• ลิลลี่ ได้หมดถ้าสดชื่น ยิ้มรับความสุข ทุกวันนี้ชีวิตดีไม่ต้องหนีเจ้าหนี้อีกต่อไป
  • ยอมรับเสียใจถูกเปรียบเทียบไม่สวยและเก่งเหมือน เจนนี่ พี่สาว 
  • ชีวิตหลังเจอมรสุมดีขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะ ยิว ฉัตรมงคล เข้ามาเปลี่ยนพี่สาว 

ลิลลี่ ได้หมดถ้าสดชื่น หรือ นารีนาท เชื้อแหลม โด่งดังมีชื่อเสียงมาจากการเป็นนักร้อง และเพลงเลิกคุยทั้งอำเภอเพื่อเธอคนเดียว ของเธอนั้นก็ดังเป็นพลุแตกและมียอดวิวสูงถึงเกือบ 400 ล้านวิว

ล่าสุด ลิลลี่ ได้มาลองชิมลางเล่นหนังอีกครั้งกับเรื่องล่าสุด มนต์รักวัวชน ที่ครั้งนี้ฉายเดี่ยวไม่มีพี่สาว เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น ประกบ เป็นการบินเดี่ยวของเธอครั้งแรก ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าตื่นเต้นสุดๆ 

ซึ่งนานๆ เราจะได้เจอ ลิลลี่ ที่กรุงเทพฯ สักครั้ง ก็ไม่พลาดที่จะล็อกคิวของเธอเพื่อที่จะพูดคุยอัปเดตชีวิตของตัวเองว่าตอนนี้เป็นอย่างไรหลังจากที่ก้าวผ่านมรสุมชีวิตลูกใหญ่มา 

ในวันที่ต้องบินเดี่ยว 

...

ในครั้งแรกที่เจอกัน ลิลลี่ ส่งยิ้มให้เราด้วยความประหม่านิดๆ เกร็งหน่อยๆ ที่ต้องฉายเดี่ยวให้สื่อสัมภาษณ์ในวันนี้ เราเลยชวนลิลลี่พูดคุยเพื่อลดความตื่นเต้นกันพักหนึ่ง

ซึ่งนักร้องสาวก็ดูปรับตัวได้เร็ว ดูผ่อนคลายมากขึ้น เราจึงเริ่มทำงานกันทันทีกับคำถามที่ว่า หายตื่นเต้นหรือยัง และลิลลี่หัวเราะและบอกเราว่า 

"หนูกลัวว่าจะทำได้มั้ย เพราะปกติจะมีพี่เจนนี่อยู่ข้างๆ หนูตลอด แต่เรื่องนี้พี่เจนนี่ไม่ได้มาด้วยเลย ก็เลยกังวลหนักมาก แต่สุดท้ายก็ทำได้ เพราะพี่เจนนี่ก็ส่งกำลังใจให้หนูตลอด 

หนูไม่มั่นใจถ้าไม่มีพี่เจนนี่ประกบ พี่เจนนี่ก็จะส่งข้อความมาให้กำลังใจตลอด บอกว่าน้องโตแล้ว น้องต้องทำให้ได้นะ ต้องทำได้โดยที่ไม่มีพี่อยู่ข้างๆ เผื่อวันหนึ่งพี่มีครอบครัว น้องจะได้ไปทำงานได้ด้วยตัวเอง 

ตอนนี้ก็ออกมาทำงานแบบไม่มีพี่เจนนี่อยู่ด้วย ถ้าเรื่องของการแสดงก็พอได้ แต่พอเป็นคอนเสิร์ตมันก็ยังมีกังวลอยู่ค่ะ หนูออกคอนเสิร์ตมา 3 ปี แต่เพิ่งจะมาเล่นแบบไม่มีพี่เจนนี่บนเวทีด้วยกันตอนพี่ท้อง 

และหนูกังวลมาก เพราะก่อนหน้านี้เราตัวติดกันมาตลอด ถ้าพูดถึงเจนนี่ก็จะมีลิลลี่ด้วย แต่ถ้าพูดถึงลิลลี่ก็จะมีเจนนี่ด้วยค่ะ แต่พอมาเป็นคอนเสิร์ตเดี่ยวลิลลี่ คนก็พูดว่าเจนนี่ไม่มาก็ไม่ไปดูดีกว่าอย่างนี้ หนูก็แอบเครียด

เพราะทุกครั้งที่ขึ้นคอนเสิร์ตอยู่บนเวที พี่เจนนี่จะคอยส่งให้ไม่ติดขัดเลย แต่พอพี่เจนนี่ไม่อยู่บางครั้งมันก็ติดขัดไม่ราบรื่น หนูยังมีอะไรที่ต้องเรียนรู้และปรับตัวอีกเยอะเลยค่ะ 

หนูจะลุยเดี่ยวอีกไม่นานค่ะ เพราะพี่เจนนี่จะกลับมาขึ้นคอนเสิร์ตเดือนสิงหาคมนี้แล้วค่ะ (ยิ้ม) ก็จะกลับมาเล่นแบบเต็มวงอีกทีค่ะ 

อย่างวันนี้มาทำงานที่กรุงเทพฯ ก็มากับคนดูแล ก็เข้าใจว่าพี่เจนนี่ต้องเลี้ยงลูก (ยิ้ม) แต่ถ้าไม่ได้มีลูกแต่ไม่มาก็คงจะแอบน้อยใจ (หัวเราะ) 

เวลาจะมาทำงาน พี่เจนนี่ก็จะเป็นคนบอกคิวหนูค่ะ ว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง เลิกกี่โมง แต่งตัวยังไง ต้องทำตัวยังไง จะคอยบอกทุกอย่าง พี่เจนนี่ยังอยู่เบื้องหลังทุกงานของหนูค่ะ 

ปกติหนูจะติดแม่มาก ถ้าไปไหนแล้วแม่ได้ไปด้วยหนูก็จะมีงอแงกับแม่บ้าง คือหนูยังเป็นเด็กในสายตาของแม่ตลอด ทุกๆ วันหนูต้องได้กอดแม่

แต่ถ้าพอจะกอดแล้วแม่ไม่กอดหนูก็จะน้อยใจ เราอยากกอดแม่ อยากให้แม่อุ้ม บางทีก็ทะเลาะ ก็งอนกันในเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ค่ะ"

เกือบสู้ไม่ไหวกับดราม่าที่เกิดขึ้น

เข้าวงการตั้งแต่ยังเป็นเด็ก 15 จนถึงวันนี้ แค่ 3 ปีแต่ เจนนี่-ลิลลี่ เจออะไรมาเยอะมาก ยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้มั้ย วันที่เจอดราม่าถาโถมได้หรือเปล่า ซึ่ง ลิลลี่ ได้หมดถ้าสดชื่น ก็ได้เล่าถึงเรื่องราวในตอนนั้นให้เราฟังว่า 

"เพราะในระยะเวลา 3 ปีเราเจออะไรหลายๆ อย่างมากกว่าคนอื่นด้วย ตอนนี้หนูก็อายุ 18 ปีแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นในหลายๆ เรื่อง 

ช่วงที่มีดราม่าหนักๆ เราก็ให้กำลังใจกัน นอนด้วยกัน ร้องไห้ด้วยกัน กอดกันช่วยกันหาวิธีและทางออกที่ดีที่สุด เพราะพวกเราก็รู้สึกไม่ไหวกับสิ่งที่มันเข้ามาตอนนั้น 

...

คิดกันจนหัวชนฝา เรื่องราวที่เราเจอมันหนักมากจนพี่เจนนี่จะปิดค่ายค่ะ ซึ่งเป็นเรื่องที่หนูไม่คิดว่าพี่เจนนี่จะปิดเพราะพี่เขาสู้มาก พี่เจนนี่ตั้งใจที่จะทำค่ายมากๆ พอมาได้ยินว่าพี่จะปิดค่าย หนูตกใจมาก รู้สึกว่าทุกสิ่งที่ทำมาก็เท่ากับศูนย์

พอได้ยินก็ตัดพ้อกับพี่เจนนี่ งั้นก็ปิดเลย จะได้ไม่มีคนมาด่าเรา แต่การทำค่ายเป็นสิ่งที่พี่เจนนี่ตั้งใจทำมันมาก มันเลยทำให้หนูช็อก ก็บอกเขาว่า จะปิดจริงๆ เหรอ อุตส่าห์ทำมานะ 

และตอนนั้นพวกเราทำอะไรก็แย่ไปหมด แย่ทุกอย่างเลย เด็กออกจากค่ายจนเกือบหมด เหลืออยู่แค่คนเดียว และมีอะไรอีกหลายๆ อย่างเข้ามาด้วย ตอนนั้นพวกเราไม่มีคนซัพพอร์ตเลย ถึงมีก็น้อยมาก แต่พวกเราก็สู้กันอีกสักตั้ง ตอนนั้นหนูสงสารพี่เจนนี่มากเลย 

ตอนนั้นหนูก็โดนกระแสเหมือนกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าน้อยกว่าพี่เจนนี่เยอะมากๆ เพราะพี่เจนนี่เจอหนักมากๆ เลยค่ะ ด้วยความที่หนูยังเด็ก ก็เลยไม่โดนเยอะเท่ากับคนที่โตแล้ว"  

ฟ้าหลังฝนสุดสดใส

หลังจากที่ผ่านมรสุมชีวิตช่วงนั้นมา หลังจากนั้นก็ฟ้าหลังฝน ชีวิตครอบครัว ชีวิตเจนนี่ ดูดีขึ้นมากๆ ซึ่ง ลิลลี่ ได้หมดถ้าสดชื่น ก็ยอมรับกับเราว่า ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นมากจริงๆ เพราะมี ยิว ฉัตรมงคล เข้ามาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว

...

"ใช่ค่ะ ชีวิตพวกเราดีขึ้นมากๆ ค่ะ พี่ยิวมีส่วนที่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เพราะว่าพี่ยิวเป็นคนคิดก่อนทำ แต่เมื่อก่อนพี่เจนนี่คิดแล้วทำเลย ไม่ได้วางแผน พี่ยิวก็เข้ามาเปลี่ยนความคิดของพี่เจนนี่ไปอีกขั้นค่ะ" 

ก่อนที่เราจะถามถึงตอนที่ ยิว ฉัตรมงคล เข้ามาจีบ เจนนี่ รู้สึกอย่างไร หวงพี่สาวมั้ย เพราะเขาก็เพิ่งจะเลิกรากับคนเก่ามาได้ไม่นาน ก็ยังเจ็บอยู่ไม่น้อย ซึ่งลิลลี่พูดถึงพี่เขยของตัวเองเมื่อครั้งที่เข้ามาจีบพี่สาวในตอนนั้นให้ฟังว่า 

"กับพี่ยิวนะ ตอนแรกหนูเฉยๆ ค่ะ ไม่ได้หวงพี่สาว แต่พอได้เห็นด้านดีของเขาก็ปล่อยให้จีบได้ ถ้าพี่เราโอเค หนูก็ไม่ได้อะไรเพราะหนูอยากเห็นพี่เจนนี่มีความสุข (ยิ้ม) 

แต่ถึงหนูจะสนับสนุนพี่ให้เจอคนดีๆ เจอรักดีๆ แต่พี่เจนนี่จะหวงหนูมาก อาจจะเพราะว่าหนูยังเด็กค่ะ (ยิ้ม) สำหรับแม่กับพี่เจนนี่หนูก็คือเด็กในสายตาเขาตลอดเวลาอยู่แล้วค่ะ

พี่เจนนี่ก็ยังหวงหนูอยู่ แต่ถ้าหนูจะมีเพื่อนคุยหรือมีเพื่อนปรึกษาก็มีได้ แต่ยังไม่อยากให้ใช้คำว่าแฟน ถ้ามีก็มีได้ แต่ขอให้อยู่ในสายตาของเขา มีอะไรให้บอกกัน อย่าเก็บไว้คนเดียว

ถามว่ามีคนเข้ามาจีบมั้ย ก็ไม่ค่อยมีเข้ามาค่ะ เพราะว่าหนูไม่ค่อยน่ารักเหมือนคนอื่น และคนคิดว่าหนูคงมีคนเข้ามาจีบเยอะ มีแฟนแล้ว" 

เราถาม ลิลลี่ สาวแก่นแสนซนว่า ระหว่างแม่กับพี่เจนนี่ ใครดุมากกว่ากัน งานนี้ลิลลี่ตอบคำถามด้วยรอยยิ้มว่า แม่จะดุกว่า เพราะแม่ด่าจนชินจนไม่กลัว แต่ตัวเองนั้นกลัวเจนนี่มากกว่า เพราะพี่สาวจะมาแนวเงียบๆ นิ่งๆ

ถ้าเรื่องไม่หนักจะไม่ถึงพี่สาว แม่จะเป็นคนรับมือก่อน แล้วเจนนี่จะเป็นไม้สุดท้ายที่จะแก้ปัญหาให้ แล้วมันจะหนักถ้าเธอนั้นทะเลาะทั้งกับแม่และพี่สาวในเวลาเดียวกัน เพราะไม่มีพวก อยู่ตัวคนเดียว 

...

แต่ลิลลี่กลับมีวิธีแก้ไขเรื่องนี้ได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยการที่อยู่คนเดียว เก็บตัวเงียบและงอนกลับแม่และพี่สาว จนแม่และพี่สาวก็มาง้อ เพราะเธอนั้นเป็นคนขี้งอน ขี้น้อยใจ ซึ่งนิสัยนี้คนในบ้านจะรู้อยู่แล้ว 

ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย

ในช่วงที่ดังๆ แรกๆ เจนนี่กับลิลลี่เคยทำคลิปเปิดรายได้หลังจากที่โด่งดังมีชื่อเสียงว่าตอนนั้นลิลลี่มีเงินเก็บเป็นล้าน ทุกวันนี้ได้กี่สิบล้านแล้ว งานนี้นักร้องสาวหัวเราะก็ตอบเราว่า 

"ก็ยังอยู่หลักล้านอยู่ค่ะ เพราะว่าหนูซื้อบ้านไปด้วยและก็เก็บเงินซื้อรถด้วย อีกอย่างหนูเป็นคนที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยระดับหนึ่งค่ะ ก็ใช้เงินเยอะค่ะ (ยิ้ม) 

คือแม่ก็จะดุเรื่องนี้นะคะ แต่ว่าก็ให้ใช้เพราะว่าหนูก็ทำงานด้วยตัวเอง ส่วนพี่เจนนี่ยิ่งไม่ดุเลยเพราะว่าหนูกับพี่ก็เป็นเหมือนกัน (ยิ้ม) พี่เจนนี่เป็นหนักกว่าหนูอีก เราไม่ห้ามกันซื้อด้วยกัน

ถามว่าเวลาช็อปปิ้งหมดเยอะมั้ย ถ้าไปห้าง 2-3 เดือนทีก็หมดเกือบแสน ชอบซื้อชุดเอาไว้ร้องเพลง ซื้อแหวนเพชร ซื้อนาฬิกา เสื้อผ้าใส่เที่ยว รองเท้า อยากได้อะไรก็ซื้อ เพราะเราทำงานเหนื่อยๆ"

แต่นอกจากการร้องเพลง เล่นหนัง รีวิวสินค้าเพื่อหารายได้แล้ว แต่ ลิลลี่ ยังมีรายการจากการไลฟ์ผ่านแอปฯ ซึ่งปีหนึ่งๆ ก็มีรายได้เป็นกอบเป็นกำไม่น้อย ซึ่งลิลลี่เล่าให้เราฟังว่า 

"เมื่อก่อนตอนที่ไลฟ์ผ่านแอปๆ หนึ่งก็ได้รายได้เยอะนะคะ ได้ค่าจ้างเป็นรายเดือน ไม่รวมของขวัญที่เอฟซีให้มา เหมือนเอฟซีให้ตังค์หนูกินขนม 

เวลาเอฟซีให้ของขวัญมา หนูก็จะเก็บเอาไว้ก่อน สะสมเอาไว้ก่อน แล้วค่อยไปแลกเงิน ปีหนึ่งก็ได้รายได้ 5 หลักอยู่นะคะ ก็เยอะสำหรับหนู เป็นการหารายได้อีกทางของหนูนอกจากการร้องเพลงค่ะ"

ชีวิตที่ไม่ต้องหนีเจ้าหนี้อีกต่อไป

เคยคิดมั้ยว่า อายุแค่ 18 ปีจะหาเงินและมีเงินเก็บเป็นหลักล้านแล้ว จากที่เมื่อก่อน ลิลลี่ เคยบอกว่าลำบากมากๆ ต้องหนีเจ้าหนี้ แม่กับพี่ต้องยอมอดเพื่อให้ตัวเองอิ่มท้อง ลิลลี่ ยิ้มอย่างภาคภูมิใจก่อนตอบเราว่า 

"หนูไม่เคยคิดเลยค่ะว่าครอบครัวเราจะมาได้ถึงจุดนี้ ทุกวันนี้ก็ยังคิดภาพตอนที่พวกเรามีเงินอยู่แค่ 40 บาท ไปนั่งกินติ่มซำกัน 3 คน พี่เจนนี่กับแม่ยอมให้หนูนั่งกินคนเดียว เขานั่งดูเรากิน หนี้ก็เยอะ ไม่คิดว่าพวกเราจะมาถึงวันนี้ได้ 

ตอนนั้นพี่เจนนี่ทำงานหนักเพื่อครอบครัวหนูเห็นนะ แต่หนูคิดภาพตัวเองทำงานและมีเงินซื้อบ้านได้ อันนี้ไม่เคยมีอยู่ในหัวหนูเลย ก็เลยรู้สึกว้าวกับตัวเองเหมือนกัน (ยิ้ม)

จากที่เคยอยู่แบบลำบาก หนีหนี้ ไม่มีเงินกินข้าว แต่วันนี้สุขสบายแล้ว ชีวิตมันดีมากเลยค่ะ (ยิ้ม) มันไม่ต้องกังวลว่าพรุ่งนี้แม่จะพาหนีไปไหนอีก พรุ่งนี้เราจะเจออะไรอีกมั้ย 

ทุกวันนี้เรามีบ้านแล้วค่ะ เราไม่ต้องหนีแล้วนะ เรามีรถแล้ว มันเป็นอะไรที่มีความสุข เวลาจะไปซื้อของช็อปปิ้งที่จะซื้ออะไรก็ได้ ไม่เหมือนเมื่อก่อนอยากได้อะไรก็ไม่มีเงินซื้อ (ยิ้ม)" 

ก่อนที่ ลิลลี่ ได้หมดถ้าสดชื่น จะบอกกับเราด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขมากๆ ว่า เธอนั้นช่างโชคดีที่สุดในโลกที่มีเจนนี่เป็นพี่สาว

ตลอดที่สัมภาษณ์ เรานั่งฟัง ลิลลี่ พูดถึงครอบครัวของเธอด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขเสมอ แววตาของเธอเวลาพูดถึงแม่และพี่สาวก็เต็มไปด้วยประกายของความสุขที่ส่งมาถึงเราจนเราสัมผัสได้

"ความยากลำบากมันทำให้เรารักกันมาก เพราะถ้าเราลำบากแล้วยังจะมาทะเลาะกัน มาแตกกันอีกมันก็ยิ่งจะไปกันใหญ่ พวกเราคือแพ็กสาม เป็นคำพูดของแม่ที่จะพูดกับพวกหนูเสมอ

แม่เป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับพวกเรา เป็นทุกๆ อย่าง เพราะเรามีกันแค่ 3 คนมาตลอด พี่เจนนี่ก็เหมือนพ่อของหนู พี่เจนนี่เลี้ยงหนูมาตั้งแต่เกิด

ทุกวันนี้หนูยังคิดว่าเราเป็นลูกพ่อแม่เดียวกัน ไม่มีความคิดไหนที่ทำให้หนูรู้สึกว่าพี่เจนนี่เป็นลูกคนละพ่อกับหนู พี่เจนนี่ให้ความรักให้ความอบอุ่นกับหนู หนูเลยรู้สึกไม่ขาด" 

เคยอยากเป็นคนธรรมดา

ต้องมาเป็นคนมีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อยๆ ชีวิตของ ลิลลี่ เปลี่ยนไปมากแค่ไหน ขาดช่วงชีวิตการเป็นวัยรุ่นเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ หรือเปล่า งานนี้นักร้องสาวได้ตอบเราพร้อมรอยยิ้มว่า 

"ชีวิตหนูเปลี่ยนมาก เพราะเอาจริงๆ หนูก็อยากไปซิ่งรถเครื่องกับเพื่อนๆ บ้าง (หัวเราะ) อยากทำอะไรที่ไม่ถูกคนจับตามอง อยู่โรงเรียนนั่งกินข้าวกับเพื่อนผู้ชายคนก็คิดไปกันใหญ่แล้ว 

หรือบางทีหนูก็บอกแม่ให้ไปส่งที่โรงเรียนด้วยการขับมอเตอร์ไซค์ไปส่ง แม่ก็บอกว่าไม่ได้ คนมองไม่ดี เพราะเราเป็นคนมีชื่อเสียง ถ้าหนูเป็นคนธรรมดา หนูก็ทำอะไรเหมือนที่คนทั่วๆ ไปเขาทำได้ 

คนจับจ้องเราอยู่ และแต่ละคนก็มีความคิดที่แตกต่างกันออกไป ถ้าคนเข้าใจเขาก็ไม่ได้สนใจ แต่ถ้าคนที่จ้องจับผิดเราอยู่เขาก็จะเอาไปพูดต่างๆ นานา แม่ก็ไม่อยากให้หนูต้องเจอคำพูดที่ทำให้รู้สึกเสียใจ 

จะทำอะไรก็ต้องคิดให้ลึก คิดให้ไกล คิดให้มากกว่าเดิม จะคิดตื้นๆ ไม่ได้นะคะ อย่างเช่น เราก็แค่ทำอย่างนี้ แต่ในมุมมองของคนอื่นเขาจะพูดหรือคิดว่า เราทำตั้งอย่างนั้นเลยนะ 

หนูปรับตัวอยู่นานมาก จากที่เมื่อก่อนเคยได้ทำอะไรง่ายๆ ทั่วๆ ไป เพราะหนูไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องนี้เท่าไร ด้วยความที่หนูดื้อในระดับหนึ่งก็เลยไม่เข้าใจ แต่ทุกวันนี้เข้าใจทุกอย่างที่แม่และพี่บอกแล้วค่ะ (ยิ้ม) อะไรที่ไม่เข้าใจก็พร้อมที่จะรับฟังเพื่อทำความเข้าใจ"

โดนเปรียบเทียบกับ เจนนี่ 

ต้องยอมรับว่า ลิลลี่ ได้หมดถ้าสดชื่น มักจะถูกแฟนเพลงบางคนเปรียบเทียบเธอกับพี่สาว ทั้งเรื่องหน้าตาและความสามารถในการทำงานอยู่เสมอๆ เราเลยถามลิลลี่ว่าทำอย่างไรเพื่อที่จะทำให้ตัวเองไม่เสียใจไปกับคอมเมนต์และการเปรียบเทียบเช่นนี้ ซึ่งลิลลี่บอกเราว่า 

"ส่วนใหญ่พี่เจนนี่จะบอกหนูตลอดว่า ไม่ต้องไปสนใจคำพูดพวกนั้น เพราะพี่เจนนี่ก็ไม่ได้ร้องเพลงเพราะเหมือนหนู แค่ร้องได้แต่ไม่ได้ร้องเก่งเหมือนหนู ทุกคนมีข้อดีข้อเสียในแบบของตัวเอง พี่เจนนี่จะคอยให้กำลังใจหนูตลอดค่ะ"

แต่ตลอดเวลาที่นั่งพูดกัน ลิลลี่ มักจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าตัวเองนั้นไม่มีความมั่นใจ ชอบคิดว่าตัวเองไม่น่ารัก คนไม่ชอบลิลลี่ เพราะอะไรลิลลี่ถึงยังคิดอย่างนั้นอยู่ ทั้งๆ ที่ลิลลี่เองก็มีแฟนคลับที่รักและติดตามอยู่ไม่น้อย นักร้องสาวจึงบอกกับเราว่า 

"ด้วยความที่หนูยังเด็ก พอไปอ่านคอมเมนต์ลบๆ ก็ทำให้หนูเสียความมั่นใจในตัวเองไป พอเอาไปงอแงกับแม่และพี่เจนนี่ ว่าหนูอยากสวย หนูอยากน่ารัก หนูอยากให้คนรักคนชอบเยอะๆ

แม่ก็จะบอกว่าแล้วตอนนี้หนูไม่น่ารักตรงไหน ลูกแม่น่ารักที่สุดแล้ว มันก็ทำให้หนูรู้สึกดีขึ้น คอมเมนต์ลบๆ เขาก็จะบอกหนูว่าไม่ต้องไปสนใจ

ส่วนใหญ่คนในครอบครัวก็จะทำให้หนูมั่นใจขึ้น ไม่คิดมาก เพราะคนที่ติดตามหนูก็เพราะชอบในความที่หนูเป็นหนูนี่แหละ แต่บางทีที่อยู่คนเดียวก็จะคิดเยอะค่ะ (ยิ้ม)" 

เราเลยถามลิลลี่ตรงๆ ว่า เคยขอเจนนี่ไปทำศัลยกรรมเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองบ้างหรือไม่ และขอทำอะไรบ้าง ซึ่งลิลลี่ตอบคำถามนี้ด้วยรอยยิ้มและบอกว่าเรา 

"หนูขอไปทำค่ะ (ยิ้ม) พี่เจนนี่ก็บอกให้ทำเลย แต่อย่าทำเยอะ จริงๆ พี่เจนนี่ก็ไม่อยากให้ทำหรอก เพราะว่าเราเป็นเราคนก็จำจดเราในแบบนี้ได้แล้ว แต่หนูก็อยากสวย อยากโต

และสิ่งแรกที่จะทำคือทำจมูกและทำหน้าอกเหมือนพี่เจนนี่ค่ะ เพราะหนูมีพี่เจนนี่เป็นไอดอลของหนูเกือบทุกเรื่องเลย และหลังอายุ 18 ค่อยมาดูกันอีกทีว่าใบหน้าเจริญเติบโตเต็มที่หรือยัง แม่และพี่ไม่ห้ามเรื่องนี้เลย"

มนต์รักวัวชน ผลงานหนังเรื่องล่าสุด 

สำหรับหนังเรื่องล่าสุด มนต์รักวัวชน ที่ ลิลลี่ ได้หมดถ้าสดชื่น เป็นหนึ่งในนักแสดงนำ ซึ่งเป็นการทำงานแบบฉายเดี่ยวที่ไม่มี เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น พี่สาวประกบ งานนี้ลิลลี่บอกความรู้สึกที่ต้องทำงานแบบบินเดี่ยวให้เราฟังว่า 

"หนูยังตื่นเต้นเหมือนเดิมเพราะเป็นการแสดง ซึ่งหนูจะถนัดด้านการร้องเพลงมากกว่า แต่ก็ดีใจที่เราได้มีผลงานทางการแสดง ซึ่งตอนแรกยอมรับว่ากลัวจะทำไม่ได้ แต่พอได้เล่นก็ทำได้นะ

สำหรับคาแรกเตอร์ของเรื่องนี้หนูก็ยังคงความแก่นๆ กวนๆ และยังฮาเหมือนเดิมค่ะ อีกอย่างที่แตกต่างจากเรื่องแรกที่เล่นคือ เรื่องนี้หนูโดนผู้ชายจีบค่ะ (ยิ้ม) เขินๆ ค่ะ ยังเขินพี่ตรีเหมือนเดิม 

ที่รับเล่นหนังเรื่องนี้เพราะเป็นหนังของป๋าค่ะ (เอกชัย ศรีวิชัย) และป๋าแกทำหนังสนุก พี่เจนนี่ก็บอกว่าจะพลาดได้ไง หนูก็เลยโอเคค่ะ เพราะตอนแรกหนูแอบลังเลเพราะว่าพี่ไม่ได้เล่นด้วย (ยิ้ม) 

หนังเรื่องนี้เป็นประเพณีของทางใต้ เราก็ได้พูดภาษาใต้ มันก็เลยไม่ยากสำหรับหนูเท่าไร จะยากก็แค่เรื่องอารมณ์ อารมณ์เศร้าจะเล่นยาก

เพราะหนูเป็นคนติ๊งต๊องตลอดเวลา ก่อนเข้าฉากก็จะหัวเราะ พอต้องเข้าฉากดราม่าก็จะต้องหุบยิ้ม ทำหน้าเศร้า มันก็เลยยากหน่อยค่ะ 

เวลาต้องเล่นบทเศร้า หนูก็จะทำอารมณ์ คิดว่าไม่มีคนรักเราแล้ว (ยิ้ม) เพราะสิ่งที่หนูกลัวที่สุดคือ กลัวว่าพอเราทำเต็มที่ทำดีทุกอย่างแล้ว แต่เขาไม่ให้ใจ เขาไม่รักค่ะ หนูกลัวตรงนี้ค่ะ

ส่วนฉากกุ๊กกิ๊กในเรื่องก็มีเยอะพอสมควร เพราะว่าเรื่องนี้หนูโดนเต๊าะ โดนตามจีบ ในเรื่องเหมือนเราสวยมาก เราก็เลยเลือก (หัวเราะ) มีฉากกุ๊กกิ๊กเยอะ ซึ่งหนูก็เขินตลอด รู้สึกสวยผู้ชายตามจีบ

ทำงานกับป๋าก็ไม่เครียดค่ะ เพราะกับคนอื่นจะโดนดุหนักกว่าหนู เพราะป๋าคงรู้ว่าหนูเป็นคนขี้น้อยใจรึเปล่า พี่ๆ คนอื่นเขาสนิทกับป๋ามากกว่าก็เลยดุได้เต็มที่กว่า หนูก็โดนดุนะคะถ้าหนูสมาธิหลุดในการเล่น

สำหรับหนังเรื่องนี้ หนูก็คาดหวังนะคะ แต่ไม่ได้คาดหวังมากเท่ากับหนังเรื่องแรก หวังให้แฟนๆ มาติดตามชมฝีมือทางการแสดงของลิลลี่มากกว่า ไม่ได้หวังในเรื่องของรายได้หรืออะไร 

หนังจะได้เข้าโรงฉายแล้ว หนูตื่นเต้นมากค่ะ เพราะเราถ่ายกันมาปีกว่าแล้ว ตอนนั้นหนูยังไม่ถอดเหล็กดัดฟัน จนตอนนี้หนูถอดเหล็กดัดฟันแล้ว (ยิ้ม) มันตื่นเต้นแบบเราไม่ค่อยมีผลงานทางด้านนี้มากกว่า 

แล้วพอมันมีก็รอดูไม่ไหวแล้ว (หัวเราะ) หนังก็เลื่อนฉายมาเรื่อยๆ เพราะสถานการณ์ พอรู้ว่าจะใกล้จะฉายแล้วก็รู้สึกว้าวเหมือนกัน (ยิ้ม)

ทุกคนตื่นเต้นกับหนูหมดเลย ทั้งคนที่บ้าน คนในค่าย เพราะว่าอย่างที่บอก พวกเราจะถนัดด้านคอนเสิร์ตมากกว่า แล้วพอมันเป็นหนังทุกคนก็เลยตั้งหน้าตั้งตารอค่ะ (ยิ้ม) 

ฝากทุกคนให้มาดูหนังมนต์รักวัวชนกันเยอะๆ นะคะ เข้าโรงภาพยนตร์วันที่ 30 มิถุนายนนี้ มีนักแสดงในเรื่องเยอะมาก ทุกคนเล่นกันเต็มที่กับเรื่องนี้มากๆ อยากให้มาดูกันเยอะๆ นะคะ.  

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา

กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun, Varanya Phae-araya

ช่างภาพ : ชุติมน เมืองสุวรรณ