- กว่าจะเป็นนักร้อง ที่บ้านไม่สนับสนุน ใช้เวลานานหลายปีเพื่อพิสูจน์ตัวเอง
- ชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังเป็นนักร้องดัง เผยเหตุผลที่ออกจากแกรมมี่หลังอยู่มานาน 17 ปี
- แพลนชีวิตคู่กับ เดนนิส ไทยคูน เตรียมเปิดค่ายเพลงด้วยกันสานฝันศิลปินใหม่
เป็นศิลปินหญิงคุณภาพที่อยู่ในวงการเพลงมานานกว่า 17 ปีแล้ว สำหรับ ดา ธนิดา ธรรมวิมล หรือ ดา เอ็นโดรฟิน นักร้องสาวเสียงทรงพลัง เจ้าของเพลงฮิต อาทิ เพื่อนสนิท, น้ำเต็มแก้ว, สิ่งสำคัญ, เมื่อเขามา...ฉันจะไป, คืนข้ามปี, ภาพลวงตา, ได้ยินไหม, ครั้งหนึ่ง...เราเคยรักกัน, สองใจ ฯลฯ แต่กว่าจะเป็นศิลปินดังในทุกวันนี้ ชีวิตของดาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้องผ่านความลำบาก อุปสรรคต่างๆ เพื่อพิสูจน์ความรักในเสียงดนตรีอยู่นานหลายปี
ล่าสุดบันเทิงไทยรัฐออนไลน์ได้มีโอกาสพูดคุยกับนักร้องสาวถึงชีวิตวันวาน กว่าจะเป็นศิลปินไม่ใช่เรื่องง่าย รวมไปถึงชีวิตการเป็นศิลปินในสังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ มายาวนานกว่า 17 ปี ก่อนจะตัดสินใจโบกมือลา และหันมาทำค่ายเพลงของตัวเองในนาม Bars Entertainment พร้อมทั้งอัปเดตผลงานเพลงล่าสุด “เวลาสุดท้าย” เพลงประกอบภาพยนตร์ “ไสหัวไปนายส่วนเกิน” ค่าย เบนเล่ย์ ฟิล์ม รวมทั้งถามถึงแพลนชีวิตคู่กับแฟนหนุ่ม เดนนิส ไทยคูน แร็ปเปอร์มากฝีมือ ซึ่งทั้งคู่ตั้งใจจะใช้ชีวิตหลังแต่งงานทั้งในเมืองไทยและสหรัฐอเมริกา
...
กว่าจะเป็นนักร้องแกรมมี่
เมื่อถามถึงวันวานก่อนเป็นนักร้อง ชื่นชอบการร้องเพลงตั้งแต่ตอนไหน หรือเคยทำอะไรมาบ้างก่อนเป็นนักร้อง ดาเล่าให้ฟังว่า “เมื่อ 18 ปีที่แล้ว จำได้ว่าเป็นเด็ก ม.5 ที่ขึ้นรถเมล์ไปประกวดดนตรี จ๊อบแรกที่รับคือร้องเพลงคืนละ 250 บาทค่ะ ตอนนั้นเริ่มออดิชั่นตามผับแล้วค่ะ มันเป็นแพชชั่นอยู่แล้วเนอะ อยากร้องเพลงอยู่แล้ว หาที่เล่น หาประสบการณ์ เงินก้อนนี้ก็มาช่วยในการซ้อมดนตรี แล้วค่าห้องซ้อมไม่ได้ถูกนะคะ ชั่วโมงละเป็นร้อยๆ แล้วเด็ก ม.4-ม.5 ค่าขนมวันละ 50-60 บาทเอง ต้องนั่งรถเมล์ไปเล่นดนตรีกลางคืน”
แต่ความชื่นชอบในการเล่นดนตรีไม่ได้รับการสนับสนุนจากที่บ้านสักเท่าไรนัก นักร้องสาวเผยว่าเคยมีเหตุการณ์ที่บ้านไปตามถึงที่ผับ คุณพ่อเป็นตำรวจ คุณแม่เป็นครู ใช้เวลาทะเลาะกันเพื่อการพิสูจน์ประมาณ 3 ปี ซึ่งดาเริ่มสนใจดนตรีสากลตั้งแต่ตอนเรียนชั้น ม.3 พอถึงช่วงชั้น ม.5-ม.6 ก็ได้เข้าไปเซ็นสัญญากับแกรมมี่แล้ว เพราะฉะนั้นช่วงเวลาที่อึดอัดมากที่สุดกับครอบครัวคือช่วงเวลาพิสูจน์ตัวเอง พ่อแม่ก็คงเป็นห่วง
ถามว่าทำยังไงให้ครอบครัวเข้าใจและยอมรับ นักร้องสาวหัวเราะก่อนตอบว่า “สำหรับดาก็มีพูดความจริงและไม่พูดความจริงค่ะ ก็บอกที่บ้านไปว่าประกวดดนตรีอยู่แล้วได้ตังค์ แต่จริงๆ ไม่ได้อะไรเลย หรือบางทีพูดความจริงครึ่งเดียวค่ะ ก็ทะเลาะกันอยู่ 2 ปีครึ่ง พอปีที่ 3 ก็ถามพ่อว่าพรุ่งนี้ว่างไหม ไปตึกแกรมมี่เป็นเพื่อนหน่อย เพราะต้องใช้ลายเซ็นผู้ปกครอง จบ (ยิ้ม) จริงๆ เขาก็ไม่เชื่อหรอก เพราะการเป็นศิลปินมันไม่ง่ายขนาดนั้น คือเป็นการหาศิลปินโดยที่ยังไม่มีมีเดียอะไรเลย ต้องไปประกวดตามมิวสิกอวอร์ด ก็ใช้ช่วงเวลานั้นไปประกวดดนตรี จนปีที่ 3 คุณพ่อก็เข้าไปในตึกแกรมมี่แบบหน้างงๆ เซ็นสัญญาปุ๊บ เขาก็คุยเรื่องค่าตัวเลยค่ะ (หัวเราะ)”
แต่กว่าจะได้เป็นศิลปินแกรมมี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ดาเล่าว่าเธอเป็นเด็ก ม.ปลาย ธรรมดาๆ ที่มีพ่อแม่เป็นข้าราชการ ไม่ได้มีต้นทุนเรื่องเงิน ผู้ปกครองก็อยากให้ลูกเรียนจบดีๆ ได้งานดี เข้าบริษัทใหญ่ๆ แต่วิถีของศิลปินมันจะต้องมีช่วงเวลาที่ที่บ้านไม่เข้าใจ ต้องใช้เวลา ไม่สามารถบอกได้ว่าจะสำเร็จเมื่อไหร่ “ตอนนั้นก็ขายเสื้อผ้าที่ข้าวสาร ทำทุกอย่างที่เป็นพ็อกเก็ตมันนี่สำหรับเด็ก ม.5 เวทีประกวดที่ร้องแล้วเริ่มมีชื่อขึ้นมาบ้างจะเป็นเวทีของเซ็นเตอร์พ้อยท์
ส่วนที่ได้มาอยู่แกรมมี่ คือมีอยู่วันนึงดาไปซ้อมดนตรี แล้วห้องที่ดาไปวันนั้นคือเพชรเกษม PK สตูดิโอ ซึ่งเป็นห้องของพี่จิ๋ว โปรดิวเซอร์เก่าแกรมมี่ แกทำงานอยู่แกรมมี่ในช่วงนั้น ซ้อมไปซ้อมมาพี่จิ๋วก็บอกว่าขอก๊อบปี้ซีดีไปหน่อย แกก็ไม่ได้บอกอะไร บอกแค่ว่าจะให้เพื่อนพี่ฟังที่ตึกแกรมมี่ ดาก็ขอบคุณ แต่ในใจเราคิดอยู่แล้วว่าการเป็นศิลปินในแกรมมี่มันไม่ง่าย
ปรากฏว่าหลังจากที่พี่เขาได้ฟังซีดีแผ่นนั้น อีก 2 อาทิตย์เขาก็เรียกมาคุย แล้วในอาทิตย์นั้นเขามีเพลง “เพื่อนสนิท” เขียนไว้รอเลย ซึ่งชีวิตของดาตอนที่มีเพลงเพื่อนสนิท ดายังได้ยินเพลงตัวเองอยู่ในรถเมล์อยู่เลยนะคะ ดาเลยเชื่อว่าทำดีคนเห็น พระคุ้มครอง ดารู้สึกว่าช่วง 3 ปีที่เราลำบากที่สุด เงิน 50 บาทมีค่ามากสำหรับเด็ก ม.ปลาย ในการไปแข่งดนตรี เราใช้เงินตรงนั้นมาลงทุน และทุกอย่างมันเปลี่ยนชีวิตได้ในพื้นฐานของคำว่าอดทนมากๆ”
...
ชีวิตที่เปลี่ยนไป
เมื่อได้รับโอกาสที่ดีจากแกรมมี่ กลายเป็นศิลปินในสังกัด ดาเล่าถึงชีวิตที่เปลี่ยนไปว่า “พอหลังจากอาทิตย์นั้นชีวิตก็เปลี่ยนไปเลยค่ะ ได้ร้องเพลงเพื่อนสนิท สมัยก่อนมีสกรีนเทสต์ ต้องแต่งตัว ตัดผม เมคอัพว่าถ้าฉันเป็นศิลปิน ฉันจะเป็นลุคไหนดี ตอนนั้นเป็นผมแบบสั้นๆ รากไทร (หัวเราะ) ทุกคนต้องตัด เป็นทรงฮิตของเด็กวัยรุ่นสมัยนั้น
ตอนนั้นวงเอ็นโดรฟินก็เป็นวงที่มีผู้หญิง 1 คน และผู้ชายเป็นแบ็กอัพ ถ่ายปก ร้องลิปซิงก์แบบคาราโอเกะเวอร์ชัน คือกว่าจะไปศิลปินในช่วงแรกจะต้องร้องเดโม ถ่ายสกรีนเทสต์เพื่อเทสติ้งลุคของศิลปิน มีเรียนครึ่งปี ถึงได้เป็นศิลปินแบบสมบูรณ์ค่ะ ก็คุ้มค่ะในช่วงเวลาหนักๆ 3 ปีสำหรับเด็ก ม.ปลายคนนึง ดาเริ่มเล่นดนตรีมาตั้งแต่มัธยม มาฟอร์มวงตอน ม.4 ช่วงที่เซ็นสัญญาก็เป็นช่วงก่อน ม.6 ค่ะ ช่วงจะเรียนต่อมหาวิทยาลัย ดาไม่มีคะแนนเอ็นทรานซ์ เพราะชั่วโมงเรียนไม่พอ เริ่มเป็นศิลปิน ก็เลยต้องไปต่อ ปวส.ที่พณิชยการราชดำเนิน 2 ปี เพื่อให้เราจบแค่นั้นก่อน เพื่อที่จะทำงานเลย”
พอเริ่มมีชื่อเสียง มีเพลงดัง คนเริ่มรู้จัก ดายอมรับว่ารู้สึกเขินๆ ทำตัวไม่ถูก แต่ช่วงแรกไม่มีคนจำได้ เพราะคนเข้าใจว่าโฟร์ (ศกลรัตน์ วรอุไร) ร้องเพลงนี้ เพราะโฟร์เป็นนางเอกมิวสิกวิดีโอ แต่ทุกคนเห็นหน้าของดาเต็มๆ จากเอ็มวีเพลง “สิ่งสำคัญ” ซึ่งดาบอกว่า “ดีแล้วค่ะ ตอนนั้นอย่าให้ออกเยอะเลย ดำมาก ผอมกังมากเลยค่ะ” ก่อนจะหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
...
ดาเล่าว่า วงเอ็นโดรฟินเป็นวงที่ประกวดด้วยกันในช่วง 2-3 ปีแรก ก่อนที่จะได้เซ็นสัญญากับแกรมมี่ แต่พอออกอัลบั้มเพลง 2 อัลบั้มก็แยกย้ายกันไป ส่วนสาเหตุดาให้เหตุผลว่า “ดาว่าเด็กวัยรุ่นในช่วงที่หาตัวเอง ดาคิดว่ามันจะมีช่วงที่ใช่และไม่ใช่ มันจะมีคำถามในตัวเองว่าแนวดนตรีแบบนี้ การทำงานแบบนี้ เราอยู่ด้วยกันได้ไหม ความสัมพันธ์ของวงก็คือความสัมพันธ์แบบแฟนเลย ถ้าคนนี้นิสัยแบบนี้ ความคิดแบบนี้ การใช้ชีวิตแบบนี้ เราอยู่ด้วยกันได้ไหม
ปรากฏว่าในช่วงที่ทำวง เราค่อนข้างจะแตกกันในเรื่องแนวเพลงในช่วงก่อนขึ้นอัลบั้ม 3 เทสต์ไม่เหมือนกันแล้ว ความเป็นวงก็หายไป เราอาจจะทำงานด้วยกันไม่ได้ เราก็เลยคุยกันแยกย้ายกันด้วยดี ดาเชื่อว่าหลายคนพอโตขึ้นความชอบมันเปลี่ยนไป มันก็มีการแยกแยะกันได้ถูกค่ะ ทุกวันนี้ก็ยังโอเค มีกลุ่มก้อนคุยกันอยู่ โตกันหมดแล้วค่ะ”
ศิลปินเดี่ยว
พอถามว่า เป็นศิลปินเดี่ยวเหงาไหม จากที่เคยทำงานเป็นวง ดาตอบว่า ช่วงแรกๆ มีบ้าง คือช่วงทำอัลบั้มที่ 3 แต่โชคดีที่ได้ทีมโปรดิวเซอร์ที่เป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆ คือทีมของพี่ต้น สุวัธชัย สุทธิรัตน์ และพี่เอ วัฒนกร ศรีวัง 2 ท่านนี้คือคนที่ทำให้เอ็นโดรฟินเป็นที่รู้จัก เป็นคนสร้างคาแรกเตอร์ของเพลงสิ่งสำคัญ, เพื่อนสนิท, น้ำเต็มแก้ว เป็นเพลงของนักร้องหญิงที่ทุกคนจะต้องร้องตามผับ
“ดาโชคดีด้วยมั้งคะที่ตอนนั้นยุคนั้นมีนักร้องนำหญิงไม่กี่วง พอเราโตขึ้น เราก็โห…เราข้ามอัลบั้ม 2 มาได้ถือว่าโคตรโชคดีแล้วนะ แต่ความกดดันอยู่ที่อัลบั้ม 3 พอโตเป็นสาวขึ้น อัลบั้ม 3 ก็เริ่มเป็นสาวขึ้น เริ่มแต่งตัวแต่งหน้า จริงๆ เป็นเด็กเฟียส เด็กสัก เด็กเจาะ คือตอนเด็กดาชอบแนวพังก์ร็อก ด้วยคอนเซปต์ที่โตขึ้น เริ่มเล่นอะไรมากขึ้นในอัลบั้ม ก็เลยดึงคาแรกเตอร์ตัวเองมา กลายเป็น “ภาพลวงตา” ในเอ็มวีมีความแฟชั่นมากขึ้น พอเพลงเป็นที่รู้จัก เราก็อยากมีไดเร็กชั่น ผู้ใหญ่ก็อยากให้ตัวดาชัดเจนมากขึ้น แล้วเป็นคนชอบแต่งหน้าแบบดีไซน์กราฟิก ก็เลยเหมาะเจาะกับการที่เราโตขึ้น และขยับให้สไตล์ตัวเองชัดขึ้นค่ะ”
...
เมื่อพูดถึงภาพลักษณ์ของดากับความเป็นสาวเปรี้ยวเท่ นักร้องสาวบอกว่า “ดาว่าดนตรีกับแฟชั่นไปด้วยกันค่ะ นักร้องทุกคนจะมีความเป็นไอคอน ดาว่าพวกนี้ใช้เวลาหน่อยกว่าจะหาตัวตนเจอ เพลงดีแล้วแต่ตัวไม่มาก็มี บางคนตัวมาอย่างเดียว แต่เพลงไม่โอเคก็มี เพราะฉะนั้นดาเชื่อว่ามันจะมีจุดพีกที่สุดของแต่ละคนอยู่ ความเป็นแฟชั่น ดาเชื่อว่ามันเล่นสนุกได้ เมื่อเพลงมันเป็นเพลงที่ใช่เรา”
กับชีวิตศิลปินที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านมามากมาย นักร้องสาวบอกว่า ในช่วงที่โตมาและเห็นการเติบโตของวงการดนตรีมาตั้งแต่สมัยเทปคาสเซ็ต กลายมาเป็นซีดีในอัลบั้มภาพลวงตา เป็นดิจิตอลแพลตฟอร์มเมื่อประมาณเกือบ 7 ปีที่แล้ว รวมๆ แล้วคิดว่าไม่มีใครที่เป็น The Best of The Best คือดีขึ้นได้เรื่อยๆ ความคิดแบบนี้จะต้องเก็บเอาไว้ตลอด เชื่อว่าเวลาใช้กับการทำงานจะรู้สึกว่างานมีคุณค่า เพลงจะติดชาร์ตหรือไม่ติดชาร์ตบ้างเป็นเรื่องธรรมดา เพราะไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราแค่คนเดียว แต่ที่สำคัญเพลงนั้นจะต้องไม่โกหกแฟนเพลง ต้องทำให้เต็มที่
“ฉะนั้นการสะสมประสบการณ์ ได้ประสบการณ์ตรงจากแฟนเพลงว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร วิธีการใช้ไมโครโฟนเฮดโฟน เราสะสมประสบการณ์ เราเก่งขึ้นทุกปี ดาไม่รู้สึกเครียดเลยนะคะกับการอยู่ในวงการดนตรี ดารู้สึกว่าคนที่มีของมันก็เอาออกมาใช้ เราก็อยู่กับมันได้เรื่อยๆ เรารู้สึกว่าเราใช้มันอย่างเต็มที่ แล้วเราพัฒนาตรงนี้ให้ดีขึ้นไปอีก แล้ววิ่งตามกระแสโลกด้วยค่ะ มันก็เหมือนพัฒนาตัวเองไปทุกปีในยุคนี้ด้วยค่ะ ดารู้สึกว่าคุณภาพในการทำงานคนฟังเห็น คนฟังรู้ว่าเพลงมันเป็น Timeless มันเป็นคลาสสิก คือฟัง 20-30 ปีคุณก็ยังรู้สึกถึงเพลงๆ นี้อยู่ ดาอยากให้เพลงของดากลายเป็นเพลงที่เป็น Timeless ค่ะ คือไม่มีวันเก่า”
นอกจากนี้ ดาเล่าว่า ช่วงอายุ 20 ต้นๆ เธอเก็บเงินสดซื้อบ้านให้พ่อแม่แล้ว “ดาเป็นลูกข้าราชการ เพราะฉะนั้นจะต้องอยู่แฟลตตำรวจ อยู่บ้านพักข้าราชการมาโดยตลอด เราใช้ชีวิตอย่างนี้ตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม ก็คิดว่าถ้ามีตังค์ ดาจะเอาพ่อแม่ออกมาจากบ้านข้าราชการ จะได้มีพื้นที่เลี้ยงหมา ปลูกต้นไม้ ทำกับข้าว อยากให้เขามีความสุข ด้วยความที่เขามีแง่กับเราตั้งแต่เด็กด้วย มันเหมือนโชว์เขาด้วยแหละ ก็เป็นแรงกดดันที่เอามาทำให้เราผลักดัน อะไรที่พ่อแม่ไม่เคยแน่ใจเรา เราจะทำให้ดูค่ะ
จำได้ว่าเคยซื้อไมค์ที่แพงที่สุดราคาประมาณ 3-4 หมื่น ส่วนตังค์ที่เหลือคือซื้อบ้านเลย ซึ่งบ้านหลังแรกเป็นบ้านที่คุณพ่อคุณแม่อยู่หลังเกษียณ จริงๆ ดากับครอบครัวไม่ได้ซี้กันถึงขั้นกอดหอมขนาดนั้น พอไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน บ้านหลังแรกที่ซื้อก็ให้เขาไปเลย บ้านหลังที่ 2 ดาซื้อเอง ทำออฟฟิศ ทำห้องซ้อม มีโลกของเราในบ้านของเรา วันอาทิตย์ก็เป็นวันครอบครัว พาไปเลี้ยงข้าว ชีวิตดีขึ้น เราได้ตอบแทนพระคุณส่วนนึงที่ดูแลเรามา ดาคิดว่าคนเกษียณ แค่มีบ้าน มีพื้นที่ของตัวเองก็แฮปปี้”
เหตุผลที่ออกจากแกรมมี่
จากวันแรกที่เป็นศิลปินในสังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เมื่อ 17 ปีที่แล้ว แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เพราะในที่สุดดาก็ตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับต้นสังกัด ซึ่งดาให้เหตุผลว่า “เอาจริงๆ การอยู่กับบริษัทเป็น 10 ปีมันนานมาก ดาต่อสัญญาไป 3 รอบ พออายุแตะ 30 มันจะเริ่มมีความคิดของตัวเองในการก้าวสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัว ตอนแรกยังเป็นวัยรุ่น พอเริ่มเก็บตังค์ อายุ 30 มีเงินเก็บแล้ว ก็คิดว่าเราจะทำอะไรต่อ แต่การไม่ได้ต่อสัญญา ดาก็ยังทำงานกับแกรมมี่ทุกปี นั่นคือบ้านหลังแรกของเราที่เราไม่สามารถลืมได้หรอก มันอยู่กันมานานมาก
แต่ถามว่าขอบเขตของการทำงาน พอเป็นอิสระ พอแก่ขึ้น ก็รู้สึกไม่อยากรอแล้ว ก็สนุกกับความเป็นอิสระ คือการตัดสินใจได้รวดเร็ว จบงานเองได้ ข้อดีของประสบการณ์ที่ดาได้จากแกรมมี่มีเยอะมาก ทำให้ดาเป็นดา แข็งแรงจนถึงทุกวันนี้ค่ะ ความสัมพันธ์ก็ดีมากๆ ค่ะ พอดาหมดสัญญา ก็ใช้เวลาอิสระตรงนี้ ดาก็ได้เจอพาร์ตเนอร์อย่างเช่น 28 Recording Label ดามีคู่หมั้น คือทุกอย่างมันไปของมันตามธรรมชาติ โดยที่เรามีความสุขในทุกวัน ตอนที่ดาเป็นอิสระ ดาทัวร์ 5 เดือน เจอแฟนเพลงเหนือใต้ออกตก ถ้านับจริงๆ แล้วดาทัวร์คอนเสิร์ตตั้งแต่อายุ 18 รอดมาได้ก็ดีแล้วค่ะ (หัวเราะ)”
เมื่อถามถึงการมาร่วมงานกับ 28 Recording Label ดาบอกว่า “กับค่ายนี้คือคุณแฟน (เดนนิส ไทยคูน) เป็นเพื่อนสนิทกับเขามาก ตอนนั้นอยากทำโปรเจกต์หนึ่งขึ้นมา ก็เป็นสัญญาใจว่าเป็นหนึ่งซิงเกิลเพื่อต้อนรับเข้าสู่ค่าย แล้วทางค่ายเป็นสปอนเซอร์ให้ดาในการทำเพลงด้วยค่ะ ส่วนดาหาโปรเจกต์ใหม่ๆ ทำตลอด กำลังหาเด็กใหม่ๆ อยู่เหมือนกัน ปรากฏว่าดามีไอเดียกับเดนนิสอยู่ค่ะ เราสองคนอยากทำค่ายที่โฟกัสเรื่องเพลงจริงๆ ชื่อค่ายคือ “Bars Entertainment” เพิ่งจะคิดได้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เป็นโปรเจกต์ที่เดนนิสจะมีคอนแท็กของโปรดิวเซอร์ที่แอลเอ เพราะเขาโตที่อเมริกา แล้วตัวดาเองทำรายการประกวดร้องเพลงเยอะ ก็รู้สึกว่าตอนนี้เราทัวร์คอนเสิร์ตไม่ได้ แต่เราทำโฮมสตูดิโอได้ ดาก็ใช้ช่วงเวลาปีนี้โฟกัสที่เรื่องค่าย
คำว่า Bars มาจากสเกลโน้ต และ Bars คือ Raise the bar คือการสร้างสแตนดาร์ดของเด็กในค่ายขึ้นมา Bars ก็คือเนื้อเพลงด้วย เป็นชื่อที่ดากับเดนนิสชอบ จริงๆ ตัวเดนนิสเองถ้ามีธุรกิจที่เติบโตที่นี่ได้ เขาอาจจะมาเซตอัพตัวเองที่เมืองไทยสัก 2-3 ปี ช่วงที่งานเยอะเราก็อาจจะอยู่เมืองไทย ส่วนบ้านเดนนิสที่แอลเอ เราก็จะไปช่วงหน้าฝนของเมืองไทย งานน้อยหน่อยก็กลับไปที่แอลเอ ก็คือจะเริ่มใช้ชีวิตคู่แบบนี้ค่ะ ซึ่งในส่วนค่ายส่งไปจดลิขสิทธิ์เรียบร้อยแล้วค่ะ”
ในส่วนศิลปินในสังกัด ดาบอกว่าตอนนี้มีเด็กๆ ที่จะโฟกัสแล้วเอามาปั้นประมาณ 3-4 คน เวลาทำงานกับเด็กๆ จะคอยสอน คอยอยู่ด้วยกันจนกว่าจะรู้ว่าปล่อยไว้คนเดียวได้เมื่อไหร่ก็ค่อยปล่อย “ดาเข้าใจว่าตอนนี้ด้วยโลกโซเชียล ใครๆ ก็เป็นป๊อปสตาร์ได้ง่ายๆ ดาอยากให้เด็กทุกคนอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องอยู่กับเราก็ได้ เพื่อให้เขาแข็งแรงพอที่จะอยู่ได้ค่ะ”
เวลาสุดท้าย
ดา เอ็นโดรฟิน เล่าถึงอีกหนึ่งผลงานใหม่ของเธอ คือการร้องเพลง “เวลาสุดท้าย” เพลงประกอบภาพยนตร์ “ไสหัวไปนายส่วนเกิน” นำแสดงโดย อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม และ มิน พีชญา วัฒนามนตรี ซึ่งนักร้องสาวเล่าว่า “เพลงนี้เป็นเพลงที่ดาได้ร้องประกอบเหมือนแบบกึ่งละคร แต่อันนี้เป็นแขนงภาพยนตร์ ซึ่งหลังจากที่ดาลองเพลงประกอบละครวันทองเอาไว้ ซึ่งก็คือเพลง “สองใจ” ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ร้องเพลงประกอบ และครั้งนี้เข้ามาอยู่ในหนังใหญ่ มีพี่อนันดากับน้องมินเป็นพระเอกนางเอก เป็นอีกเพลงหนึ่งที่ค่อนข้างอลังการ เพราะเป็นป๊อปออร์เคสตรา
“เวลาสุดท้าย” เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ดาเป็นตัวแทนของนางเอกที่ใช้ช่วงเวลาที่ดีที่สุดกับพระเอก แต่การที่เขารู้ว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอน ก็จะมีวิธีคิดและวิธีการใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง คือไม่เหมือนรอวันที่ต้องจากกันไป แต่ใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีคุณค่าในแบบของเขา ในเรื่องนางเอกเป็นโรคมะเร็งรู้ว่าอยู่ได้ไม่นาน มันเป็นหนังโรแมนติกคอมเมดี้บวกแฟนตาซีหน่อยๆ ทำให้เรื่องราวความรักมันมากกว่าเรื่องความสัมพันธ์ค่ะ
ทุกคนจะได้เห็นความจินตนาการในหัวของนางเอก ถ้าดูหนังฝรั่งอาจจะเป็นอะไรที่โอเวอร์ไปจากเรื่องจริง มันคือวิธีการคิดของคนที่ใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุดก่อนจะจากไปค่ะ ตอนร้องค่อนข้างยากค่ะ ต้องใช้สมาธิ และเราเป็นตัวแทนนางเอก เราจะต้องเอาฟีลลิ่งนางเอกมาใส่หัวเราให้ได้มากที่สุด ของดาจะยากในชั่วโมงแรกค่ะ คือหาตัวนางเอกให้เจอก่อน พอหาเจอปุ๊บ ดาสามารถอัดเสียงได้ในช่วงเวลา 2 ชั่วโมง ยากสุดคือการค้นหาคาแรกเตอร์ของตัวละครตัวนั้นให้ได้ค่ะ”
เมื่อถามว่าการร้องกับดนตรีออร์เคสตรายากแค่ไหน ดาตอบว่า “ดาชอบออร์เคสตราอยู่แล้ว ดามีเพื่อนๆ เล่นมิวสิคัลแบบ Classical เยอะค่ะ ชอบดูงานพวกนี้ แล้วดาก็รู้สึกว่าถ้าเอามาผสมกับเพลงป๊อปร็อก มันจะเพิ่มอารมณ์ของเพลงเข้าไปอีกค่ะ ออร์เคสตราเป็นเครื่องดนตรีที่เน้นอารมณ์อยู่แล้ว พอเอามาผสมกับเนื้อหาแบบนี้ มันใช้สมาธิมากในการหาจุดของเพลง มันเหมือนระเบิดๆ แล้วจบแบบเอนดิ้งเฟดเอาต์ออกไป ตอนนี้มีในยูทูบแล้วนะคะ อยากให้ทุกคนลองฟัง และทุกคนจะได้ยินดีเทลเล็กๆ ของเพลงที่เราใส่ลงไปค่ะ”
ดาเล่าถึงการทำงานร่วมกับทีมงานทั้ง ชิษณุพงศ์ คงทอง และ ฉัตรฑริกา ยศสงครา ซึ่งเป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้อง รวมถึง หยวน หลัว ผู้ประพันธ์ทำนองชาวจีน ที่ควบตำแหน่งโปรดิวเซอร์ร่วมกับ เทิดศักดิ์ จันทร์ปาน ไว้ว่า “มันเป็นการร่วมงานของไทย-จีน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโปรดักชันของเพลง หรือไดเร็กชันของหนัง ก็ถือเป็นการร่วมงานอีกครั้งของไทย-จีน ดารู้สึกว่าเพลงนี้ไปเข้ากับฐานแฟนเพลงที่เมืองจีนด้วยค่ะ เพราะเอาจริงๆ แล้วดาราไทยหลายท่านก็มีชื่อเสียงมากในเมืองจีน ไทย-จีนเป็นประเทศพี่น้องกันโดยตลอด เพราะฉะนั้นการเสพเพลงเสพหนังมันจะคล้ายกันมาก กลายเป็นการร่วมงานไทย-จีนที่กลมกลืนทั้งเรื่องเพลงและเรื่องหนังค่ะ”
ส่วนฟีดแบ็กที่ได้รับ ดาบอกว่า “อ่านคอมเมนต์ดูก็ตลกดี เขาก็บอกว่าเอาอีกแล้ว เล่นแบบนี้อีกแล้ว โดนอีกแล้ว ดาทราบว่าแฟนเพลงหลายๆ คนจะติดภาพเพลงที่อารมณ์กระแทกๆ มีความสะใจของการร้อง “เวลาสุดท้าย” ก็เป็นอีกเพลงหนึ่งที่มีกลิ่นของเอ็นโดรฟิน มีความโตของดาที่เกิดขึ้น เป็นผู้หญิงที่ถ่ายทอดเรื่องราวความรักได้เข้าใจมากขึ้น ถ้าให้ดาร้องเพลงนี้ตอนอายุ 20 กว่าๆ ดาก็คงจะไม่เก็ตขนาดนี้ เพราะฉะนั้นเพลงนี้ค่อนข้างเข้าใจได้ดีกว่าช่วงเวลาวัยรุ่น เป็นไทม์มิ่งที่เหมาะสมค่ะ”
ชีวิตคู่
เมื่อถามถึงเรื่องแพลนชีวิตในช่วงนี้ นักร้องสาวบอกว่า “ดาเชื่อว่าพออายุ 30 ต้นๆ ทุกคนเริ่มคิด มีโลก 2 ใบ คืองานกับตัวเองและครอบครัว จะต้องบาลานซ์กันให้ดี ตอนเด็กๆ อายุ 20-30 พูดตรงๆ ว่าบ้างานมาก แต่พอ 30 กว่าแล้ว เชื่อว่าหลายคนเริ่มโฟกัสที่ตัวเอง ครอบครัว การใช้ชีวิต ดาคิดว่าตอนนี้ตัวเองกำลังใช้ชีวิต”
ในส่วนแพลนแต่งงาน ดาเล่าว่า จะมีงานปาร์ตี้ฉลองแต่งงานในช่วงประมาณเดือน มี.ค.-เม.ย. 2565 เพราะอยากรอให้สถานการณ์โควิดดีขึ้นกว่านี้ ซึ่งตั้งใจว่าจะจัดเป็นเวดดิ้งคอนเสิร์ต เหมือนเป็นมิวสิกเฟสติวัล ส่วนงานในเดือนธันวาคม 2564 จะเป็นงานยกน้ำชากับทางที่บ้าน ซึ่งในเดือนธันวาคมนี้คุณแม่ของเดนนิสจะมาจากแอลเอ ก็มาทำทุกอย่างให้ถูกต้อง จะเป็นพิธีไทย-จีน เพราะครอบครัวเดนนิสมีคนจีนเยอะ ก็มีการทานข้าว ยกน้ำชา ผู้ใหญ่เจอกันทั้งสองบ้าน
สำหรับพิธีฉลองแต่งงาน ดาบอกว่า “น่าจะจัดที่โรงแรมเซ็นทารา แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ไปขอคุณป๊อก Mindset (ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์) มาค่ะ (ยิ้ม) ส่วนธีมคือคอนเสิร์ต น่าจะเป็นมิวสิกเฟสติวัลดีๆ อันนึงนี่แหละค่ะ ศิลปินที่เราไปร้องเพลงให้กับงานแต่งงานของเขา เขาต้องมางานของเรา ดาคิดไว้คร่าวๆ น่าจะจัดตั้งแต่ 5 โมงถึงเที่ยงคืน”
กับแพลนชีวิตหลังแต่งงาน ดาตั้งใจจะมีลูกทันที ซึ่งนักร้องสาวบอกว่า “พอหมั้นแล้วดาปล่อยตามธรรมชาติเลยนะ เรารู้สึกว่าอายุ 35 ต้องมีแล้วแหละ เป็นช่วงเวลาที่กำลังสร้างครอบครัว เงินเก็บมีพอ ความคิดโตแล้ว เพราะฉะนั้นเราพร้อมที่จะดูแล อยากมีเบบี๋เยอะๆ ค่ะ ถ้าทำได้จะทำแฝด 2-3 รอบไปเลย อยากเป็นคุณแม่ที่ร้องเพลงคอนเสิร์ตใหญ่ แล้วคุณพ่อใส่เฮดโฟนให้เบบี๋แล้วไปเชียร์คุณแม่ข้างเวที พาเบบี๋ไปฟังแม่ร้องเพลง
ก็คิดว่าอยากมีลูกอย่างต่ำ 3 คน อยากมีบิ๊กแฟมิลี่ค่ะ ดาเป็นคนไฮเปอร์ แรงเยอะ พอมีบิ๊กแฟมิลี่เราพึ่งพากันได้ บ้านดามี 2 คนพี่น้อง บ้านเดนนิสก็มี 2 คนพี่น้อง มันไม่พอค่ะ กะว่าจะตั้งแบนด์ค่ะ (หัวเราะ) ชอบบิ๊กแฟมิลี่ค่ะ รู้สึกว่ามันคึกคัก มีชีวิตชีวา ถามว่าถ้ามีลูกจะอยู่เมืองไทย หรืออยู่แอลเอ ดาว่าไปๆ มาๆ ค่ะ ทางเดนนิสเขาอยากให้ลูกถือพาสปอร์ตอเมริกา ถ้าธุรกิจที่เมืองไทยมันโตเร็วก็ต้องอยู่ที่นี่เป็นหลัก ต้องดูว่าธุรกิจโตที่ไหนดีกว่ากันค่ะ”
แต่ถึงแม้จะแต่งงานและมีลูก ดายังยืนยันว่าไม่ทิ้งวงการเพลงไปแน่นอน “เชื่อไหมคนอย่างดาไม่หยุดร้องเพลงหรอก มันหยุดไม่ได้หรอกค่ะ มันเป็นครึ่งชีวิตของเราไปแล้ว ดาบอกสื่อทุกครั้งที่ได้สัมภาษณ์ว่า โชคดีมากเลยนะที่อยู่ในยุค 2000 เป็นยุคที่มิวสิกค่อนข้าง Timeless ค่ะ มันอยู่ได้ยาวๆ มันฟังคลาสสิก เรารู้สึกว่าถ้า 3 ปีมีคอนเสิร์ตทีนึง ดาก็หายคิดถึงแฟนเพลงแล้วค่ะ แพชชั่นเรื่องดนตรีไม่เปลี่ยนค่ะ ถ้าไม่ได้ร้องเพลงก็ปั้นน้องๆ ต่อค่ะ”
ปิดท้ายการสนทนา ดา เอ็นโดรฟิน ฝากถึงแฟนๆ ว่า “ขอบคุณแฟนๆ นะคะที่อยู่ด้วยกันมานาน บางคนมาคอมเมนต์ว่าหนูฟังพี่ตั้งแต่ยังไม่ท้อง จนตอนนี้หนูให้ลูกฟังเพลงพี่แล้ว ดาปลื้มปริ่มความสัมพันธ์ของดากับแฟนเพลงมากเลยนะคะ ขอให้อยู่แบบนี้ไปตลอดๆ เพราะดามีแพชชั่นในการร้องเพลงตลอดแน่นอนค่ะ แต่ตอนนี้อาจมีหน้าที่อื่นๆ ที่จะต้องทำ แต่การเป็นนักร้องยังต้องมีอยู่แน่นอนค่ะ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คอนเสิร์ตใหญ่ขอให้ได้ทำภายใน 2 ปีนี้ ขอบคุณมากๆ ที่ติดตามดามาตลอด 17-18 ปีนะคะ”.
ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : Benley Film
กราฟิก : Varanya Phae-araya