ก่อนหน้านี้กลายเป็นเรื่องราวดราม่าระอุโซเชียล หลังนักแสดงสาว ก้อย รัชวิน วงศ์วิริยะ ออกมาชวนแฟนๆ ไปร่วมกิจกรรมวิ่งการกุศล Esther Bunny Women's run presented by ATiRA ซึ่งจะจัดขึ้นที่ Laguna จ.ภูเก็ต

แต่ว่างานนี้มีเพจหนึ่งโพสต์ภาพเกี่ยวกับงานวิ่งดังกล่าว พร้อมทั้งเขียนข้อความว่า “มาแล้ว ก้อย ภรรยา ตูน ชวนผู้หญิงออกมาวิ่ง ค่าสมัคร 3500 บาท แบ่งให้มูลนิธิรามาธิบดีฯ 100 บาท 10-11 ก.ย. นี้ ที่ลากูน่า โกรฟภูเก็ต” ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์มากมาย

ล่าสุดวันนี้ ก้อย ได้ออกมาชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าวที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่า "งานวิ่งครั้งนี้เป็นงานวิ่งปกติทั่วไป ซึ่งมีการรับสมัครเกิดขึ้นตามปกติ โดยทางผู้จัดงานได้มาคุยโปรเจกต์กับก้อย และอยากให้เราเป็นผู้สนับสนุนหลักในฐานะของพรีเซนเตอร์งานวิ่งในครั้งนี้

ซึ่งตัวเราเองมองว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่เราจะได้กลับมาจัดงานวิ่งเพื่อผู้หญิงอีกครั้ง และครั้งนี้มีการซื้อลิขสิทธิ์ตัวกระต่าย Bunny ความตั้งใจดีของผู้จัดงานในครั้งนี้ต้องการนำรายได้ส่วนหนึ่งไปมอบให้กับรายได้การกุศลคือมูลนิธิรามาธิบดี ซึ่งนอกจากจะชวนมาวิ่งแล้วเรายังจะได้ส่งต่อสิ่งดีๆ ให้กับคนอื่นด้วย

...

ส่วนตัวเราแอบตกใจมาก เพราะข่าวออกมาว่าค่าสมัคร 3500 แต่เข้ามูลนิธิแค่ 100 บาท ส่วนตัวเราก็เครียด แต่รู้ว่าความจริงคืออะไร แล้วก็ชี้แจงข้อมูลที่เป็นความจริงออกไปแล้ว ซึ่งหลายคนก็เข้าใจเพราะรายละเอียดทุกอย่างมีใส่ไว้ในข้อมูลทั้งหมด เพียงแต่ว่าบางท่านอาจจะเข้ามาแล้วไม่ได้อ่านครบ ซึ่งเราก็ไม่ทราบจุดประสงค์ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในหลากหลายประเด็น แต่สุดท้ายแล้วก็อยากจะชี้แจงในความเป็นจริงที่สุด

พอเห็นข้อความที่วิจารณ์ถล่มเรา เห็นแล้วก็ไม่สบายใจ แต่การจะดับทุกข์ได้ดีที่สุดมันต้องดับด้วยตัวเราเอง ถามว่าจะทำให้เราจัดการยังไง เรารู้สึกว่าเราจัดการกับความรู้สึกตัวเองดีกว่า แล้วก็เอาเวลาไปโฟกัสการจัดงานให้ดีที่สุด ให้คนที่เค้ามาสมัครวิ่งกับเราไปวิ่งในงานที่ดี ให้เค้าวิ่งแล้วเขามีความสุขมีรอยยิ้มกลับบ้านไป นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

สำหรับเราการฟ้องร้องไม่ได้ทำให้ก้อยมีความสุขไปมากกว่านี้ เพราะเราเห็นข่าวแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ ถามว่าทุกข์ไหมก็เป็นทุกข์ แต่การฟ้องไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นแล้วสบายใจมากขึ้น ในทางกลับกันอาจจะรู้สึกเป็นทุกข์มากขึ้นด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นเราก็ดับทุกข์ด้วยตัวเองและเอาเวลาไปโฟกัสเรื่องของการจัดงานดีกว่า

แต่สิ่งที่เราไม่สบายใจมากที่สุดก็คือถูกพาดพิงไปถึงลูก เพราะถ้ามันแค่ตัวเราเราก็จะมีภูมิคุ้มกันอยู่แล้ว เพราะเราก็เจอเหตุการณ์นี้มาค่อนข้างบ่อย แต่ถ้ามองในความเป็นแม่ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราก็ไม่อยากให้ลูกโตมาในสังคมมีไซเบอร์บูลลี่แบบนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วเราก็อยากจะข้ามไปเลย ไม่อยากจะเอาสิ่งลบๆ มาทำให้เราไม่มีแรงเดินหน้าต่อ

เราอยากจะเดินหน้าต่ออย่างมีความสุข แต่ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นที่มันเกี่ยวข้องกับลูกเราในอนาคต บางทีในฐานะของคนเป็นพ่อเป็นแม่เราก็ต้องปกป้องลูกเราเหมือนกันนะ ซึ่งก็ไม่อยากพูดไปเยอะมากกว่านี้ เพราะรู้สึกว่าพูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียตำลึงทอง".