- วันแรกใน ETC เป็นมือกลองและนักร้องนำแทนเดียร์ นักรบ ที่ออกไปทำวง Acappella 7
- กว่าจะมีชื่อเสียงไม่ใช่เรื่องง่าย ออกอัลบั้มแรกไม่มีงาน ไปเล่นแบ็กอัปให้ศิลปินอื่น
- อีกหนึ่งบทบาทในวงการเพลง ดูแลดนตรีค่าย “247 เอนเตอร์เทนเมนต์” พร้อมผลักดันศิลปินรุ่นใหม่
กว่า 18 ปีแล้วที่ หนึ่ง อภิวัฒน์ พงษ์วาท นักร้องนำวง ETC (อีทีซี) พิสูจน์ฝีมือการทำงานเพลงร่วมกับเพื่อนๆ สมาชิกในวง โซ่ แมนลักษณ์ ทุมกานนท์ (คีย์บอร์ด), บี โสตถินันท์ ไชยลังการณ์ (คีย์บอร์ด), มิ้นท์ ปรชญา รามโยธิน (เบส), โอเล่ ไพโรจน์ ธรรมรส (กีตาร์) และมีผลงานเพลงดังมากมาย อาทิ เธอคือใคร, เปลี่ยน, เจ็บและชินไปเอง, เจ้าชายนิทรา, อย่าถาม, สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าหัวใจ, ใครนิยาม ฯลฯ
แต่กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่ง่าย หนึ่ง ETC เล่าให้บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ฟังถึงวันแรกที่เข้ามาเป็นสมาชิกวง นอกจากเป็นมือกลองแล้ว ยังทำหน้าที่นักร้องนำแทน เดียร์ นักรบ แนวณรงค์ หรือ เดียร์ Acappella 7 แต่ออกอัลบั้มแรกก็ไม่มีงานจ้างเลย อาศัยช่วงว่างไปเล่นดนตรีแบ็กอัปให้ศิลปินคนอื่น ทำเพลงอัลบั้มใหม่ และย้ายค่ายอีกครั้ง จนกระทั่งออกอัลบั้มชุดที่ 2 “เปลี่ยน” (Change) ชีวิตของพวกเขาถึงได้เปลี่ยนไปตามชื่ออัลบั้ม มีเพลงดังที่ทำให้คนรู้จักมากขึ้น และมีงานจ้างในนามวง ETC เอง เวลาผ่านมาจนถึงวันนี้ที่หนึ่งได้มีโอกาสทำหน้าที่ดูแลด้านดนตรีของค่ายเพลงน้องใหม่ “247 เอนเตอร์เทนเมนต์”
...
มือกลองและนักร้องนำ
เมื่อถามถึงวันแรกที่เข้ามาในวง ETC หนึ่งบอกว่าช่วงที่วงรวมตัวในปี 2000 ตอนนั้นยังไม่ได้เข้ามาในวงด้วยซ้ำ แต่ในเรื่องการร้องเพลงก็เคยประกวดงานของมหาวิทยาลัย นอกนั้นจะเล่นดนตรีกลางคืนตามผับ และเมื่อมาอยู่วง ETC ช่วงแรกในฐานะมือกลองหลังจากวงประกวดไปแล้วมาเล่นในผับ ช่วงนั้นกำลังเปลี่ยนมือกลอง จึงได้มาเป็นมือกลองพอดี
ส่วนการเป็นนักร้องนำ หนึ่งบอกว่า “มันมีความคาบเกี่ยวกันหลายยูนิเวิร์สครับ (ยิ้ม) สมัยก่อนวง ETC นักร้องนำคือพี่เดียร์ Acappella 7 แล้ววง Acappella 7 กับ ETC เรียนมาด้วยกัน ตอนเล่นกลางคืนพี่เดียร์ก็มาร้อง จนวันหนึ่ง Acappella 7 เขาจะไปทำอัลบั้มจริงจัง ทีนี้พี่เดียร์ก็เลยต้องออกจากวง เพราะพี่เดียร์ออกไปทำวง Acappella 7 จริงจัง ETC เล่นผับกัน คนที่ร้องนำก็คือผม แล้ว ETC ก็อยากทำอัลบั้มกัน ก็เลยมีผมเป็นคนร้องนำหลัก
ตอนนั้นสมัยก่อนแบ่งกันร้องด้วยนะ มีพี่โซ่ (แมนลักษณ์ ทุมกานนท์) ร้อง พี่บี (โสตถินันท์ ไชยลังการณ์) ร้อง แต่พอทำเพลงมาเรื่อยๆ ผมก็กลายเป็นนักร้องนำและตีกลองไปด้วย ก็เลยกลายเป็นเราได้เป็นนักร้องนำครับ ช่วงที่เก็บประสบการณ์เล่นกลางคืนสนุกสุดในชีวิตเลยครับ เพราะได้แกะเพลงใหม่ๆ ค้นหาตัวเอง สไตล์วงด้วย ส่วนใหญ่ ETC ชอบเอาเพลงป๊อปเพลงดังมาเรียบเรียงใหม่กันในสไตล์ ETC ก็ได้อัปเดตเพลงใหม่ๆ ด้วย เอนเตอร์เทนแขกทุกวัน ก็ทำอยู่ประมาณ 5-6 ปีครับ”
ส่วนการทำอัลบั้มชุดแรกภายใต้สังกัดแกรมมี่ เมื่อปี 2547 หนึ่งเล่าว่า “ตอนนั้นโปรดิวเซอร์ที่แกรมมี่คือพี่อ้อม ชุมพล สุปัญโญ โปรดิวเซอร์ชื่อดังของแกรมมี่ พี่อ้อมก็สายนักดนตรีครับ มาเห็น ETC เล่นที่เชียงใหม่แล้วอยากได้วงนี้ วงแบบฟิวชันแจ๊ส พี่อ้อมเลยชวนมาออกอัลบั้ม เลยมาอยู่กับแกรมมี่ในอัลบั้มแรก ก็เป็นเด็กชาวเหนือเข้ากรุงเลยครับ (หัวเราะ) ถามว่ากดดันมั้ย เอาจริงๆ เหมือนเป็นช่วงวัยรุ่นเลยครับ ค้นหาตัวเอง ทำอัลบั้มและเล่นดนตรีกลางคืนไปด้วย มาจากต่างจังหวัดด้วย แค่ทำเสร็จก็ดีใจมากแล้วครับ กว่าจะเสร็จแต่ละเพลง คือด้วยความเป็นเด็กใหม่ ยังไม่รู้เรื่องอะไร พอได้ออกอัลบั้มก็เป็นความสุขสุดในชีวิตแล้ว”
กว่าจะมีงานจ้าง
หนึ่งเล่าต่อว่า หลังออกอัลบั้มก็ต้องดูว่างานจ้างมามั้ย เพลงดังหรือไม่ดัง เป็นสเตปต่อมาที่ต้องลุ้นกัน จากอัลบั้มแรกก็มีเพลงดัง 1 เพลงคือ “เจ้าชายนิทรา” แต่ก็ไม่มีงานเลย แต่ด้วยความที่วงดนตรีเล่นได้หลายแนว เลยไปเล่นแบ็กอัปให้พี่โก้ มิสเตอร์แซ็คแมน และเจนนิเฟอร์ คิ้ม พี่ป้อม ออโต้บาห์น
“ช่วงปีที่ว่างก็สะสมทำเพลงอัลบั้มใหม่ เล่นแบ็กอัปให้ศิลปินคนอื่น เล่นไปเรื่อยๆ ตอนนั้นก็ย้ายไปอยู่เคพีเอ็น จนออกอัลบั้มที่ 2 มีเพลง “เปลี่ยน” เป็นเพลงแรก และก็เพลง “เธอคือใคร” ทำให้ ETC เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น เริ่มมีงานของวง ETC เอง ถามว่ากดดันมั้ย จริงๆ ก็กดดันนะ แต่สมัยนั้นเป็นสมัยที่อยู่บ้านเดียวกัน ขลุกอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน ด้วยความเป็นวัยรุ่น ไม่ได้มีภาระอะไรเลย มิชชันเดียวที่ทำคือจะทำเพลง
...
ดังนั้นทุกวันลมหายใจก็เป็นเพลงเป็นอัลบั้ม ทำด้วยความสนุก ทดลองทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำได้ เพลงก็มีเยอะมากแล้วก็สะสมไปเรื่อยๆ จนครบอัลบั้ม ก็เหมือนเป็นเพลงที่ปล่อยของสุดๆ นะครับ กว่าจะเสร็จอัลบั้มได้ก็แทบแย่ครับ ตอนนั้นก็เริ่มมีงานเยอะเลย เล่นกันทุกวันทุกเดือน จากที่เป็นแบ็กอัปก็มาทำงานเบื้องหน้าเต็มตัว ก็ทำมาเรื่อยๆ พอออกอัลบั้ม 3 ก็ไปใหญ่เลยครับ งานเยอะขึ้นกว่าเดิม มีเพลง “สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าหัวใจ” เพลง “อย่าถาม” และก็อีกหลายเพลงมากๆ
ส่วนอัลบั้มที่ 4 ออกมาทำเองกับพี่สอง ทำค่ายเพลงเล็กๆ Wave Entertainment เป็นมินิอัลบั้ม เสร็จแล้วก็ย้ายตามพี่สองมาอีก พี่สองย้ายมาที่ไอแอมของทรูมิวสิคครับ ก็เป็นอัลบั้มที่ 5 เป็นมินิอัลบั้ม อยู่ทรูมิวสิค 3 ปี แล้วก็ย้ายมาอยู่ Muzik Move นี่แหละครับ ย้ายค่ายเยอะมากครับ”
การทำงานค่ายปัจจุบัน
ถามว่าใครเป็นคนชักชวนมาอยู่ที่ Muzik Move หนึ่งตอบว่า “จริงๆ ความสัมพันธ์ของ ETC กับสิงห์มันมีตั้งแต่อัลบั้มที่ 2 ครับ เพราะว่ารู้จักพี่จุ๊บ (วุฒินันท์ ภิรมย์ภักดี) เป็นการส่วนตัวมาก่อน หลังจากช่วงที่อยู่ไอแอม สิงห์จะเป็นสปอนเซอร์คอนเสิร์ตของ ETC มาตลอด ก็เลยรู้จักกัน มีความสัมพันธ์แนบแน่นอยู่แล้วครับ พอหมดสัญญากับไอแอม ก็เลยคุยกันว่าจะอยู่ที่ไหน ก็มีโอกาสได้คุยกับพี่จุ๊บพอดี เลยชวนกันมาอยู่ที่นี่ครับ”
ส่วนการร่วมงานที่นี่ หนึ่งยิ้มก่อนตอบว่า “ก็ดีงามครับ (หัวเราะ) ก็ปีที่ 3 แล้วครับ พอเริ่มเซ็นสัญญาปีแรก ขึ้นปีที่ 2 ก็เจอโควิดพอดีเลยครับ (หัวเราะ) สัญญา 3 ปี ก็จะเป็นช่วง 2 ปีที่มีโควิด ตอนนี้ต่อสัญญาใหม่อีก 3 ปีแล้วครับ ความประทับใจที่นี่ ก็เป็นทีมงานนี่แหละ เพื่อนศิลปิน อย่างที่บอกเลยครับว่ามีความสัมพันธ์กับหัวหน้าอยู่แล้ว พี่จุ๊บเป็นหัวหน้าที่มีแพสชันด้านดนตรีด้วย ทีมงานครีเอทีฟที่เวลาทำงานกันแล้วรู้สึกว่าเติมเต็มไอเดียของพวกเราดีครับ
...
การทำงานของ ETC ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้น จากที่ช่วงนึงทำเองแล้วเป๋ไปมาบ้าง พอได้ทำงานกับคนเก่งๆ ก็รู้สึกว่าไดเรกชันมันชัดเจนขึ้นครับ เขาดูแลเราเรื่องโปรดักชันอย่างดี แต่ว่าในเรื่องหลังบ้านด้วย ไม่ว่าจะเป็นงานจ้าง เพราะที่บริษัทจะมีคอนเน็กชันต่างๆ ให้เราได้ไปเล่นคอนเสิร์ตกันครับ”
ถามว่าช่วงโควิดที่ผ่านมาเป็นอย่างไร หนึ่งบอกว่า “ก็ยากลำบากครับ สมาชิกอย่างพี่โอเล่ก็กลับไปเชียงรายเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเลยครับ (หัวเราะ) พี่มิ้นท์มือเบสก็กลับเชียงใหม่ไปทำร้านอาหาร เหมือนได้ทำงานเสริม งานสำรองไปด้วย เหมือนช่วงโควิดได้ค้นพบตัวตน ได้อาชีพเสริมครับ ที่เหลือคือผม พี่โซ่ พี่บี จะเป็นคนทำดนตรีได้ ก็จะมีงานโปรดิวเซอร์ครับ ทำเบื้องหลังศิลปิน รับงานแบบนี้มาเรื่อยๆ จริงๆ 90% ที่อยู่มาในช่วงโควิดเป็นงานเบื้องหลังซะมากกว่างานของ ETC เองด้วยซ้ำ รายได้ก็ลดลงไปเยอะเลยครับ ไม่มีเบื้องหลังก็เหนื่อยเลยครับ”
หนึ่งบอกว่าจากสถานการณ์โควิดที่เริ่มดีขึ้น ตอนนี้เริ่มกลับมาเล่นคอนเสิร์ตแล้ว เรียกว่าเปิดหูเปิดตามากขึ้น สมาชิกในวงก็กลับมารวมตัวกันเรียบร้อย ถามว่าเรียนรู้อะไรบ้างจากโควิด เจ้าตัวบอกว่า “โควิดเป็นอะไรที่แย่มากครับ (หัวเราะ) ไม่น่าเกิดขึ้นอีกเลย จริงๆ เวลาไม่ได้ไปเล่นคอนเสิร์ตก็เริ่มเจอตัวเองในมุมอื่นๆ มากขึ้น ไปทำโปรดิวเซอร์ ทำเบื้องหลัง จนเกิดการทำค่ายเพลง เลยเป็นสิ่งใหม่ที่เข้ามาในชีวิตนอกจากเล่นคอนเสิร์ตอย่างเดียวแบบเมื่อก่อน เติบโตขึ้นอีกมิติ กว้างขึ้น เรนจ์ในการทำงานก็มีขอบเขตกว้างขึ้นครับ”
...
เปิดค่ายเพลง
เราถามต่อถึงการดูแลด้านดนตรีของค่ายเพลง 247 เอนเตอร์เทนเมนต์ ว่ามีที่มาที่ไปยังไง ซึ่งเขาบอกว่า “247 จริงๆ เป็นชื่อของวงของน้องที่กำลังจะเดบิวต์ครับ คือจะมีวงบอยแบนด์จะเดบิวต์ในค่ายชื่อวง 247 แต่จริงๆ ความหมายก็คือ 24 ชั่วโมง 7 วัน ถามว่าทำไมถึงมาทำตรงนี้ คือเริ่มจากเขามีทีมแล้วอยากจะทำค่ายเพลง เป็นคนที่รู้จักกันหลายคน ซึ่งถนัดในวงการบันเทิงครับ ก็จะทำธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวกับสายงานบันเทิงต่างๆ จะเป็นพวกคอนเทนต์ออนไลน์ ดูแลอินฟลูเอนเซอร์ ยูทูบเบอร์
ทีนี้ก็อยากจะเปิดเป็นค่ายเพลง ตัวผมเองก็ได้เข้ามาดูแลในเรื่องพาร์ตดนตรี ส่วนการดูศิลปินก็จะเป็นทีมช่วยกันคัดสรรว่าใครจะเข้ามาอยู่ในค่าย ถามว่าตัดสินใจนานมั้ย จริงๆ ผมเริ่มทำจากน้องๆ บอยแบนด์ 247 นี่แหละครับ ก็เริ่มทำกันมา วางโครงว่าจะทำมินิอัลบั้ม ทีนี้ทางทีมก็คุยกันว่าพอเริ่มทำแล้ว ด้วยความสนิทกับทีมก็ชวนผมมาดูภาพดนตรีทั้งหมด”
ส่วนเกณฑ์การเลือกศิลปิน หนึ่งบอกว่า “จริงๆ ก็ยังฟรีสไตล์ ตอนนี้เรามีศิลปินเบอร์แรกซึ่งปล่อยมาแล้วคือน้องกรีน กฤษฎา ซึ่งเป็นศิลปินเบอร์แรกของเรา น้องก็เป็นคนที่มีความสามารถ ร้องเพลงเพราะ สามารถแต่งเพลงเองได้ด้วย เป็นเด็กที่เราเห็นความสามารถแล้วรู้สึกว่าน่าสนับสนุนครับ และก็มาอีกทีมคือน้องๆ บอยแบนด์ที่น่าจะเป็นความหวังของหมู่บ้าน (หัวเราะ) เราตั้งใจฟอร์มวงขึ้นมา มีพื้นฐานแบ็กกราวนด์ที่แตกต่างกัน แล้วเรามารวมน้องๆ เข้าด้วยกัน สร้างเรื่องราวให้คนได้อินกับน้องๆ ตั้งแต่เป็นไข่จนเป็นรูปร่าง
ซึ่งน้องๆ ทั้งหมด เราเลือกคนที่รู้สึกว่าเห็นแวว ไม่ได้คัดเลือกคนที่เก่งกาจยอดฝีมือมาเจอกัน เราเลือกเด็กที่รู้สึกว่าคาแรกเตอร์น่าสนใจและรู้สึกว่าน่าจะพัฒนาไปในทางที่ดีได้ เลยรู้สึกว่าการทำบอยแบนด์ในเวย์นี้ก็มีเสน่ห์เหมือนกัน เพราะคนก็จะได้เชียร์เขาไปด้วย มีความเข้าถึงได้ง่าย รู้สึกมีความเป็นเพื่อนกัน มีความใกล้ตัว เป็นบอยแบนด์ที่สัมผัสได้ครับ”
หนึ่งบอกว่าด้วยประสบการณ์ตัวเอง ทำงานเบื้องหลังมาเยอะ ทั้งด้านคอนเสิร์ต การเป็นโปรดิวเซอร์ให้ศิลปินค่ายอื่นๆ ได้เจอคนเบื้องหลังในวงการดนตรี พอมาทำตรงนี้อาจจะไม่ได้ทำเองทั้งหมด แต่เวลาจะทำแต่ละโปรเจกต์ก็จะคิดว่านึกถึงใครดีที่เป็นยอดฝีมือแล้วเอาเขามาช่วย คอนเน็กชันเป็นสิ่งสำคัญที่ตัวเองรู้สึกว่านอกจากประสบการณ์ด้านดนตรีแล้ว การรู้จักศิลปินเยอะๆ โปรดิวเซอร์คนอื่นๆ ก็สำคัญ เพื่อที่จะมาช่วยกันได้
ถามว่าอะไรเป็นจุดเด่นของค่าย หนึ่งบอกว่า “ที่ค่ายผลิตคอนเทนต์ออนไลน์ นอกจากทำศิลปินแล้วก็ทำงานเอนเตอร์เทนเมนต์ด้านอื่นๆ ด้วย คือดูแลอินฟลูเอนเซอร์ ยูทูบเบอร์ และสิ่งที่ทีมได้เริ่มชิมลางคือเป็นตัวแทนจำหน่ายโฟโต้บุ๊กของวง BTS ครับ เป็นตัวแทนจำหน่ายเจ้าเดียวของประเทศไทย และอาจจะจัดคอนเสิร์ตแฟนมีตจากต่างประเทศครับ ถ้าถามเอกลักษณ์ของค่าย ผมคิดว่าน่าจะมีคอนเทนต์เกี่ยวกับออนไลน์ เพราะทีมของเราครบครันในด้านนี้ครับ ส่วนน้องๆ 247 ก็น่าจะได้เห็นว่ามีคอนเทนต์อะไรบ้าง”
ในยุคที่เมืองไทยมีค่ายเพลงเยอะมาก แม้จะเป็นแบบนั้น แต่หนึ่งก็มั่นใจในทีม เพราะว่าในแง่รายละเอียดการทำค่ายเพลงต้องเก่งรอบด้าน “ในทีมเองก็รู้สึกว่าเราก็วางแผนกันมาดี เตรียมกันมานาน หลังจากได้มาคุยหลายๆ ครั้งเลยรู้สึกว่าการวางรากฐานที่ดีในบริษัทมันน่าจะไปได้ดีครับ แต่จะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็รอดูกันครับ ถามว่ากดดันมากน้อยแค่ไหน ตอนนี้ยังไม่กดดันนะครับ (หัวเราะ) รู้สึกว่าระหว่างทางน่าจะเป็นอะไรที่สนุก น่าจะท้าทายครับ ด้วยความมั่นใจในทีมแบ็กอัปก็น่าจะเริ่มทำด้วยความสนุกครับ”
ไม่ทิ้งงานเพลง
ถามว่าจะยังมีงานเบื้องหน้าอย่างงานเพลงวง ETC ให้ได้ฟังหรือไม่ หนึ่งบอกทันทีว่า “เบื้องหน้าก็ยังมีอยู่เรื่อยๆ ครับ ETC ยังทำเพลงใหม่อยู่ ปีนี้ก็มีโปรเจกต์อีก 2-3 งาน มีไลฟ์เซสชัน มีทำซิงเกิล และน่าจะมีอัลบั้มปลายปีของ ETC เป็นงานเบื้องหน้าด้วยครับ คิดว่าตอนนี้ยังแบ่งเวลาได้อยู่ (หัวเราะ) ถามว่าจะเป็นประมาณไหน ก็น่าจะเป็นสไตล์ ETC แหละครับ ยังไม่ได้มีเซอร์ไพรส์อะไร ตอนนี้กำลังปั้นเพลงกันอยู่
แต่ที่แน่ๆ ที่จะมีในปีนี้ก็คือจะเป็นไลฟ์เซสชัน ETC ก็หยิบเพลงเก่าๆ ที่อาจเป็นเพลงประมาณ 10 ปีที่แล้ว เอามาเป็นเวอร์ชันแสดงสด เล่นกันในสตูดิโอ เพราะถ้าย้อนกลับไป 10 กว่าปี เอ็มวีพวกนั้นก็เก่ามากแล้ว เลยรู้สึกว่าหลายเพลงที่เป็นเพลงคลาสสิกของ ETC จะเอามาทำไลฟ์เซสชันเป็นเพลงคลาสสิกของ ETC ในเวอร์ชัน 2022 ครับ ให้แฟนเก่าได้ทบทวน ให้แฟนใหม่ได้เห็นด้วย ก็จะได้เห็นกันครับ ส่วนอัลบั้ม จริงๆ จากซิงเกิล ETC 6-7 ซิงเกิล เหลืออีก 2-3 เพลงก็จะครบอัลบั้ม ก็น่าจะรวมอัลบั้มได้ ตอนนี้อัลบั้มก็ประมาณ 80% แล้วครับ
ส่วนคอนเสิร์ตตอนนี้ก็เริ่มกลับมาครับ ตั้งแต่มีโควิดก็เป็นคอนเสิร์ตงานภายในเยอะ แต่เป็นงานที่มีการตรวจ ATK หน้างานทุกคน งานตามร้านอาหารเริ่มมีมาบ้างครับ ในส่วนคอนเสิร์ตใหญ่คุยกับ Muzik Move ไว้น่าจะปีหน้า หลังจากที่ครบอัลบั้มแล้ว มีไลฟ์เซสชันแล้ว ปีหน้าจะทำคอนเสิร์ตกัน คอนเสิร์ตใหญ่ที่เคยเล่นไปคือครบรอบ 10 ปีของวงครับ ปีหน้าก็ 19 ปีแล้ว เลขสวย (ยิ้ม)”
ถามว่ารู้สึกยังไงกับประสบการณ์ 18 ปีที่ผ่านมา หนึ่งบอกว่า ต้องค้นหาตัวเองอยู่เรื่อยๆ เหมือนตัวตนของเราจะปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามยุคสมัย เราไม่ได้ทำเพลงเหมือนเดิมเป๊ะในยุค 10-20 ปีก่อน เราก็โตขึ้นตามสิ่งที่เจอในชีวิต เราเจอดนตรีอะไรมาที่มันอินในช่วงนี้ของวง มันก็จะถูกประยุกต์เข้ามาในซาวนด์ของวง ก็พัฒนาควบคู่ไปกับของเก่าด้วย มันก็จะเกิดกลิ่นอายใหม่ๆ ผสมเข้ามาด้วยเรื่อยๆ
เรียกว่าเป็น 18 ปีที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งตอบ “ใช่ครับ เราตั้งใจจะทำอย่างนั้น อยากจะอยู่ไปนานๆ ให้คนรู้สึกว่าวงยังแอ็กทีฟอยู่ หาอะไรใหม่ๆ ให้คนได้ฟังด้วย ซึ่งมันเป็นโจทย์ของทุกวงที่จะอยู่ไปนานๆ จะทำเพลงให้คนรู้สึกว่าเหมือนเดิมก็กดดัน จะทำใหม่เกินคนก็จะโอ้...ไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่ ETC เลย เราต้องเบลนด์ 2 อย่างเข้าด้วยกันตลอดเวลา เหมือนเป็นโจทย์ท้าทายทุกๆ ปีเลย เป็นความยากและท้าทายด้วยครับ”
18 ปี ETC
เมื่อให้รีวิวตลอด 18 ปีการเดินทางของวง ETC ในวงการเพลง หนึ่งบอกว่า “ก็เป็น Roller Coaster ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกันนะ (หัวเราะ) เราไม่ได้เป็นวงที่ดังตลอด มันก็มีดังบ้างแป้กบ้างตามประสาครับ แต่มันก็เหมือนเป็น circle ของศิลปินที่อยู่กันมา 10 กว่าปี มีช่วงขึ้นและลง แต่เรารู้สึกว่าเออ นี่คือปกติ งานแต่ละช่วงก็สะท้อนชีวิตของเราในช่วงนั้นด้วยเหมือนกัน
บางช่วงที่ความสัมพันธ์ในวงอาจจะระหองระแหง งานก็จะออกมาอีกอย่าง ช่วงไหนที่วงรักกันดี งานก็จะออกมาทีมเวิร์กดี๊ดีฮะ จริงๆ ถ้าฟังงาน ETC มาเรื่อยๆ ตั้งแต่อัลบั้มแรกถึงปัจจุบัน ผมคิดว่าในรายละเอียดของงานก็สามารถสะท้อนให้คนฟังรู้สึกได้ มีแฟนคลับเคยบอกเหมือนกันว่าเออ เพลงนี้พี่ดูสามัคคีกันดีนะ (ยิ้ม) ตัวตนแต่ละช่วงก็จะสะท้อนกับชีวิตที่เราเจอในช่วงนั้น ETC พยายามทำผลงานออกมาเรื่อยๆ อยากจะทำให้เราไม่หายไปจากแฟนเพลงครับ”
ถามว่าช่วงระหองระแหงทะเลาะกันเรื่องเพลงหรือเรื่องอะไร นักร้องและมือกลองหนุ่มตอบว่า “โห เราอยู่กันมา 20 กว่าปี ก่อนออกอัลบั้มอีก รู้จักกันมานาน 5 คน 5 ความคิด ช่วงที่เราเป็นวัยรุ่นก็อาจจะมีช่วงอีโก้กันบ้าง แต่เราก็ผ่านกันมาได้ครับ บางช่วงก็หนัก แต่พอผ่านไปก็เอ๊ะ เมื่อก่อนทะเลาะอะไรกัน (ยิ้ม) บางทีก็เรื่องไม่เป็นเรื่องครับ ถามว่าทะเลาะช่วงแรกๆ หรือเปล่า มีทุกช่วงเลยครับ แต่ช่วงหลังๆ มานี้ต่างคนต่างมีภาระของตัวเอง การกลับมาเจอกันคือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว (หัวเราะ)
พอต่างคนต่างทำอะไรของตัวเอง บางคนมีครอบครัว มีลูก ภาระแต่ละคนก็แตกต่างกันมาก การได้กลับมาเล่นดนตรีด้วยกันคือที่สุดของการเติมเต็มแล้วครับ ดังนั้นเวลาอยู่บนเวทีไม่ว่าจะเล่นหลุดหรืออะไร จากที่เคยเป็นเรื่องหงุดหงิดทุกวันนี้ก็ไม่มีแล้ว ทำอะไรก็ทำไปเลย (ยิ้ม) ทุกอย่างเป็นความเข้าใจ เป็นเรื่องความลดอีโก้ ผมคิดว่าหลายๆ วงจะแตกกันเพราะอีโก้สูง ไม่ยอมกัน แต่ละคนคิดว่าตัวเองเก่ง พอมาเจอกันก็ยากนิดนึง แต่ถ้ามายเซตมองอีกแบบนึง มันก็จะอยู่กันได้”
ส่วนนิยามของพวกเขา ETC หนึ่งยิ้มก่อนนิ่งคิดและบอกว่า “จริงๆ ก็เป็นวงบ้านๆ นี่แหละครับ แต่เพลงอาจจะหรูเกินตัวไปนิดนึง (หัวเราะ) เพลงแพง แต่ชีวิตเราบ้านๆ เลยครับ เรียบง่าย แต่เพลงกับคอร์ดนี่ซับซ้อนมาก (ยิ้ม) ถามว่ารู้สึกยังไงที่แฟนๆ มองว่าเป็นวงที่มีเพลงเพราะเยอะมาก รู้สึกดีครับ คาแรกเตอร์ที่คนมองคือวงที่มีเพลงอบอุ่นใช่มั้ย ในวงก็อบอุ่นกันจริงๆ ใครที่มาอยู่ใน circle จะรู้สึกว่ามีความเป็นครอบครัว เวลาที่เจอกันพี่เล่ก็ทำอาหาร ดูแลกันด้วยใจ อาจจะสะท้อนไปในเพลงด้วย เพลงก็จะมองโลกในแง่ดี ซาวนด์อบอุ่น ทำให้รู้สึกว่าฟังแล้วสบายใจ ไม่ค่อยมีความก้าวร้าวเท่าไร”
ก่อนที่จะจบการสนทนา หนึ่งฝากถึงแฟนๆ ที่ติดตามผลงานว่า “ขอบคุณที่สนับสนุนมาตลอดตั้งแต่อัลบั้มแรกจนถึงปัจจุบัน และก็โปรเจกต์ต่อไปที่จะทำในอนาคตด้วย หวังว่าจะได้เจอกันเรื่อยๆ หลายคนเจอกันมาตั้งแต่เด็กเลยครับ จนตอนนี้แต่งงานมีลูกแล้ว อยากจะบอกว่าโตไปด้วยกันนะครับ จะมีปีต่อไปเรื่อยๆ จนเป็นวงนั่งเล่นน่ะครับ (หัวเราะ) และฝากแฟนๆ ติดตามผลงานของค่าย ดูได้ทางยูทูบ 247 ENTERTAINMENT มีคลิปศิลปินใหม่ๆ ของค่ายอยากให้ติดตามกันด้วยนะครับ”.
ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : Muzik Move, 247 เอนเตอร์เทนเมนต์
กราฟิก : Varanya Phae-araya