
สิ่งที่ผมคิดจะทำก็เหมือนคนอื่นๆ ที่เขาคิด เรื่องทำธุรกิจ หรือทำอะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่งานแสดง คือผมเคยคิดมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนหลังมาก็เริ่มโฟกัสในสิ่งที่เราทำในปัจจุบัน เรื่องพวกนั้นก็เลยค่อยๆ หายไป
และผมทำงานมาก็หลายปีก็เริ่มได้รางวัลที่ได้มาจากการแสดง มันทำให้ผมรู้สึกดีนะ เพราะอย่างที่บอกว่าผมรู้ว่าตัวเองเล่นละครได้ไม่ค่อยดี (หัวเราะ)
ถามว่าผมมีใครเป็นต้นแบบที่ผมอยากจะเป็นให้ได้เหมือนเขามั้ย ผมมองพี่อนันดาครับ เขาเป็นสไลต์ฝรั่ง และเขาก็เล่นบทแนวไหนก็ได้ ผมรู้สึกว่าเขาเป็นธรรมชาติมากกับสิ่งที่เขาแสดงออกมา
...
แต่พอเราลองทำแบบเขามันจะกลายเป็นดูปลอมเบาๆ (หัวเราะ) ซึ่งผมก็อยากเป็นเหมือนพี่เขา แต่ยังไปถึงขั้นนั้นไม่ได้ ก็จะมีพี่ๆ อีกหลายคนที่เก่งมากๆ และผมก็ยังเดินทางไปไม่ถึงจุดนั้นเลย"
บ้านหลังแรกของผม
เราเคยคุยกับเจมส์จิมาหลายครั้ง ซึ่งพระเอกหนุ่มเคยบอกเราเรื่องการมีบ้านที่กรุงเทพฯ ว่าไม่คิดจะสร้าง อยู่คอนโดฯ สบายใจกว่า แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปี เจมส์ จิรายุ ก็ได้ควักเงินสร้างบ้านหลังใหม่ที่กรุงเทพฯ เราจึงถามเจมส์จิว่า เพราะอะไรถึงเปลี่ยนใจสร้างบ้านที่กรุงเทพฯ เจมส์จิหัวเราะก่อนตอบคำถามนี้ว่า
"ที่ความคิดเปลี่ยนเพราะช่วงโควิดแหละ คิดว่าถ้าอยู่บ้านก็คงดี คือตอนนั้นต้องกักตัว แต่พอโควิดเริ่มซาก็คิดว่าบ้านจะดีเหรอ มันต้องเดินทางไกลจัง ทุกวันนี้ยังคิดอยู่เลยว่ามันดีใช่มั้ย เพราะมันเดินทางค่อนข้างไกลอยู่ (หัวเราะ)
คือการสร้างบ้านมันจับผลัดจับผลูไปได้ที่ที่หนึ่งมา โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจมาก ผมซื้อมาก่อนโควิด ก็เลยคิดจะสร้างบ้านเล่นๆ ตอนแรกจะสร้างหลังเล็กๆ หลังละ 2-3 ล้านก็พอ แต่ว่ามันก็ไม่มีจริง (ยิ้ม)
ผมไม่ได้คิดว่าจะอยู่ที่นี่เป็นเบสหลัก จะอยู่คอนโดฯ บ้าง บ้านบ้าง ก็เลยกะสร้างหลังเล็กๆ จาก 2 ล้านก็บานปลายมาเยอะอยู่ครับ (ยิ้ม) เดี๋ยวผมจะบอกทีหลังนะว่าราคาเท่าไหร่ (หัวเราะ)
เป็นบ้านแนวโมเดิร์น ก็ช่วยกันออกแบบกับทีมสถาปัตย์ ไม่ใช่บ้านแบบที่ผมใฝ่ฝันเลย (ยิ้ม) คือมันเป็นบ้านหลังแรก ก็เลยเดาทางไม่ออก เหนื่อยมากกับการสร้างบ้านหลังนี้
เนี่ยตาผมยังลอยอยู่เลย (หัวเราะ) ลอยเพราะหาเงินซื้อของลงบ้าน และต้องแก้ไขปัญหาบ้าน มันเป็นปัญหาพื้นฐานเลยที่ทุกคนต้องเจอ ตั้งแต่ออกแบบ ลงเสาเอก จะมีการต่อเติมและต้องมีการแก้อีก ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนที่ทำบ้านครับ ทำให้ผมปวดหัวและใช้พลังงานเยอะพอสมควร ตอนแรกบ้านใกล้เสร็จแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ใกล้แล้วครับ เพราะต้องแก้เยอะ แก้เพื่อความเรียบร้อย"
ยืนหนึ่งเรื่องความฮอต
เข้าวงการมาตั้งแต่อายุเลข 1 นำหน้า และในปีหน้า เจมส์ จิรายุ จะอายุ 30 ปีแล้ว แต่ยังมีเป้าหมายอะไรบ้างที่ยังอยากจะทำ และจะต้องทำมันให้ได้ ซึ่งเจมส์จิบอกกับเราว่า
"ก็คิดว่าจะทำให้ชีวิตมันสงบลงให้ได้ เราจะไม่วุ่นวายทุกวัน จัดตารางชีวิตได้ ทำงานให้มันดีขึ้นกว่านี้อีก จะไม่ทำงานแบบร้อนเงิน (ยิ้ม) คืองานมันมาชนกันเฉยๆ ครับ พอทุกอย่างมันซ้อน มันก็ซ้อนกันไปเรื่อยๆ
แต่หลักๆ ก็คืองานละครแหละ มันกินเวลางานเยอะ ก็เลยรู้สึกว่าถ้าอนาคตจัดการได้ก็คงจะดี และอีกสิ่งหนึ่งที่คิดมาได้ ผมตั้งใจว่าจะเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ เป็นคนสร้างเสียงหัวเราะ เพราะเดี๋ยวนี้เราทำอะไรก็ได้ และถ้าเรายังเป็นคนที่สร้างเสียงหัวเราะได้ หรือสร้างวามสุขให้คนได้ก็จะลองดูว่าจะทำอะไรได้บ้าง เหมือนรายการคนดีที่ไหนที่ทำกันอยู่ครับ"
แม้ปีหน้าจะอายุ 30 แล้ว แต่ต้องยอมรับเรื่องความฮอตของหนุ่มเจมส์จินั้นก็ยังคงเป็นพระเอกเบอร์ต้นๆ ของวงการ ช่วงไหนไม่มีละครให้ได้ดู แต่ก็มีงานพรีเซ็นเตอร์ให้ได้เห็นกันอยู่เสมอๆ
ทำเอาหลายคนสงสัยในความดวงดี ดวงปังสุดเฮงของเจมส์จิว่ามีไปเสริมดวง หรือมูเตลูที่ไหนมาถึงยังฮอตและปังๆ อยู่ตลอด งานนี้ทำเอาเจมส์จิคิดหนักก่อนจะหัวเราะและตอบคำถามนี้ว่า
"ผมไม่เคยไปมูที่ไหนเลยครับ ไม่ได้มาสายนี้เลย แต่ก็ไม่รู้ว่าบุญวาสนาอะไรที่ส่งให้ผมอยู่มาได้จนทุกวันนี้ (ยิ้ม) แต่ผมก็คิดว่าตัวเองโชคดีที่ได้บทละครที่ไม่ซ้ำกันเลย งานพรีเซ็นเตอร์ก็ยังมีมาเรื่อยๆ ตัวที่ยังเป็นอยู่ก็ยังได้เป็นอยู่ (ยิ้ม)
จริงๆ 10 ปี ผมก็ควรจะไปแล้วเนอะ (ยิ้ม) ทำไมผมดวงดีจัง (ยิ้ม) ตอนแรกผมก็พยายามจะออกจากวงการแล้ว คือมันมีบางโอกาสที่ผมก็รู้สึกท้อ มันท้อด้วยงานที่มันหนักและไม่รู้จะไปอย่างไรต่อ พอทำจนไม่เห็นทางก็ไม่รู้จะไปต่อยังไง แต่ตอนนี้เห็นแล้ว ว่าตัวเองจะเดินไปในทิศทางไหน การแสดงมันอยู่เส้นสายเลือดแล้ว (ยิ้ม)"
มีสุขภาพดีก็ทำงานได้ดี
อย่างที่รู้กันในช่วงที่ผ่านมาเราจะเห็นว่า เจมส์จิ นั้นค่อนข้างที่จะดูแลตัวเองมากขึ้น มีการออกกำลังกายปั้นหุ่นของตัวเอง ซึ่งเจมส์จิเล่าให้เราฟังถึงการที่กลับมาใส่ใจดูแลตัวเองให้มากขึ้นว่า
"จากวันนั้นที่ผมเคยพูดไว้ว่าจะปั้นหุ่นจนถึงวันนี้ดูหุ่นผมสิ (หัวเราะ) ตอนที่เริ่มจะออกกำลังกายจริงจังเป็นตอนหลังละครเรื่องปดิวรัดา ตอนนั้นยังอ้วนอยู่เลย หลังจากนั้นหุ่นผมก็เริ่มมาดีขึ้น เพราะเวลาถอดเสื้อโชว์ในละครจะได้ไม่เขิน (หัวเราะ) แต่เอาจริงๆ ผมก็เขินหมดทุกเรื่องแหละ ถ้าต้องถอดเสื้อโชว์ (ยิ้ม)
ตอนนี้การออกกำลังกายก็เริ่มเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวัน คือผมต้องเริ่มมีความรับผิดชอบ คิดว่ามันดี ต้องทำ และสามารถบังคับตัวเองได้มากขึ้น และอายุที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้รู้ว่าการที่สุขภาพที่ดีจะทำให้เราทำงานได้ดีกว่า
และโฟกัสตอนนี้มันเปลี่ยน เมื่อก่อนจะสนุกเรื่องการเล่น แต่ตอนนี้เริ่มสนุกกับการทำงาน มันก็เลยเปลี่ยนไป ก็เลยยึดการทำงานเป็นหลักก็เลยออกกำลังกายไปด้วย ทำงานได้ดีก็เริ่มรู้สึกสนุก
จริงๆ ผมอยากออกกำลังกายมากกว่านี้ แต่เวลามันไม่ได้จริงๆ ก็เลยเอากลางๆ แต่หุ่นที่ผมชอบมากที่สุดคือตอนที่ถอดเสื้อถ่ายตอนที่อยู่ออฟฟิศเก่า ตอนนั้นออกกำลังกายหนักมาก
แต่พอละครเปิด 2 เรื่องพร้อมกันก็สติแตก พอนอนน้อยๆ ก็เริ่มต้องการโซเดียม (หัวเราะ) พอโซเดียมเสร็จก็ต้องการนอน แล้วก็ไม่ออกกำลังกายวนลูปแบบนี้ ตอนนี้ก็มีออกกำลังกายด้วยการวิ่งและเวตด้วย และมีไปเล่นกิจกรรมแบบที่ผู้หญิงๆ เขาเล่นกันกับพี่แอนบ้าง เล่นแล้วก็สนุกดีนะ มันได้กล้ามเนื้ออีกชุด
แต่เอาจริงๆ ผมอยากวิ่งนะ แต่ผมวิ่งมากไม่ได้ ผมเหมือนคนติดยา มันมีช่วงหนึ่งที่ผมบ้าวิ่งมาก และผมก็ผอมมาก และผมก็กินผัก วิ่งได้วันละ 20 กิโลฯ เป็นจังหวะที่บ้าที่สุดในชีวิต
ผมเสพติดการออกกำลังกายมาก น้ำหนักจก 75 เหลือ 65 แล้วมันก็ซูบไปหมดเลย ก็เลยต้องหยุด วิ่งบ้างเล็กน้อย เวตบ้าง และต้องกินด้วย ผมผ่านจุดโรคจิตมาแล้ว ถ้าวันไหนไม่ได้วิ่งก็จะงอแง แต่ตอนนี้มาอยู่ทางสายกลางแล้ว อยากวิ่งก็ไปเวต ก็หลอกๆ ตัวเองไปวันๆ หลอกความต้องการของตัวเอง (ยิ้ม)"
ต้องยอมรับแม้จะไม่ได้เจอกันนาน แต่ความหล่อหน้าหวาน และความน่ารักของพระเอกขี้อ้อนคนนี้ก็ยังคงเส้นคงวา แต่มีบางสิ่งที่เปลี่ยนไปนั่นคือแพลนชีวิตของหนุ่มเจมส์จิที่มีเป้าหมายของการทำงานที่ชัดเจนมากขึ้น และเราก็หวังว่าจะได้เห็นว่า เจมส์ จิรายุ จะอยู่สร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับแฟนๆ ไปอีกนานแสนนาน.
ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา
กราฟิก : Varanya Phae-araya, Jutaphun Sooksamphun
ช่างภาพ : ชุติมน เมืองสุวรรณ